ตอนที่ 41.3 คนจากอาราม (3)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่ยิ้มขำกับท่าทางของคุณชายตระกูลใหญ่แห่งเมืองเยว่กวาง

มาถึงตอนนี้ เธอก็อดคิดถึงชุดผู้หญิงสวย ๆ แถมยังใส่สะดวกของแฟชั่นยุคศตวรรษที่ 21 ที่เธอจากมาไม่ได้ ถ้าเกิดเธอได้ลองใส่ชุดแฟชั่นสมัยใหม่พวกนั้นมาเดินอวดโฉมในโลกมายาแห่งนี้ อดีตสาวนักฆ่าก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าปฏิกิริยาของเหล่าบุรุษทั้งหลายจะเป็นยังไง

“ข้าว่าวันหลังแม่นางสวมผ้าปิดหน้าอาจจะดีกว่า เอาที่เป็นแบบของสตรีก็ไม่เลวร้ายนัก”

ตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังถูกบรรดาแขกเหรื่อทุกคนที่มางานเลี้ยงมองดูคล้ายกับนางเป็นสัตว์หายากก็มิปาน และมิใช่เพียงภายในที่แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตอนที่นางเดินอยู่ด้านนอกด้วย ไม่ว่าจะไปที่ใดสตรีเลอโฉมก็ถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของหลายคนยังแฝงร่องรอยแห่งความไม่ปรารถนาดีเอาไว้ทั้งหญิงและชาย

และการที่ลั่วอวิ๋นพูดเช่นนี้นั้นก็เป็นเพราะหวังดีกับสหายผู้งดงามรวมไปถึงตัวเขาเองด้วย… เดินข้างคนงามอย่างฉินอวี้โม่แล้วหัวสมองของเขามันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกอย่างแท้จริง !

“ไว้ข้าจะลองคิดดู”

วันนี้มีอีกคนหนึ่งแล้วที่พูดกับนางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม เธอเริ่มรู้สึกว่ารูปโฉมของร่างกายนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ที่บางครั้งมันก็อาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้

ขณะนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็เดินมาจนถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพของงานนี้คือลั่วชิงซานผู้เป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองเยว่กวางและบิดาของลั่วอวิ๋น เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเจ้าภาพหลักของงาน เมื่อท่านเจ้าเมืองวัยกลางคนเห็นว่าตอนนี้บรรดาแขกผู้มาร่วมงานทั้งหลายต่างก็หันไปมองยังทิศทางหนึ่งกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นก็ทำให้เขาอดที่จะมองตามไปยังทิศทางนั้นไม่ได้

เมื่อมองออกไป ลั่วชิงซานก็เห็นบุตรชายของตัวเองเดินเคียงคู่มากับสาวน้อยรูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าเข้ามาในส่วนที่เป็นพื้นที่จัดงาน

เมื่อบุรุษวัยกลางคนผู้ครองเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิใหญ่เห็นบุตรของตนกำลังสนทนากับสามงามอย่างออกรสและดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาก็พยักหน้า… ‘ดูเหมือนเจ้าลูกชายคนนี้คงจะเติบใหญ่จนถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ครองแล้วสินะ’

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้มองดูหญิงสาวผู้นั้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าท่านเจ้าเมืองเยว่กวางก็ยังคงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มชอบใจ

หญิงสาวผู้นี้นอกจากจะงดงามอย่างหาได้ยากแล้ว ยังมีฝีมือสูงส่งทั้งที่อายุยังน้อยซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่า ไม่ผิดเลยถ้าจะกล่าวว่าทั่วทั้งแผ่นดินหวนหลิง สตรีอย่างฉินอวี้โม่นั้นนับว่ายากที่จะค้นพบได้ ถ้าหากว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนชอบพอแม่นางผู้นี้ บิดาอย่างเขาก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่

ลั่วชิงซานตัดสินใจเรื่องนี้ได้ในพริบตา … ก็แน่นอนล่ะ หากว่าจะทำให้ได้ลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้มา แล้วเหตุใดเขาจะไม่ชอบล่ะ ?

“คารวะท่านเจ้าเมือง”

ลั่วอวิ๋นพาฉินอวี้โม่ และกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาถึงตรงหน้าลั่วชิงซานเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายกับผู้เป็นเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก แม่นางฉิน เจ้าเป็นสหายที่ดีของอวิ๋นเอ๋อร์ ฉะนั้นเรียกข้าว่าท่านลุงก็ได้”

ลั่วชิงซานยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง

“แม่นางฉินอายุยังน้อย ทว่ากลับฝีมือสูงทั้งยังมีกิริยามารยาทงดงาม เป็นวาสนาของอวิ๋นเอ๋อร์แล้วที่ได้เป็นสหายกับเจ้า”

เรื่องที่ฉินอวี้โม่มอบผลหลิวหลีให้ ลั่วอวิ๋นไม่ได้ปกปิดผู้เป็นบิดา ด้วยเหตุนั้นทำให้ลั่วชิงซานรู้สึกชื่นชอบนางมากยิ่งขึ้นไปอีก หากเขาได้นางเป็นลูกสะใภ้ก็นับว่าบุญวาสนาที่ฟ้าประทานให้แล้ว

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อลั่วชิงซานกล่าวเช่นนั้น นางก็ยินดีจะทำตาม นางคิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเพราะหายากนักที่ผู้ที่เป็นถึงเจ้าเมืองจะวางตัวเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้

ลั่วอวิ๋นมองบิดาของตัวเองด้วยความประหลาดใจ… เขารู้สึกว่าท่าทีของท่านพ่อในวันนี้ดูผิดปกติมากเกินไปแล้ว

ปกติบิดาของเขาเป็นบุรุษที่ทั้งเข้มงวดจริงจังและเจ้าระเบียบ การที่เขาดูเป็นกันเองกับคนรุ่นเยาว์อย่างนี้เป็นภาพที่หาได้ยากมาก ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะชื่นชมผู้ใดมากแค่ไหนก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ออกมา

“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลแม่นางฉินให้ดี อย่างได้ละเลยนาง เข้าใจหรือไม่? ”

ลั่วชิงซานมองสบตาบุตรชายพร้อมกล่าวกำชับ

ลั่วอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะพาฉินอวี้โม่ออกไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ

ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีสนิทสนมเป็นกันเองที่ลั่วชิงซานและลั่วอวิ๋นมีต่อนางแล้ว พวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันพลางคิดไปว่าฉินอวี้โม่จะต้องเป็นบุตรีของตระกูลใหญ่สักตระกูลอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาเองก็ควรจะปฏิบัติต่อคุณหนูผู้นี้อย่างนอบน้อมและให้เกียรติเช่นกัน

ชื่อเซียวเองก็กล่าวทักทายลั่วชิงซาน เขานำพาเหล่าสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนคารวะท่านเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหาตำแหน่งที่นั่งของตนเองและคณะแล้วแยกย้ายกันนั่งที่

ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงบ้างแล้ว ตอนนี้แขกเขรื่อทั้งหลายต่างก็เริ่มทยอยเข้ามากันจนเกือบจะครบ ภายในเวลาไม่นานเก้าอี้ผู้ร่วมงานในเรือนใหญ่ของเจ้าเมืองก็ถูกจับจองกันจนแน่นขนัด

เหลือเพียงเก้าอี้ที่อยู่ติดกับที่นั่งของลั่วชิงซานเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงว่างอยู่

“ตรงนั้นเป็นที่ของผู้ใดกัน? เหตุใดถึงยังไม่มีใครมานั่ง…”

เมื่อเห็นว่าแขกทุกคนต่างก็มาถึงกันแล้วยกเว้นเพียงแต่แขกผู้ถูกจัดให้นั่งในตำแหน่งใกล้กับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่ยังว่าง บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะหันมาพูดกันถึงเรื่องนี้

“นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ ให้ทุกคนมานั่งรอคนผู้นั้นเพียงคนเดียวเช่นนี้! ”

เริ่มมีคนแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว ในตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าผู้มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหลายกำลังไม่ชอบใจเจ้าของที่นั่งผู้มาสายจนทำให้การเริ่มงานเลี้ยงล่าช้ากว่ากำหนด

ฉินอวี้โม่เองก็เกิดความสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ลั่วอวิ๋นซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“ตรงนั้นเป็นที่นั่งของแขกจากอาราม”

*แขกจากอารามอย่างนั้นเหรอ ?*ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย