ตอนที่ 253 หน้าแตกไม่เหลือชิ้นดี / ตอนที่ 254 ต่อจากนี้ผมจะเป็นแบ็คอัพให้พี่เอง

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 253 หน้าแตกไม่เหลือชิ้นดี

 

 

ผู้จัดการหลี่ว์รู้สึกเบาใจลงเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ราชาปีศาจใช้คำสุภาพพูดคุยกับเขา มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น “เหมือว่าคุณหมออวี๋จะอยู่ในห้องประชุม ยังไม่ออกมา”

 

 

รอยยิ้มมุมปากที่ยกขึ้นอย่างลำพองใจของซูจิ่วซานชะงักลงอย่างเฉียบพลัน

 

 

มอบของขวัญ?

 

 

มอบของขวัญจริงๆ หรือว่าใช้คำว่ามอบของขวัญมาอ้างเพื่อเข้าไปสั่งสอนยัยอวี๋กานกานกันแน่

 

 

ซูจิ่วซานคลี่ยิ้ม “พวกคุณมาหาคุณหมออวี๋เหรอคะ คุณหมออวี๋เป็นหมอที่อายุน้อยที่สุดในสมาคมของพวกเราแล้วล่ะค่ะ วิชาแพทย์ที่ถนัดที่สุดก็คือรักษาโรคให้เด็กหนุ่ม พวกคุณก็คงมาหาคุณหมออวี๋เพื่อให้เธอช่วยตรวจดูอาการให้สินะคะ เลือกได้ถูกคนจริงๆ ค่ะ”

 

 

เยี่ยซีหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแหลมคมกดดันมองไปทางซูจิ่วซาน “เธอเป็นใคร”

 

 

คำพูดของผู้หญิงคนนี้ฟังผิวเผินเหมือนคำชม แต่แท้จริงเป็นคำด่า เยี่ยซีพูดอย่างรำคาญด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หน้าตาทั้งเ**่ยวทั้งอัปลักษณ์ แถมยังไม่รู้จักใช้คำพูด”

 

 

สีหน้าของซูจิ่วซานเรียกได้ว่าดูไม่ได้ อวดดีและไร้มารยาทเกินไปแล้ว มิน่าถึงไม่มีหมอคนไหนยอมไปตระกูลเยี่ย!

 

 

ผู้จัดการหลี่ว์แอบบ่นพึมพำว่าแย่ล่ะ เขาเกรงว่าถ้าเยี่ยซีโมโหขึ้นมาจะกลายร่างเป็นคนไม่เห็นหัวใคร จึงรีบชิงพูดขึ้นมา “ท่านนี้คือคุณหมอซูของสมาคมพวกเราครับ เธอเป็นคนแนะนำคุณหมออวี๋ให้ผม” พลางหันไปมองซูจิ่วซานแล้วส่งยิ้มให้ “นึกดูแล้วก็ต้องขอบคุณคุณหมอซูจริงๆ ถ้าคุณหมอซูไม่ได้แนะนำคุณหมออวี๋ให้ผม อาการป่วยของแม่เฒ่าเยี่ยคงต้องลากยาวไปอีกระยะหนึ่ง”

 

 

แม้ว่าหมอไมเคิลจะแนะนำให้ผ่าตัดโดยใช้วิธีฝังเข็มเชิงวิสัญญีเช่นเดียวกัน แต่ถ้ารอให้ถึงตอนนั้นตระกูลเยี่ยคงไม่รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเขา ดีที่เขาเชิญคุณหมออวี๋มาก่อน

 

 

รูม่านตาซูจิ่วซานหดเล็กอย่างฉับพลัน นึกว่าตนเองฟังผิด อวี๋กานกานนังผู้หญิงชั้นต่ำ สร้างชื่อเสียงโดยการหลอกคนทั้งโลก หรือว่ามันใช้มารยาหญิงจับเยี่ยซีจนอยู่หมัดแล้ว ไม่เช่นนั้นทำไมถึงได้…

 

 

ในตอนที่อวี๋กานกานเดินออกมา เธอได้ยินประโยคสุดท้ายของผู้จัดการหลี่ว์พอดี ที่แท้การที่เธอได้ไปตระกูลเยี่ยเป็นเพราะซูจิ่วซานแนะนำนี่เอง ตอนไปตระกูลเยี่ยช่วงแรกเธอโดนเยี่ยซีรังควานไม่น้อยเลย บวกกับฟังจากน้ำเสียงลำบากใจของผู้จัดการหลี่ว์ในตอนนั้น ดูท่าทุกคงรู้อยู่แล้วว่าชื่อเสียงเรียงนามของเยี่ยซีเน่าเหม็นแค่ไหน

 

 

เห็นได้ชัดว่าซูจิ่วซานเองก็รู้ในข้อนี้ดี ถึงได้ออกโรงแนะนำอวี๋กานกาน ตั้งใจให้เธอโดนรังแก

 

 

เมื่อได้ยินว่าเพราะซูจิ่วซาน อวี๋กานกานถึงได้มาตรวจที่ตระกูลเยี่ย สีหน้าของเยี่ยซีดูดีขึ้นเล็กน้อย เขาเลื่อนสายตาขึ้นเห็นอวี๋กานกาน พลันฉีกยิ้มออกมาทันที “พี่”

 

 

ก่อนหน้านี้เรียกซ้อ แต่อวี๋กานกานยืนกรานขอให้แก้ให้ถูกต้อง

 

 

เยี่ยซีเชิดคางส่งสัญญาณให้เสิ่นตงชิงและเฉินมั่ว

 

 

เสิ่นตงชิงรีบยื่นธงประกาศเกียรติคุณไปตรงหน้าอวี๋กานกาน พร้อมกับคลี่ธงและชี้ไปที่ตัวอักษร “พี่อวี๋ วิชาแพทย์ปาฏิหาริย์ ฮวาถัว[1]มาจุติใหม่”

 

 

เฉินมั่วเองก็ยื่นกล่องของขวัญไปตรงหน้าอวี๋กานกาน “นี่เป็นกระเป๋าแอร์เมสคอลเลคชั่นใหม่รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นที่เพิ่งออกปีนี้ ผมและพี่ซีเลือกให้พี่ด้วยมือของตัวเอง ชอบไหมครับ”

 

 

อวี๋กานกานกุมขมับ รู้สึกอับอายเล็กน้อย รีบลากทั้งสามคนเข้าห้องประชุมห้องหนึ่ง

 

 

“อย่าเลย คนที่ช่วยรักษาแม่เฒ่าเยี่ยจริงๆ คือคุณหมอไมเคิล ถ้าพวกนายอยากขอบคุณก็ไปขอบคุณเขาเถอะ”

 

 

ธงประกาศเกียรติคุณเธอจะรับไว้ก็แล้วกัน ส่วนกระเป๋าเธอรับไว้ไม่ได้จริงๆ แต่ว่าพอเธอดันกลับ เยี่ยซีก็ผลักกลับมา

 

 

เสิ่นตงชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พูด “พี่รับไว้เถอะครับ ถ้ารู้สึกว่ามันมากเกินไป พี่ก็จ่ายยาให้พวกผมสักชุดสองชุด”

 

 

เฉินมั่วพยักหน้าหงึกงัก กล่าว “ใช่ๆ จ่ายยาสักชุดสองชุด”

 

 

อวี๋กานกานมองพวกเขา ริมฝีปากหยักโค้งขึ้น ทว่ากลับไม่มีแววของรอยยิ้มแฝงอยู่ในนั้น “ยังแข็งแรงดีจะกินยงกินยาอะไรกัน ยังวัยรุ่นอยู่ออกกำลังกายเยอะๆ”

 

 

เสิ่นตงชิงยิ้มชั่วร้าย “ตกดึกผมออกกำลังกายทุกคืนเลยครับ”

 

 

เยี่ยซีเบิ๊ดกะโหลกเสิ่นตงชิงทันทีที่พูดจบ “ใครให้นายพูดเรื่องพรรค์นี้กันหะ นี่พี่สาวฉันเลยนะ พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”  

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ฮวาถัว ปรมาจารย์ด้านศัลยแพทย์

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 254 ต่อจากนี้ผมจะเป็นแบ็คอัพให้พี่เอง

 

 

เสิ่นตงชิงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิด รีบขอโทษอย่างประจบประแจง “พี่ ผมไม่ได้หมายถึงทำกิจกรรมบนเตียงกับผู้หญิงทุกคืน ผมนานๆ ครั้งถึงจะทำกิจกรรมบนเตียงกับผู้หญิง”

 

 

อวี๋กานกานมุกปากกระตุก

 

 

เยี่ยซีและเฉินมั่วเองก็อับอายขายขี้หน้า ถีบเสิ่นตงชิงไปคนละที

 

 

เสิ่งตงชิงร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดอยู่ข้างๆ

 

 

เยี่ยซีกระแอมออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ฉีกยิ้มงดงามราวกับมวลบุปผาให้อวี๋กานกาน กล่าว “พี่ครับ เย็นนี้พวกผมอยากจะชวนพี่ไปรับประทานอาหารด้วยกันสักมื้อ”

 

 

“เย็นนี้ฉันมีนัดแล้ว” อวี๋กานกานมีนัดกับหลินจยาอวี่จริงๆ

 

 

“ถ้างั้นพี่จะว่างอีกทีเมื่อไรครับ พวกเราจะได้ไปรับประทานด้วยกันสักมื้อ” เยี่ยซีพูดพลางถูฝ่ามือไปมา น้ำเสียงประหม่าลงอย่างอัตโนมัติ พูดลิ้นพัน “ละ ละ ละ แล้วก็ ชะ ชะ ชวนเฮียฟัง ขะ ขะ ของผม มะ มะ มาด้วยได้ไหม”

 

 

“ฉันกับฟังจือหันรู้จักกันแค่ผิวเผิน” อยากเลี้ยงข้าวเธอสักมื้ออะไรกัน เธอก็แค่ของแถมติดไปด้วยเท่านั้น เยี่ยซีเจ้าเด็กบ้า อยากจะเลี้ยงฟังจือหันชัดๆ เธอไม่ยอมติดกับไปเป็นตัวแถมให้คนครบจำนวนหรอก

 

 

“พี่ไม่ใช่ภรรยาของเฮียหรอกเหรอ”

 

 

“ไม่ใช่”

 

 

“งั้นก็ขาดแค่จดทะเบียนสมรส”

 

 

“ไม่ใช่” อวี๋กานกานค่อนข้างเอือมระอา ตอนนี้เธอกลัวการต้องเผชิญหน้ากับฟังจือหัน อิหลักอิเหลื่อและเขินอายเกินไป

 

 

เยี่ยซีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพวกเขารู้จักกันแค่ผิวเผิน ภาพเหตุการณ์เมื่อวันนั้นยังสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดตรงหน้า ทั้งสองคนถ้าไม่มีหนึ่งขา[1] งั้นก็ต้องมีสองขาอย่างแน่นอน   

 

 

เยี่ยซีพูดอย่างทุกข์ระทมขมขื่น “พูดกับพี่อย่างจริงจังเลยนะครับ หลายปีมานี้คำอธิษฐานตอนเริ่มต้นปีใหม่ของผมมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นคือได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับเฮียสักมื้อ จากนั้นเล่นเคาน์เตอร์สไตร์ต[2]ด้วยกัน”

 

 

เฉินมั่วที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบพยักหน้าทันที “คำอธิษฐานวันคริสต์มาส วันเกิด วันแรงงาน วันไหว้บ๊ะจ่าง…พี่ซีอธิษฐานแบบนี้หมดเลย”

 

 

เสิ่นตงชิงลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ “จริงครับ ยกเว้นคำอธิษฐานของวันปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไป”

 

 

เยี่ยซีและเฉินมั่วถีบเสิ่นตงชิงคนละทีอีกครั้ง

 

 

เสิ่งตงชิ่งไม่เข้าใจว่าเขาพูดผิดตรงไหน “…”

 

 

อวี๋กานกานเนือยหน่าย “…”

 

 

คำอธิษฐานเยอะเสียจริง หนึ่งเทศกาลหนึ่งคำอธิษฐาน เกรงว่าคำอธิษฐานที่ขอให้ได้กินข้าวร่วมโต๊ะกับฟังจือหันสักมื้อ คงเป็นแค่เศษเสี้ยวเดียวของคำอธิษฐานหลายพันข้อ

 

 

เยี่ยซีทอดถอนหายใจ ประหนึ่งถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง “พี่ครับ เรื่องนี้มีเพียงพี่คนเดียวที่จะช่วยผมได้”

 

 

เฉินมั่วมีสีหน้าหนักใจ ราวกับเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย “พี่ครับ ช่วยพี่ซีเถอะนะครับ”

 

 

เสิ่งตงชิงหยิกน่องของตัวเองอย่างแรง น้ำตาคลอเบ้าพูดกับอวี๋กานกานอย่างทุกข์ทรมาน “พี่ซีทุกข์ระทมมากจริงๆ นะครับ หลายปีมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกวันเอาแต่คิดอยากพบหน้าเฮีย ครั้งก่อนกว่าจะได้เจอไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ พอได้เจอแล้วอยากกินข้าวด้วยสักมื้อ ถ้าพี่ไม่ยอมช่วย กลัวว่าพี่ซีต้องล้มป่วยแน่”

 

 

เวอร์กันเกินไปแล้ว! เกิดเส้นขีดสีดำพาดทั่วบริเวณเหนือศีรษะของอวี๋กานกาน

 

 

เจ้าสามคนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่บรรลุนิติภาวะแล้วจริงๆ หรือ

 

 

อายุก็เกินสิบเก้าปีแล้ว ทั้งยังไม่ใช่ว่าเป็นสามวีรบุรุษที่มนุษย์ เทพหรือปีศาจยังต้องเกรงขามหรอกหรือ ทำไมถึง…ที่แท้ตำนานล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง

 

 

อวี๋กานกานโดนพวกเขาตามตื้อจนอับจนหนทาง ทำได้เพียงรับปาก ต้องหาวิธีจัดงานเลี้ยงให้พวกเขาให้ได้

 

 

ดวงตาทั้งสองของเยี่ยซีทอแสงแวววาวราวกับอัญมณีทันที เขามองอวี๋กานกานด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ครับ ต่อจากนี้ผมจะเป็นแบ็คอัพให้พี่เอง ถ้าใครกล้ารังแกพี่ ผมเยี่ยซีจะไม่ปล่อยมันไว้แน่! สุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทรผมก็จะไปลากตัวมันมา ทำให้มันรู้สึกเสียดายที่ยังต้องมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”

 

 

อวี๋กานกานมึนงงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดขำพรืดออกมา แม้ว่าจะค่อนข้างจูนิเบียว ทว่าก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจไม่น้อยเลยทีเดียว

 

 

เยี่ยซีก้าวเท้าออกจากสมาคม ประหนึ่งแม่ทัพกลับเมืองหลังได้รับชัยชนะจากสงคราม ดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไอดอลของเขาเป็นพวกภรรยาคุมเข้ม ก็ไอดอลเขาไม่ถนัดเข้าหาผู้หญิงนี่นา ถึงได้โดนชาวบ้านชาวช่องลือกันว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน น่าสงสารจริงๆ !

 

 

กว่าจะหาแฟนสาวได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ไอดอลเขาย่อมต้องทะนุถนอมเป็นธรรมดา ฉะนั้นหากเข้าทางอวี๋กานกานได้สำเร็จ เขาก็จะได้อยู่ใกล้ชิดกับไอดอลทุกที่ทุกเวลา

 

 

 

 

 

 

——