บทที่ 146 กินข้าว

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า ใช่แล้ว จะยอมให้คนตระกูลจางได้คืบแล้วเอาศอกไม่ได้เด็ดขาด

เพราะฉะนั้นต้องไม่ให้จางต้าหูได้อะไรไปตั้งแต่แรก

สองพี่น้องเห็นพ้องกันและแน่วแน่กับความคิดในใจมากขึ้น จึงไม่ไปคิดเรื่องนี้

ตอนนี้คิดมากไปก็เปล่าประโยชน์ ต้องรอให้จางต้าหูมาก่อนถึงจะประจันหน้ากันได้

จางซิ่วเอ๋อลูบหัวจางซานหยา พูดเสียงอ่อนโยน “ซานหยา เจ้าไม่ต้องเสียใจนะ ท่านพ่อเราเป็นคนอย่างไรใช่ว่าเราเพิ่งรู้วันแรก ไม่คุ้มหรอกถ้าจะโมโหเพราะเขา……”

“ส่วนเรื่องที่ท่านแม่ได้รับความอยุติธรรม เราก็ยิ่งต้องทำดีกับท่านแม่เพื่อชดเชยให้นาง” จางซิ่วเอ๋อปลอบ

เวลาเด็กเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันกับตาต้องนึกกลัวในใจอยู่แล้ว ดังนั้นต้องปลอบดี ๆ

จางซานหยาพยักหน้า “ข้ารู้แล้วพี่”

“เอาล่ะ งั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว ไปล้างหน้าแล้วกินข้าวเช้ากัน” จางซิ่วเอ๋อเรียกยิ้ม ๆ

ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนจางซานหยาออกจากบ้านตระกูลจาง นางต้องไม่ได้กินข้าวเช้าแน่ ๆ

เนื่องจากเมื่อวานมีข้าวเหลืออยู่ วันนี้จึงเอาข้าวส่วนนั้นมาทำเป็นข้าวต้ม และด้วยการที่ยังเช้าอยู่ ไม่ดีนักที่จะกินเนื้อมาก ๆ จางซิ่วเอ๋อจึงนำไข่ที่จวี๋ฮวาให้มาเมื่อวานไปล้างและต้ม

จางซิ่วเอ๋อยกไข่ออกมาแล้วถึงไปตักข้าวต้ม

พอกลับมาก็เห็นจางซานหยาล้างมือเรียบร้อย กำลังนั่งปอกไข่ ไม่นานนักก็ปอกไข่สามฟองเสร็จและใส่ลงไปในถ้วยของแต่ละคน

จางซิ่วเอ๋อเห็นแบบนั้นก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่นางเห็นนิสัยล้ำค่าจากตัวเด็กคนนี้

จางซิ่วเอ๋อกินข้าวต้มหอมกรุ่นเข้าไปคำหนึ่งแล้วจึงใช้ตะเกียบคีบไข่ขึ้นมากัดกิน

ไข่ไก่บ้านที่ต้มเองมีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่ป่า และมีรสชาติโอชะอย่างยิ่ง

เมื่อก่อนจางซิ่วเอ๋อเคยได้กินไข่ไก่ที่บ้านตระกูลจางเหมือนกัน แต่เป็นไข่ไก่ดิบที่แอบกิน อย่าให้พูดเลยว่ารสชาติแย่ขนาดไหน

กระทั่งหลังจากนั้นเวลาจางซิ่วเอ๋อนึกถึงไข่ไก่แบบนี้ก็จะหงุดหงิดใจ ที่บ้านจึงไม่เคยซื้อของกินจำพวกไข่

นางเคยกินไข่ไก่ป่าครั้งหนึ่ง ทว่าตอนนั้นนางหิวจนแทบบ้า มันจึงไม่ได้ช่วยบรรเทาปมในใจของนางที่เคยกินไข่ดิบมาก่อนเลยสักนิด

ครั้งนี้ได้กินไข่ต้มดี ๆ แล้ว จางซิ่วเอ๋อจึงรู้สึกได้ว่าไข่ไก่ของยุคโบราณอร่อยจริง ๆ

ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่มันก็มีไข่ขาวเด้งแน่นอุดมด้วยรสชาติ ส่วนไข่แดงก็เป็นสีเหลืองอร่าม อย่าให้พูดเลยว่ารสชาติดีขนาดไหน

จางซิ่วเอ๋อจึงคิดว่าตัวเองควรซื้อไข่ไก่บ้าง

อย่างน้อยจะได้เพิ่มไข่ในอาหารเช้าให้ทุกคน แถมไข่ไก่เป็นของที่ซ่อนได้ง่าย เหมาะจะเก็บให้แม่โจว

สามพี่น้องกินข้าวเสร็จแล้วรออีกพักหนึ่งจ้าวเอ้อร์หลางถึงมาหา

ไม่ใช่ว่าจ้าวเอ้อร์หลางขี้เกียจถึงเพิ่งโผล่มาหรอก

แต่เพราะจ้าวเอ้อร์หลางอยากรอให้พวกจางซิ่วเอ๋อกินข้าวเช้าให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมา ไม่อย่างนั้นถ้ามาแล้วจางซิ่วเอ๋อต้องเรียกเขาให้กินข้าวแน่ ๆ

ตอนนี้เขาได้กินข้าวที่บ้านจางซิ่วเอ๋อทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็น ไม่ใช่แค่กินอิ่มแต่กินดีด้วย พวกเขาพอใจมากแล้ว

ส่วนมื้อเช้าแค่เอาเงินไปซื้อข้าวหยาบมาทำข้าวต้มก็พอ

หลังจากกินข้าวที่บ้านจางซิ่วเอ๋อไปสองครั้ง จ้าวเอ้อร์หลางรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มีแรงทำงานขึ้น

จากนั้นจ้าวเอ้อร์หลางจึงพาจางซานหยาขึ้นเขาไปขุดผักและผ่าฟืน

มีจ้าวเอ้อร์หลางช่วยแบ่งเบาภาระ จางซานหยาก็ไม่รู้สึกว่าตัดหญ้าและขุดผักเหนื่อยขนาดนั้นแล้ว กลับค่อย ๆ ทำได้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองทำทุกอย่างเสร็จในเวลาเกือบเที่ยง

เมื่อมาถึงละแวกบ้านผีสิง จ้าวเอ้อร์หลางก็ได้กลิ่นผัดเนื้อ

“เอ้อร์หลาง ซานหยา พวกเจ้ากลับมาแล้วเหรอ ไปตามท่านอาจ้าวมาเร็ว ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว” จางซิ่วเอ๋อบอกยิ้ม ๆ

เดี๋ยวนี้จ้าวเอ้อร์หลางไม่ทำท่าบอกปัดแล้ว มันเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ ไม่มีอะไรที่เขาต้องมาเสแสร้ง

ไม่นานนักบัณฑิตจ้าวก็มา

ตอนนี้สีหน้าบัณฑิตจ้าวดีขึ้นกว่าก่อนมาก

ก่อนหน้านี้บัณฑิตจ้าวแทบจะเหลือเพียงครึ่งชีวิต หนึ่งคือป่วยหนักจริง ๆ ส่วนเรื่องที่สอง? เขาอดอยากจริง ๆ

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น คนแข็งแรงดีถ้าไม่ให้ข้าวกินก็อดอาหารจนอ่อนแอลงได้! ไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตจ้าวที่สุขภาพไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว!

บัณฑิตจ้าวยังไม่ค่อยอยากกินกับข้าวร่วมจานกับผู้อื่นเท่าใดนัก จางซิ่วเอ๋อจึงแยกใส่อีกจานและวางไว้ข้างบัณฑิตจ้าว

แบบนี้จะได้ให้บัณฑิตจ้าวกินเยอะ ๆ ด้วย

บัณฑิตจ้าวมองเนื้อติดมันลายสวยแล้วซาบซึ้งใจเหลือเกิน

วันนี้กินเนื้อผัดพริกหยวก ที่มีกับข้าวแค่อย่างเดียวเพราะพริกหยวกที่จางซิ่วเอ๋อนำกลับมาจากตระกูลโจวทำท่าจะเน่าเสีย จางซิ่วเอ๋อเลยคิดว่าต้องรีบกินให้หมด

ไม่อย่างนั้นถ้าต้องทิ้งคงน่าเสียดายแย่ มันไม่ได้มีมูลค่ามากมายหรอก แต่อย่างไรก็เป็นน้ำใจจากแม่เฒ่าโจว ถ้าทิ้งทั้งแบบนี้นางคงรู้สึกผิดแน่ ๆ

กับข้าวมีแค่อย่างเดียวก็จริง แต่ทำในปริมาณมาก!

พริกหยวกกับเนื้ออย่างละครึ่งผัดด้วยกัน ไม่ต้องให้พูดว่าอร่อยขนาดไหน

เพิ่งกินข้าวไปได้ไม่กี่คำก็ได้ยินเสียงเคาะประตู

สถานที่อย่างบ้านของจางซิ่วเอ๋อมักไม่มีใครมา บัดนี้นางถึงกับหน้าตามืดครึ้มเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

พอนึกถึงที่จางซานหยาบอก นางก็รู้ได้ทันทีว่าใครมาหา

และโชคดีที่บ้านผีสิงมีรั้วเป็นกำแพง ไม่เหมือนกับรั้วที่มองเห็นด้านในเหมือนในหมู่บ้าน

บัณฑิตจ้าวมองจางซิ่วเอ๋อ แววตาสงสัย

ไม่รู้ว่าใครกันที่มา

เขามาปรากฏตัวที่บ้านจางซิ่วเอ๋อแบบนี้ ต่อให้เขารู้ว่าไม่มีอะไร แต่ก็ต้องมีคนเอาไปนินทา ถ้ากลายเป็นว่าไปกระทบจางซิ่วเอ๋อคงจะไม่ดี

จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าบัณฑิตจ้าวคิดอะไร และรู้ว่าถ้าคนด้านนอกนั่นคือจางต้าหูจริง ๆ ข้าวมื้อนี้ก็อย่าหวังจะได้กิน

ถ้าโดนล้มโต๊ะอีก บัณฑิตจ้าวจะกินอะไร?

ขณะกำลังคิดอยู่ก็มีเสียงเรียกจากด้านนอก “ซิ่วเอ๋อ! ซิ่วเอ๋อ! เจ้าอยู่บ้านใช่ไหม? ข้าเห็นปล่องควันบ้านเจ้ามีควันลอยโขมงอยู่!”

จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าวันนี้ไม่เปิดประตูเห็นทีจะไม่ได้ ตามนิสัยจางต้าหู ถ้าตัวเองไม่เปิด จางต้าหูก็จะอยู่เฝ้าอยู่แบบนี้แหละ

เรื่องโง่ ๆ แบบนี้จางต้าหูทำได้แน่นอน

จางซิ่วเอ๋อจึงเข้าห้องหยิบตะกร้าไผ่ออกมา ใส่กับข้าวรวมถึงหมั่นโถวที่ตัวเองเพิ่งนึ่งในตอนเที่ยงเข้าไปในตะกร้า ก่อนจะคลุมผ้าสีน้ำเงินไว้ด้านบนและเอ่ยเสียงเบา “ขอโทษด้วยนะเจ้าคะท่านอาจ้าว”

บัณฑิตจ้าวตั้งใจจะไปอยู่แล้ว เวลาแบบนี้ก็ไม่โกรธจางซิ่วเอ๋อ เขาพูดยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ข้าก็ว่าจะเอากลับไปกินเหมือนกัน”

ที่จริงเขาเกือบอิ่มแล้ว แต่กลัวว่าถ้าตัวเองไม่รับไว้ จางซิ่วเอ๋อจะคิดมากว่าเขาโกรธ จึงรับไว้พลางบอก

จางซิ่วเอ๋อกระซิบกระซาบอะไรอีกนิดหน่อย บัณฑิตจ้าวก็พยักหน้า

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เตรียมสับอิพ่อเลยค่ะซิ่วเอ๋อ เอาให้กลับไปมือเปล่าเลย

ไหหม่า(海馬)