เล่มที่ 5 บทที่ 135 ดอกหลิงเซียวของท่านปลูกไม่ถูกวิธี

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในถ้ำ ยังคงไม่มีเสียงตอบกลับ

ภายในมีเพียงความมืดมิด ยื่นมือออกมาไม่เห็นนิ้วมือด้วยซ้ำ ถึงแม้หลัวไห่ตี้จะเป็นชายชาตรี แต่อยู่ในความมืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย ทั้งยังโดนจับมัดไว้ ใครบ้างจะไม่กลัว!

ร้องโวยวายด้วยเสียงดังก้อง แต่นอกจากเสียงของเขา ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก

ไม่มีใครตอบเขา!

ไม่รู้ว่าตะโกนโวยวายอยู่นานเพียงใด เมื่อตะโกนนานเข้า หลัวไห่ตี้ก็ไม่มีเสียงแล้ว เขารู้ว่าตัวเองต้องถูกคนจับตัวมาขังที่นี่แน่ แต่คิดให้ตายก็คิดไม่ออกว่าใครกันจะจับตัวเองมัด

“บัดซบ หากให้ข้ารู้ว่าใครจับข้ามัด ข้าจะถลกหนังของมัน! ” หลัวไห่ตี้กล่าวด้วยท่าทางดุร้าย

ภายในถ้ำอันคับแคบมีเพียงเสียงสะท้อนของหลัวไห่ตี้ดังอื้ออึง

และเซี่ยยวี่หลัวในยามนี้ ก็อาบน้ำเข้านอนอย่างสบายใจแล้ว

พรุ่งนี้ก็ถึงสิ้นเดือนสี่แล้ว นางจะเข้าไปในตัวเมืองเพื่อรับเงิน นางตัดสินใจจะพาเด็กสองคนไปด้วย ดูว่าต้องซื้ออะไรมาเพิ่มหรือไม่ เข้าฤดูร้อนแล้ว ต้องซื้อผ้าเพิ่มสักสองผืน ตัดเสื้อให้เด็กสองคน ค่อยหาซื้อข้าวของเครื่องใช้และอาหาร

ที่สำคัญที่สุดคือ เพราะเรื่องของเซียวเฉิงซานและหลัวไห่ตี้ นางอยากสร้างกำแพงให้สูงขึ้นอีก ทางที่ดีที่สุด ก็ปลูกเรือนเพิ่มอีกสักสองห้อง ท่านราชบัณฑิตน้อยจะมีห้องนอนและห้องหนังสือส่วนตัว เช่นนี้เวลาอ่านตำราเขียนพู่กันก็จะสบายขึ้นด้วย

เซี่ยยวี่หลัวไม่ได้บอกเรื่องนี้กับเซียวจื่อเซวียน นางต้องรอดูส่วนแบ่งรายได้ในวันพรุ่งนี้แล้วค่อยไตร่ตรองอีกครั้ง!

เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยยวี่หลัวก็ลุกแล้ว หุงข้าวสารสองกำที่ห้องครัวก่อน ล้างไข่ไก่สามฟองจนสะอาดแล้วจึงใส่เข้าไปในหม้อพร้อมข้าว หลังจากจุดฟืนแล้ว จึงไปล้างหน้าบ้วนปากให้สะอาด เมื่อกลับมา ของในหม้อก็สุกแล้ว เซี่ยยวี่หลัวลดไฟให้อ่อน เคี่ยวโจ๊กต่อด้วยไฟอ่อน

เซี่ยยวี่หลัวตักแป้งมาสองช้อนใหญ่ ตอกไข่ไก่ลงไปหนึ่งฟอง แล้วจึงไปเด็ดต้นหอมจากสวนหลังบ้านมาสองต้น หั่นจนละเอียดแล้วใส่เข้าไปในแป้ง คนแป้งจนเหลว เมื่อต้มโจ๊กจนได้ที่แล้ว จึงไปปลุกเซียวจื่อเมิ่งที่ห้อง

หลังจากเซี่ยยวี่หลัวลุกได้ไม่นานเซียวจื่อเซวียนก็ตื่นแล้ว หลังจากเขาล้างหน้าบ้วนปากแล้วเห็นว่าน้ำในบ้านใกล้หมด จึงไปหาบน้ำที่ริมแม่น้ำ เวลานี้ภายในห้องเหลือเซียวจื่อเมิ่งคนเดียวที่ยังหลับสนิทอยู่

เมื่อเห็นเซียวจื่อเมิ่งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เซี่ยยวี่หลัวนั่งลงข้างเตียง ปลุกนางเสียงเบา “จื่อเมิ่ง ตื่นได้แล้ว”

“พี่สะใภ้ใหญ่…” เซียวจื่อเมิ่งตื่นแล้ว นอนอยู่บนเตียง ขยี้ตาด้วยอาการสะลึมสะลือ สีหน้าง่วงนอนเต็มประดา

ท้องฟ้าข้างนอกเพิ่งสว่าง ปกติเวลานี้เซียวจื่อเมิ่งยังนอนอยู่

เซี่ยยวี่หลัวหยิบเสื้อผ้าที่เซียวจื่อเมิ่งจะสวมใส่มา พร้อมกล่าว “เมื่อวานเจ้าเข้านอนเร็ว จึงไม่ได้บอกเจ้า วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่จะพาพวกเจ้าไปในตัวเมือง”

เซียวจื่อเมิ่งได้ยินดังนั้น อาการง่วงนอนก็หายไปทันที ลุกพรวดขึ้นจากเตียง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าตื่นแล้วเจ้าค่ะ”

เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวจึงถักเปียสองข้างให้เซียวจื่อเมิ่ง บัดนี้เส้นผมของเซียวจื่อเมิ่งทั้งดำและเงางามขึ้นไม่น้อย และยาวขึ้นแล้วด้วย ม้วนเปียขึ้นด้านบน ทำทรงดอกตูมสองข้าง ก่อนจะผูกแถบผ้าสีแดงไว้ แถบผ้าส่วนที่เหลือที่ปล่อยลู่ลงมาปักมุกสีขาวดุจหิมะไว้หนึ่งเม็ด ตัวมุกเป็นสีขาวบริสุทธิ์และโปร่งใส ใสราวกับผลึกคริสตัล ดูดียิ่งนัก

เมื่อแต่งกายเช่นนี้ เซียวจื่อเมิ่งก็ดูอวบอิ่มประหนึ่งเทพธิดาในภาพวาดก็มิปาน

แก้มเล็กอ่อนนุ่มเป็นสีแดงเรื่อ ขาวสะอาดหมดจด แค่มองก็รู้แล้วว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

เซี่ยยวี่หลัวจูงมือเซียวจื่อเมิ่งไปยังห้องครัว เซียวจื่อเมิ่งไปล้างหน้าแปรงฟันด้วยตัวเองอย่างว่าง่าย เซี่ยยวี่หลัวล้างกระทะด้านนอกจนสะอาด หลังจากอุ่นกระทะแล้วจึงเทน้ำมัน ใช้ตะหลิวตักน้ำมันราดให้ชุ่มขอบกระทะ รอจนน้ำมันร้อน จึงเทแป้งเหลวที่คนไว้แล้วลงไปตามขอบกระทะ เมื่อแป้งเหลวสัมผัสกับขอบกระทะที่ร้อนจนเดือด ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวทันที

เมื่อจี่ด้านหนึ่งเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวจึงใช้ตะหลิวพลิกกลับด้าน หลังจากจี่ทั้งสองด้านจนกลายเป็นสีเหลืองทอง เซี่ยยวี่หลัวจึงตักแผ่นแป้งขึ้น แผ่นแป้งสีเหลืองทองผสมกับต้นหอมสีเขียว แค่ได้กลิ่นก็แทบน้ำลายไหล

เซี่ยยวี่หลัวเทแป้งเหลวที่เหลือลงไปในกระทะ แผ่นแป้งสองแผ่นที่ผ่านการจี่จนกลายเป็นสีเหลืองทองถูกนำไปวางบนโต๊ะ เซียวจื่อเซวียนก็กลับมาแล้ว

“จื่อเซวียน รีบล้างมือเร็ว เรากินข้าวกัน” เซี่ยยวี่หลัวตะโกนเรียก

เซียวจื่อเซวียนก็ขานตอบ “ขอรับ มาแล้ว” เทน้ำลงไปในโอ่ง จากนั้นจึงนำแผ่นไม้มาปิด แล้วจึงเข้าไปในห้อง

บนโต๊ะมีแผ่นแป้งใส่ต้นหอมสีเหลืองทองหนึ่งจาน โจ๊กที่เคี่ยวจนข้นคนละหนึ่งชามใหญ่ ไข่ไก่ต้มหนึ่งฟอง และหน่อไม้ดองหนึ่งจานเล็ก

หน่อไม้ดองเสร็จแล้ว อร่อยเสียยิ่งกว่ากระไร

หลังจากทั้งสามคนกินอาหารเสร็จแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจึงใส่กุญแจประตูบ้าน พาเด็กสองคนไปในตัวเมือง มุ่งตรงไปยังฮวาหม่านยีเหมือนเคย

ฮวาหม่านยีเพิ่งเปิดประตู ถงเต๋อเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว รีบเชิญนางเข้าไปด้วยความเคารพ “ฮูหยินเซียว ท่านมาแล้วหรือ เชิญเข้ามาขอรับ! ”

เซี่ยยวี่หลัว “ฮวาเหนียงอยู่หรือไม่? ”

ถงเต๋อ “อยู่ขอรับ อยู่ในสวนด้านหลัง ฮูหยินเซียวเชิญตามข้ามา”

เซี่ยยวี่หลัวตามอยู่ด้านหลังถงเต๋อ ฮวาเหนียงกำลังดูดอกไม้ที่นางปลูกอยู่ตรงมุมกำแพงสวนด้านหลัง ยิ่งดูก็ยิ่งขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมทอดถอนใจไม่หยุด

“เถ้าแก่เนี้ย ฮูหยินเซียวมาแล้วขอรับ” ถ๋งเต๋อส่งเสียงบอกจากด้านหลัง

ฮวาเหนียงได้ยินจึงหันตัวมา เมื่อเห็นว่าเซี่ยยวี่หลัวมาแล้ว ความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อครู่ก็หายไปจนสิ้น รีบยิ้มจนแทบไม่เห็นตา “ยวี่หลัวมาแล้วหรือ? ”

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าวทักทายฮวาเหนียง เด็กสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยเรียกฮวาเหนียงอย่างอ่อนหวาน ฮวาเหนียงชอบใจจนยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“มามามา พวกเราเข้าไปนั่งในเรือนกัน” ฮวาเหนียงจะพาเซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในห้อง

เซี่ยยวี่หลัวกลับถูกพืชที่ฮวาเหนียงดูเมื่อครู่ดึงดูดสายตา ใบประกอบแบบขนนก ใบเป็นรูปทรงไข่ขนาดเล็ก ขอบใบมีรอยหยัก “ฮวาเหนียง นี่คือต้นดอกหลิงเซียว? ”

ฮวาเหนียงเอ่ยถามด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ “เจ้ารู้จักดอกไม้ชนิดนี้ด้วยงั้นหรือ? ในเมืองโยวหลันไม่มีดอกไม้ชนิดนี้ ต้นนี้ข้าไหว้วานให้คนช่วยนำกลับมาจากซ่างจิง”

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ดอกไม้ชนิดนี้มีอีกชื่อหนึ่งคือดอกหลิงเสา ข้าเคยเห็นในตำรามาก่อน”

ดอกหลิงเซียวเป็นหนึ่งในดอกไม้ขึ้นชื่อของเมืองเหลียนหยุนกั่ง เซี่ยยวี่หลัวมักจะไปเที่ยวเป็นประจำ จึงมีความรู้ด้านนี้

ฮวาเหนียงทอดถอนใจ “เฮ้อ เพียงแต่ไม่รู้ว่าปลูกอย่างไร คนผู้นั้นนำมาส่งให้ก็บอกว่าดอกไม้นี่ผลิดอกง่าย พอผลิดอกก็จะอยู่ได้กว่าครึ่งปี งดงามยิ่งนัก แต่ข้าปลูกมาเกือบหนึ่งปีแล้ว ยังไม่เห็นว่ามันจะผลิดอก ข้ารู้สึกกลัดกลุ้มใจนัก”

เซี่ยยวี่หลัวย่อตัวลง มองดูต้นหลิงเซียวโดยละเอียด เพียงเห็นว่าใบของต้นดอกหลิงเซียวนี้ไม่เขียวสดเท่าไร ทั้งยังเหมือนจะมีสีเหลืองเล็กน้อย นี่เป็นผลจากการไม่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ จากนั้นจึงดูดินที่ปลูก ก่อนกล่าว “ฮวาเหนียง ดอกไม้ต้นนี้ของท่านปลูกไม่ถูกวิธี”