เล่ม 1 ตอนที่ 104 สัตว์มงคล ทั้งยังเป็นสัตว์อสูรสีรุ้งอีกด้วย

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ในเวลาต่อมา ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เสาะหาสัตว์อสูรวิเศษเพื่อทำพันธสัญญา จากสัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นหนึ่ง ไปจนถึงสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง ความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นไปทีละขั้นๆ

หลังจากมาที่เทือกเขาได้ห้าวัน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ฝึกสัตว์ให้เชื่องได้มากพอสมควร วันนี้ หลังจากที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งตนหนึ่งให้เชื่องได้แล้ว พลังที่ได้รับกลับมาในระยะนี้ทำให้เธอบรรลุระดับปรมาจารย์วิญญาณขั้นห้า เลื่อนระดับไปยังขั้นหกได้สำเร็จ

“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี้จะทำให้นักฝึกสัตว์อสูรได้รับพลังขณะที่ฝึกสัตว์อสูรได้จริงๆ ด้วย” หลังจากเลื่อนระดับสำเร็จ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สัมผัสถึงพลังในร่างกายที่ทวีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ จึงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรนี่จะกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่นักฝึกสัตว์อสูรในตอนนั้นตบตีแย่งชิงกันได้อย่างไรเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เจ้านายคนก่อนๆๆ ก็เป็นนักฝึกสัตว์อสูร เขาเคยบอกว่าเขาอยากได้เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรเล่มนี้มาครอบครองเช่นกัน เพราะหากนักฝึกสัตว์อสูรอยากฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงขึ้นให้เชื่อง ก็จำเป็นต้องใช้เวลาไปกับการยกระดับพลังจิตมากยิ่งขึ้น การฝึกยุทธ์ของตนเองก็จะล่าช้าออกไป ถ้าหากได้ครอบครองเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร ก็จะได้รับพลังมาระหว่างการฝึกสัตว์อสูรวิเศษให้เชื่อง เขาก็คงไม่…”

“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้านายคนก่อนของเจ้าช่างมีมากมายเสียจริง” ซือหม่าโยวเย่ว์หลั่งเหงื่อเยียบเย็น นักหลอมยา นักฝึกสัตว์อสูรล้วนมีทั้งสิ้น ถ้าหากวันใดที่มันพูดอีกว่ามันมีเจ้านายคนก่อนที่เป็นนักหลอมวัตถุ เป็นปรมาจารย์ค่ายกล เธอก็คงไม่ประหลาดใจอีกแล้ว

“หึๆ” เจ้าวิญญาณน้อยสูดจมูก มันจึงไม่บอกซือหม่าโยวเย่ว์ว่าเจ้านายคนก่อนๆ ของมันนั้นมีผู้เชี่ยวชาญครบทุกแขนงเลยทีเดียว

“เอาล่ะ ตอนนี้มาฝึกสัตว์อสูรให้เชื่องกันต่อดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าคำรามน้อย เมื่อครู่ตอนข้าฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่ง ยังรู้สึกสบายๆ อยู่เลย เจ้าหาสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามให้ข้าเลยแล้วกัน”

“ได้สิ เย่ว์เย่ว์ เจ้ารอก่อนนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูดจบก็เหาะจากไป ไม่นานนักก็พาตัวสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสามตนหนึ่งกลับมา

ตอนฝึกในครั้งนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่ากินแรงอยู่บ้าง ในที่สุดก็ฝึกมันให้เชื่องได้สำเร็จอย่างทุลักทุเล

หลังการฝึกให้เชื่องสิ้นสุดลง เธอก็เช็ดเหงื่อเยียบเย็นบนหน้าผาก ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินพลังของตัวเองสูงเกินไปเสียแล้ว แต่ผู้ที่ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ให้เชื่องได้ทั่วทั้งอาณาจักรตงเฉินก็มิได้มีให้เห็นมากนัก

แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเพราะเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรและเคล็ดหลอมวิญญาณที่เธอได้ครอบครอง รวมทั้งพลังจิตอันแข็งแกร่งของเธอเองอีกด้วย

“เย่ว์เย่ว์ ยังต้องการขั้นสี่อีกหรือไม่” เจ้าคำรามน้อยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ทำเสร็จแล้วจึงเหาะเข้ามาถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ฝึกขั้นสามให้เชื่องก็เปลืองแรงมากแล้ว หากฝึกขั้นที่สูงกว่านี้ กลัวแต่ว่าจะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเข้าน่ะสิ เจ้าไปช่วยข้าหาขั้นสามมาอีกหลายๆ ตัว รอให้ข้าฟื้นฟูตัวเองแล้วจะเริ่มต้นฝึกพวกมัน”

“ได้เลย” เจ้าคำรามน้อยพูดจบแล้วก็บินจากไป

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเจ้าคำรามน้อยเชี่ยวชาญการล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษเช่นนี้ก็ส่ายหน้าพลางอมยิ้ม หลังจากนั้นจึงให้ย่ากวงอารักขาตน ก่อนจะหลับตาลงฟื้นฟูพลังจิตที่เหือดหายไป

บางทีอาจเป็นเพราะเพิ่งเคยใช้พลังจิตจนหมดในขณะฝึกสัตว์อสูรให้เชื่องเป็นครั้งแรก การฟื้นฟูของซือหม่าโยวเย่ว์ในครั้งนี้จึงกินเวลาหนึ่งคืนเต็มๆ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นจึงฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ ต่อมาเธอก็ใช้เวลาอีกหนึ่งวันในการฝึกให้เชื่อง หนึ่งคืนในการฟื้นฟู เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายวัน ในที่สุดก็ฝึกสัตว์อสูรวิเศษขั้นสามหลายตนให้เชื่องได้สำเร็จ

ต่อมาเธอก็ฝึกสัตว์อสูรทิพย์ขั้นหนึ่งถึงสามอีกจำนวนหนึ่งแล้วเก็บตัวพวกมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณจนหมด เพื่อมิให้พวกมันล่วงรู้ความลับของมณีวิญญาณ เธอจึงให้เจ้าวิญญาณน้อยแยกตัวพวกมันมาขังเอาไว้ด้วยกัน

“เจ้านาย ท่านอยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้วนะ” ย่ากวงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวไปได้พอสมควรแล้ว สัตว์อสูรทิพย์ในบริเวณรอบๆ ก็ถูกเธอกวาดล้างไปไม่น้อย จึงเอ่ยปากเตือน

“อืม พวกเราก็ควรจากไปได้แล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า “ไม่รู้ว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นเช่นไรบ้าง รอเจ้าคำรามน้อยกลับมาก่อนแล้วพวกเรากลับกันเลยก็ได้”

พูดจบเธอก็ส่งเสียงเรียกเจ้าคำรามน้อยในใจหลายครั้ง ก่อนจะบอกมันเรื่องที่จะไปจากที่นี่ ให้มันรีบกลับมาโดยเร็ว มิฉะนั้นจะทิ้งมันเอาไว้โดยไม่สนใจไยดี

“เย่ว์เย่ว์ใจอำมหิต!” เจ้าคำรามน้อยบ่นคำหนึ่ง หลังจากนั้นจึงพูดกับสัตว์อสูรวิเศษที่สนทนากันอย่างมีความสุขอยู่ข้างๆ ว่า “ข้าต้องไปแล้วล่ะ เฮ้อ เจ้าไม่ต้องคิดถึงข้าให้มากนักหรอกนะ”

พอพูดจบมันก็บินไปหาซือหม่าโยวเย่ว์ ทิ้งแม่ลิงสาวตัวนั้นเอาไว้ให้มองตามมันอย่างยากจะตัดใจ

ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ทางฝั่งเจ้าคำรามน้อย สีหน้าจึงคล้ำเข้ม

เจ้านี่ ไปจีบสาวอีกแล้ว ไม่ใช่สิ ไปล่อลวงสัตว์อสูรวิเศษอีกแล้ว!

“เย่ว์เย่ว์ ข้ากลับมาแล้ว!” พอเจ้าคำรามน้อยกลับมาถึง ก็พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์หิ้วคอเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วยกขึ้นมาตรงหน้าตนก่อนจะมองซ้ายมองขวา

“เย่ว์เย่ว์ เจ้ากำลังดูอะไรของเจ้าน่ะ” เจ้าคำรามน้อยถามพลางกะพริบดวงตากลมโต

“ข้ากำลังดูว่าเจ้าเป็นสัตว์มงคลจริงหรือไม่น่ะสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

เจ้าคำรามน้อยเอียงศีรษะพลางพูดอย่างเย่อหยิ่งหาใดเปรียบว่า “เจ้าดูออกแล้วหรือยัง”

“ข้าเห็นเพียงแค่สัตว์อสูรสีรุ้งตนหนึ่งเท่านั้นเอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์โยนเจ้าคำรามน้อยออกไปอย่างส่งๆ ก่อนจะนั่งลงบนหลังย่ากวงแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถิด”

พอได้รับคำสั่ง ย่ากวงจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป เจ้าคำรามน้อยทรงตัวกลางอากาศจนได้ เมื่อเห็นว่าพวกเขาไปก่อนแล้วจึงบ่นอย่างไม่พอใจว่า “เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณที่หล่อเหลางามสง่าถึงเพียงนี้ ช่างเป็นสตรีที่ใจจืดใจดำเสียจริง! แต่สัตว์เพศหญิงอื่นๆ ล้วนไม่อาจต้านทานเสน่ห์ข้าได้ เหตุใดเย่ว์เย่ว์จึงได้หยาบคายเช่นนี้ทุกครั้งเลย หรือว่าชาติก่อนนางเป็นบุรุษ ไม่ถูกสิ ชาติก่อนไม่ใช่เย่ว์เย่ว์นี่นา เฮ้อ ปวดสมองเสียจริง…”

คิดคำตอบไม่ออก ทั้งยังเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปไกลแล้ว มันจึงรีบติดตามไปในทันที มันร่อนลงบนหัวย่ากวงแล้วมองไปเบื้องหน้าด้วยท่าทีเช่นผู้บัญชาการ

ด้วยความเร็วของย่ากวง พวกเขาจึงกลับไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว

ซือหม่าโยวเย่ว์แวะไปที่โรงเตี๊ยมก่อน เมื่อได้รู้ว่าพวกซือหม่าเลี่ยได้ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อสิบกว่าวันก่อนแล้ว เธอจึงตรงไปยังสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแล้วกลับไปยังเมืองหลวงผ่านค่ายกลนำส่ง

หนึ่งวันให้หลัง ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไปถึงเมืองหลวง แล้วตรงกลับไปยังจวนแม่ทัพ

“คุณชายห้า ในที่สุดท่านก็กลับมาเสียที” เมื่อพ่อบ้านเห็นซือหม่าโยวเย่ว์จึงวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นยินดี

“แหะๆ ข้ากลับมาแล้ว ท่านปู่เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามยิ้มๆ

“ท่านแม่ทัพอยู่ในโถงรับแขกขอรับ” พ่อบ้านพูด

“ข้าจะไปหาท่านปู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็ออกเดินไป แต่กลับถูกพ่อบ้านรั้งตัวเอาไว้

“คุณชายห้า ท่านอย่าเพิ่งไปตอนนี้เลยขอรับ คนตระกูลน่าหลานนั่นมาที่นี่แล้ว” พ่อบ้านพูด

“คนของตระกูลน่าหลานมาอย่างนั้นหรือ น่าหลานเหอน่ะหรือ พวกเขามาทำไมกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

มิใช่ว่าเธอให้พวกเป่ยกงถังสร้างปัญหาให้กับพวกน่าหลานเหอแล้วหรอกหรือ เพราะเหตุใดตอนนี้จึงยังมีเวลาว่างมาหาเรื่องที่นี่ได้อีกเล่า

“มิใช่น่าหลานเหอหรอกขอรับ เป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลน่าหลานต่างหากเล่า เขาบอกว่าอยากพบท่าน” พ่อบ้านพูด “แต่ท่านนายพลเห็นพวกเขาแล้วสีหน้ามิสู้ดีนัก กลัวแต่ว่าจะมิใช่เรื่องดี ท่านสั่งเอาไว้ว่าหากคุณชายกลับมา ห้ามมิให้ท่านไปที่โถงรับแขกเป็นอันขาดขอรับ”

“ผู้อาวุโสใหญ่หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ค้นหาเกี่ยวกับผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลน่าหลานในความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ว่ากันว่านอกจากท่านบรรพชนตระกูลน่าหลานแล้ว เขาเป็นผู้ที่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด อีกเพียงนิดเดียวก็จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่บรรลุขั้นราชันวิญญาณได้แล้ว

เดิมทีซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะไปพบหน้าผู้อาวุโสใหญ่ท่านนั้นที่โถงรับแขก แต่พ่อบ้านดึงตัวเธออย่างสุดชีวิตไม่ยอมปล่อย และเมื่อนึกถึงว่าซือหม่าเลี่ยย่อมต้องรับมือกับตาเฒ่าผู้หนึ่งได้แน่นอนอยู่แล้ว จึงยอมแพ้แล้วหันกลับไปยังเรือนพักของตนเอง

พ่อบ้านส่งสายตาให้ผู้คุ้มกันที่อยู่อีกฟากหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าถ้าหากคนของตระกูลน่าหลานกลับไปแล้วให้บอกให้พวกเขารู้ด้วย หลังจากนั้นจึงจากไปพร้อมกับซือหม่าโยวเย่ว์

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปถึงเรือนพักของตนเอง เห็นพ่อบ้านคอยเฝ้าเธอทุกฝีก้าวไม่เว้นห่าง จึงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เขายังคงเห็นตนเป็นหนุ่มน้อยอ่อนประสบการณ์ ได้รับบาดเจ็บอย่างง่ายดายผู้นั้นอยู่อีกสินะ กลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย เธอจดจำความซาบซึ้งนี้เอาไว้ในหัวใจ

เมื่อนึกถึงตระกูลน่าหลานขึ้นมา เธอก็ยิ้มเย็นขึ้นมาในใจแล้วยิ้มตาหยีมองพ่อบ้าน “ท่านพ่อบ้าน ระยะนี้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลน่าหลานใช่หรือไม่”

……………………