เล่ม 1 ตอนที่ 105 ถูกเขาจำได้อย่างนั้นหรือ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

“คุณชายห้า ท่านรู้ได้อย่างไรกัน”

พ่อบ้านมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างฉงนใจ ตระกูลน่าหลานเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจากภายนอก หากมิใช่เพราะพวกเขาคอยสังเกตการณ์ตระกูลน่าหลานอยู่ตลอดก็คงไม่มีทางรู้ได้เลย

แต่คุณชายห้าเพิ่งจะกลับเข้าเมืองมาหยกๆ มิใช่หรือ แล้วเขารู้ได้อย่างไรกัน

“แค่กๆ ข้าเดาส่งๆ ไปอย่างนั้นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “มิฉะนั้นผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลน่าหลานคงไม่มีทางมาถึงบ้านพวกเราหรอก”

“ได้ยินว่าน่าหลานเหอผู้นั้นได้รับบาดเจ็บตอนที่ไปยังเทือกเขาผู่สั่ว หลังจากกลับมาแล้วเขาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ไม่ยอมออกมาเลย ผู้คุ้มกันที่ไปด้วยกันก็รอดชีวิตกลับมาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าพวกเขาไปประสบพบเจอเรื่องอันใดเข้า” พ่อบ้านพูดพลางทอดถอนใจ น้ำเสียงเจือด้วยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็โห่ร้องยินดีในใจ เธอบอกแล้วมิใช่หรือว่าเธอจะคำนวณพลาดได้อย่างไรกัน!

“คุณชาย ท่านกลับมาแล้ว” เมื่อชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ได้ยินเสียงของซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกมาจากในห้องแล้วมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างปีติยินดี

หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ออกเดินทางไปแล้ว พวกนางก็ไม่มีอะไรทำเลย ท่านแม่ทัพอนุญาตให้พวกนางฝึกยุทธ์ด้วยตนเองได้ ดังนั้นพลังยุทธ์ของพวกนางสองคนจึงยกระดับขึ้นมาในช่วงหลายเดือนมานี้

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกนางจึงยิ้มตาหยีพลางถามว่า “พวกเจ้าคิดถึงคุณชายเช่นข้าบ้างหรือไม่”

“คุณชายล้อข้าเล่นอีกแล้วนะเจ้าคะ!” ชุนเจี้ยนพูดยิ้มๆ

“ช่วงนี้คุณชายไม่อยู่บ้านบ่อยๆ พวกเราย่อมคิดถึงท่านอยู่แล้วเจ้าค่ะ” อวิ๋นเย่ว์พูด “คราวนี้คุณชายกลับมาอยู่นานเท่าใดหรือเจ้าคะ”

“พรุ่งนี้น่าจะกลับวิทยาลัยแล้วละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเห็นพลังยุทธ์ของพวกเจ้าสองคนยกระดับขึ้นมาไม่น้อยเลย ไม่รู้ว่าฝีมือทำครัวของพวกเจ้าพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่ ไปสิ เตรียมมื้อเย็นมาให้ข้าเสีย ข้าหิวจะตายอยู่แล้วนะ”

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ประสานสายตากันปราดหนึ่งก่อนจะพูดพร้อมกันว่า “คุณชายรอประเดี๋ยวเจ้าค่ะ พวกบ่าวจะไปเตรียมมาให้”

พูดจบแล้วทั้งสองจึงย่อกายคารวะก่อนถอยออกไปเตรียมมื้อเย็นให้เธอที่ห้องครัว

ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมตัวกลับหอพัก เห็นพ่อบ้านยังคงยืนอยู่ในห้อง เธอจึงโบกไม้โบกมือให้เขาพลางเอ่ยว่า “ท่านไปทำธุระของท่านเถิด ถึงแม้ว่าข้าจะกลับมาที่นี่แล้วก็ไม่มีทางไปพบตาเฒ่าบ้าจากตระกูลน่าหลานผู้นั้นหรอก”

พ่อบ้านก็มีธุระที่ต้องไปจัดการอยู่จริงๆ เขามองเธออย่างสงสัยก่อนจะประสานมือพลางพูดว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“ไปเถิด ไปเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์โบกมือ รอจนพ่อบ้านไปแล้วจึงค่อยกลับไปยังเรือนของตน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ก็ยกอาหารเย็นเข้ามา เมื่อเห็นกับข้าวหน้าตาสีสันน่ารับประทาน ซือหม่าโยวเย่ว์จึงอดที่จะแอบใช้มือหยิบกินมิได้

“ดูท่าทางตอนที่ข้าไม่อยู่ ฝีมือทำอาหารของพวกเจ้าก็มิได้ถดถอยลงเลยนะ”

เมื่อได้ฟังคำชมของเธอ ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์ต่างพากันยิ้มอย่างเบิกบานใจ

“คุณชายห้า”

ในขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์เตรียมจะเริ่มกินอาหารนั้นเอง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็ตะโกนเข้ามาจากลานบ้าน

ชุนเจี้ยนออกไปแล้วกลับเข้ามาอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยว่า “คุณชาย นายท่านส่งคนมาเรียกท่านไปน่ะเจ้าค่ะ”

ซือหม่าโยวเย่ว์มองข้าวปลาอาหารแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดว่า “รอข้ากลับมาก่อนค่อยกินแล้วกัน”

“คุณชาย เมื่อครู่ผู้คุ้มกันบอกว่าท่านแม่ทัพสั่งการให้ท่านนำอาหารไปด้วยเลย” ชุนเจี้ยนพูดเสริม

“อ้อ เช่นนั้นก็ยกตามมาเลย”

ซือหม่าโยวเย่ว์ไปยังห้องหนังสือของซือหม่าเลี่ย ชุนเจี้ยนยกกับข้าวกับปลาตามมาด้านหลัง เมื่อมาถึงด้านนอกห้องหนังสือ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงรับถาดมาก่อนจะส่งสัญญาณให้ชุนเจี้ยนกลับออกไป

ผู้คุ้มกันด้านนอกห้องหนังสือทั้งหมดล้วนได้รับคำสั่งว่าหากซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามา จะต้องรีบเปิดประตูให้เธอ

ซือหม่าเลี่ยกำลังก้มหน้ามองอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อได้ยินเสียงจึงพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นเลย “นั่งลงกินข้าวสิ”

ซือหม่าโยวเย่ว์วางอาหารลงบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือมาหยิบกระดาษจดหมายในมือซือหม่าเลี่ย เธอส่งข้าวชามหนึ่งไปยังมือของเขาพลางเอ่ยว่า “ไหนๆ จะกินข้าว ก็อย่าดูสิ่งเหล่านี้อีกเลย”

ซือหม่าเลี่ยปล่อยให้เธอวางกระดาษจดหมายไปข้างๆ แล้วกินอาหารค่ำเป็นเพื่อนเธอ หลังจากกินเสร็จก็ให้คนมาจัดเก็บถ้วยชาม ทั้งยังให้คนชงชาถ้วยหนึ่งมาให้เธอด้วย

ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกพิกล ตนเองจากไปนานถึงเพียงนี้ เพิ่งได้พบหน้ากัน แต่เขากลับไม่ถามเลยว่าตนไปทำอะไรมา เพียงแค่กินอาหารเย็นและดื่มชากับตนเท่านั้น

“แค่กๆ ท่านปู่ ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวก่อน พรุ่งนี้ยังต้องไปที่วิทยาลัยอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่านี่คือสัญญาณเตือนก่อนที่ซือหม่าเลี่ยจะบันดาลโทสะ จึงคิดจะใช้เรื่องนี้หนีกลับไป

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังเร็วอยู่เลย” ซือหม่าเลี่ยดื่มชาอึกหนึ่ง แล้ววางถ้วยชาลงอย่างช้าๆ

“อื้ม” ซือหม่าโยวเย่ว์ยกถ้วยชาขึ้นดื่มชา ซือหม่าเลี่ยไม่พูดจา เธอเองก็มิได้พูดอะไรเช่นกัน

“วันนี้คนตระกูลน่าหลานมาหา” ในที่สุดก็เป็นซือหม่าเลี่ยที่อดไม่ไหว เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

“ข้าได้ยินมาแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า รับคำประโยคหนึ่งแล้วก็เงียบไปอีก

ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่มีปัญหา เธอมักจะต้องขุดให้ถึงต้นตอเสมอ เหตุใดวันนี้จึงเงียบสงบเช่นนี้ได้ ทำให้เขามิอาจเอ่ยปากตำหนิเธอได้ทั้งที่ใจนึกอยาก

เขาลอบทอดถอนใจ อยากจะตำหนิเธอแต่ก็ทำไม่ลงจริงๆ

“เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกเขามาทำอะไรกระมัง” ซือหม่าเลี่ยพูด

“เออ… ไม่รู้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “พ่อบ้านมิได้บอกข้า”

“พวกเขาต้องการตัวเจ้า” ซือหม่าเลี่ยจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์ นึกว่าจะมองอะไรออกจากใบหน้าของเธอได้ แต่สีหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์กลับไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ปราศจากความสำนึกผิด จากนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเขาบอกว่าเจ้าสังหารน่าหลานฉี จะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังแล้วจึงลอบพึมพำว่าที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องของน่าหลานฉีจริงๆ แต่มิใช่เกิดเรื่องขึ้นกับน่าหลานเหอแล้วหรือ เหตุใดจึงยังมีกะจิตกะใจมารังควานเธอถึงที่นี่อีกเล่า

“เฮ้ๆ ไร้ซึ่งหลักฐาน อาศัยอะไรมาหาว่าข้าฆ่าคนกันเล่า!” เธอยิ้มน้อยๆ

“พูดเช่นนี้ก็แปลว่าจริงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าเลี่ยถาม

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า เธอไม่คิดจะปิดบังซือหม่าเลี่ยเรื่องนี้จึงเอ่ยว่า “คราวก่อนตอนเช้าวันที่ข้าออกจากบ้าน ระหว่างทางไปยังวิทยาลัย เขาได้พาผู้คุ้มกันระดับปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งมาสังหารข้า เพียงแต่สุดท้ายแล้วกลับถูกข้าสังหารก็เท่านั้นเอง”

อันที่จริงแล้วเช้าวันที่น่าหลานฉีถูกสังหาร ผู้คุ้มกันที่เขาส่งไปคุ้มครองซือหม่าโยวเย่ว์ได้กลับมารายงานเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นว่าซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ปิดบัง ซือหม่าเลี่ยจึงพูดว่า “ตอนนี้ตระกูลน่าหลานหาศพของน่าหลานฉีไม่พบ ไม่ว่าใครจะมาถาม เจ้าปฏิเสธท่าเดียวก็ใช้ได้แล้วล่ะ”

“อืม ข้าเข้าใจแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า

“แต่วันนี้ข้ามิได้อยากจะคุยเรื่องนี้กับเจ้าหรอกนะ” ซือหม่าเลี่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บอกมาสิว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลน่าหลานในระยะนี้ ใช่ฝีมือเจ้าหรือไม่”

“เรื่องอะไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจได้สติกลับมาอยู่ชั่วครู่ เธอเงยหน้าขึ้นมองซือหม่าเลี่ยพลางถามขึ้น

“น่าหลานเหอไปชิงผลอสรพิษทองคำที่เทือกเขาผู่สั่วในครั้งนี้ ระหว่างทางกลับก็ถูกสัตว์อสูรวิเศษนานาชนิดไล่ตามฆ่า เรื่องนี้เจ้าคงมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยกระมัง”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวใจเต้นตึกตักคราหนึ่ง เขารู้ได้อย่างไรกัน

เมื่อนึกถึงว่าตนมิอาจให้เขาล่วงรู้เรื่องที่ตนไปช่วงชิงผลอสรพิษทองคำได้ เธอจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านปู่ เหตุใดเรื่องของตระกูลน่าหลานจึงต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าด้วยเล่า! ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาไปยั่วยุสัตว์อสูรวิเศษอะไรมาบ้าง มิฉะนั้นจะถูกไล่ตามมาตลอดทางได้อย่างไร”

“พอแล้ว อย่าเฉไฉอีกเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด “ข้าเห็นพวกเจ้าหมดนั่นแหละ!”

อะไรกัน!

คราวนี้ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจจริงๆ เสียแล้ว หรือว่าตอนนั้นตนพรางตัวขนาดนั้นแล้วเขาก็ยังจำได้อีกหรือ

………………