เล่ม 1 ตอนที่ 106 เคราะห์ร้ายของตระกูลน่าหลาน

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ความเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนเพียงเล็กน้อยบนใบหน้าของซือหม่าโยวเย่ว์มิอาจรอดพ้นสายตาชราของซือหม่าเลี่ยไปได้ เขาจ้องมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วดึงสีหน้าพลางเอ่ยว่า “ยังไม่ยอมรับอีกหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะแห้งๆ สองครั้งแล้วพูดว่า “ท่านปู่มิได้กำลังต่อสู้กับวานรอยู่หรอกหรือ แล้วมองเห็นพวกเราได้อย่างไรกัน”

เธอคิดเอาไว้ว่าตราบใดที่ซือหม่าเลี่ยไม่พูดออกมา เธอก็ไม่มีทางยอมรับแน่

“เฮอะ ข้าไม่เห็นเจ้าหรอก แต่เห็นเจ้าเด็กตระกูลชวีผู้นั้นต่างหากเล่า สามคนรอบๆ กายนั่นคงจะเป็นเพื่อนร่วมเรือนพักเดียวกันกับเจ้ากระมัง พวกเขาล้วนอยู่ที่นั่นกันทั้งหมด แล้วเจ้าจะไม่อยู่ได้หรือ” ซือหม่าเลี่ยพูด “ถึงแม้ว่าข้าจะกำลังต่อสู้อยู่ แต่ในจังหวะเวลาว่างก็ยังเห็นพวกเขาเข้าอยู่ดี”

ได้ยินซือหม่าเลี่ยพูดเช่นนี้ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งใจทีหนึ่ง ตอนนี้เขายังคิดว่าตนเพียงแค่ชมดูอยู่บนทางลาดเขาเท่านั้น ถ้าหากเขารู้ว่าเธอคือคนที่ชิงผลอสรพิษทองคำไป ก็คงมิอาจปิดบังเรื่องเกี่ยวกับหมัวซาเอาไว้ได้อีกแล้ว นอกจากนี้เธอยังต้องถูกสั่งสอนอย่างหนักหน่วงยกหนึ่งอย่างแน่นอนอีกด้วย

ถึงอย่างไรก็มิอาจกินผลอสรพิษทองคำลงไปโดยตรงได้อยู่แล้ว พอถึงเวลาที่เธอหลอมเป็นยาวิเศษสำเร็จแล้วค่อยมอบให้พวกเขากินก็ใช้ได้แล้ว

“หึๆ ท่านปู่มิได้กลัวจะถูกวานรทำร้ายเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์ผ่อนคลายความวิตกกังวลลงจึงสบายใจมากยิ่งขึ้น

“เรื่องของตระกูลน่าหลาน เป็นฝีมือพวกเจ้าหรือ”

ถึงแม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของซือหม่าเลี่ยกลับแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่ารอให้กลับจากเทือกเขาผู่สั่วก่อนแล้วจะมาหาเรื่องที่บ้านพวกเรา ก็เลยอยากจะให้พวกเขาติดอยู่ภายในเทือกเขาเท่านั้นเอง แต่ท่านปู่ ตอนนี้เจ้าพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้างหรือ”

“จะเป็นอย่างไรได้เล่า ผู้คุ้มกันที่พาไปตายไปกว่าครึ่ง ผู้ที่ไม่ตายก็ไปยมโลกได้ครึ่งทางแล้ว ตอนนี้น่าหลานหลานเหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น ส่วนน่าหลานเหอเสียแขนไปข้างหนึ่ง” ซือหม่าเลี่ยพูดถึงเคราะห์ร้ายของตระกูลน่าหลานด้วยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย

“พวกเขาสองคนยังรอดมาได้อีก!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสิ้นหวังอยู่บ้าง

ซือหม่าเลี่ยถลึงตาใส่ซือหม่าโยวเย่ว์ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องสาหัสสำหรับตระกูลน่าหลานเลยทีเดียว! อย่างน้อยในระยะนี้ พวกเขาคงไม่กล้ามาท้าทายพวกเราหรอก”

“เช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ชาติสุนัขนั่นมิได้มาหาเรื่องข้าหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เบ้ปาก

สิ่งที่เธอต้องการคือสังหารน่าหลานเหอทิ้งที่เทือกเขาผู่สั่ว หากประมุขตระกูลตายไป ถึงอย่างไรตระกูลน่าหลานคงต้องวุ่นวายกันไปสักระยะ แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำได้เพียงแค่ทำให้เขาเสียแขนไปข้างหนึ่งเท่านั้นเอง

“อันที่จริงสิ่งที่เจ้าคิดก็ไม่เลวเลยนะ เพียงแต่ว่าพวกเขาอ่อนแอทางด้านนี้ไปสักหน่อยเท่านั้น แต่ก็หาด้านอื่นมาชดเชยได้” ซือหม่าเลี่ยพูดพลางถอนหายใจ

“ทำไมหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าเลี่ยอย่างสงสัย

“หลังจากที่เจ้าออกไปจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าตระกูลน่าหลานไปเชิญนักหลอมยาจากไหนมาเข้าร่วมกับตระกูลเขาคนหนึ่ง ว่ากันว่าใกล้จะไปถึงระดับนักหลอมยาขั้นสามแล้ว พวกเขาอาศัยสิ่งนี้ดึงดูดปรมาจารย์วิญญาณที่บำเพ็ญตามลำพังมาเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลานได้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ในร้านค้า พวกเขายังอาศัยตลาดยาวิเศษเขมือบธุรกิจของพวกเราอย่างต่อเนื่อง ระยะนี้พี่ใหญ่พี่รองของเจ้ากำลังเป็นกังวลเพราะเรื่องนี้อยู่เลยทีเดียว” ซือหม่าเลี่ยพูด “ต้องโทษที่ยามปกติข้าอารมณ์มิสู้ดีนัก มีความสัมพันธ์กับนักหลอมยาไม่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นระยะนี้จึงไม่มีใครเต็มใจออกมาช่วยพวกเราเลย”

“มิน่าเล่า ถึงแม้ประมุขตระกูลของพวกเขาอยู่ในสภาพนี้ แต่พวกเขาก็ยังกล้ามาโวยวายใส่พวกเราที่นี่ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างเข้าใจ “แต่ท่านปู่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ พวกเขามีแค่นักหลอมยาขั้นสองเพียงคนเดียวเท่านั้นมิใช่หรือ พวกเราก็มีได้เช่นกัน”

เธอเข้าใจแรงดึงดูดที่นักหลอมยาคนหนึ่งมีต่อผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นดี ทั้งยังมีแรงปรารถนาที่ทหารรับจ้างมีต่อยาวิเศษเหล่านั้นอีก ถ้าหากตระกูลน่าหลานมีนักหลอมยาคนหนึ่งเข้าร่วม ก็มีต้นทุนที่จะทำให้พวกเขาหยิ่งผยองต่อไปได้จริงๆ

แต่นั่นเฉพาะในกรณีที่พวกเขาแน่ใจว่าตระกูลซือหม่าหานักหลอมยาไม่ได้จริงๆ เท่านั้น พวกเขามั่นใจในตัวเองว่าซือหม่าเลี่ยมีความสัมพันธ์อันย่ำแย่กับบรรดานักหลอมยา ดังนั้นย่อมไม่มีใครเต็มใจเข้าร่วมตระกูลพวกเขาแน่  แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าจะมีนักหลอมยาปรากฏขึ้นมาจากภายในตระกูลซือหม่าเอง

ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่ตนเพิ่งมาถึงยังโลกแห่งนี้ ซือหม่าเลี่ยให้เธอกินยาวิเศษ ทั้งสองยังคุยกันอยู่ว่านักหลอมยาเหล่านั้นล้วนหยิ่งยโสเทียมฟ้า ทั้งยังบอกว่าตนจะสำเร็จเป็นนักหลอมยาคนหนึ่งให้จงได้ ตอนนี้เวลาผ่านมาไม่ถึงครึ่งปี เธอก็ทำตามสิ่งที่พูดไว้ในตอนนั้นได้สำเร็จแล้ว

“นักหลอมยาขั้นสองหรือ” เธอพูดพึมพำ “ข้าอยากจะเห็นสักหน่อยว่า นักหลอมยาขั้นสองที่ท่านว่านั้นร้ายกาจสักเพียงใดกัน!”

“เจ้าว่าอะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์พูดพึมพำอยู่คนเดียวจึงถามขึ้น

“ไม่มีอะไรหรอก ท่านปู่ หากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อนละนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ไม่มีเรื่องได้อย่างไรเล่า!” ซือหม่าเลี่ยนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่ได้พูด จึงถามว่า “สิบกว่าวันนี้เจ้าหายไปไหนมา พี่สามของเจ้าพูดเพียงแค่ว่าเจ้ามีธุระต้องออกไปก่อน แต่ออกไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่ได้บอก เจ้าทำให้พวกเรากังวลกันแทบตายเลยทีเดียวนะ!”

ซือหม่าโยวเย่ว์จึงนึกถึงเรื่องสัตว์อสูรวิเศษขึ้นมาได้แล้วเอ่ยว่า “ข้าก็มิได้ไปไหนหรอก แค่ออกไปหาเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้นเอง หลังจากที่ฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้นิดหน่อยแล้วจึงกลับมา ท่านมิได้บอกว่าคนเหล่านั้นต่างย้อนกลับมาได้ตลอดเวลาหรอกหรือ ข้าก็เลยคิดอยากจะลองดูว่ามีวิธีอะไรที่จะยกระดับพลังยุทธ์ของข้าได้บ้างหรือไม่ ตระกูลน่าหลานก็ไปดึงตัวปรมาจารย์วิญญาณจำนวนไม่น้อยมาพอดีมิใช่หรือ พวกเราก็ใช้สัตว์อสูรวิเศษมาชดเชยสิ”

พูดจบเธอก็เรียกตัวสัตว์อสูรวิเศษที่ทำให้เชื่องแล้วภายในมณีวิญญาณออกมา ทันใดนั้นภายในห้องหนังสือจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรวิเศษในร่างจำแลง

ซือหม่าเลี่ยสะดุ้งตกใจเพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันที่เกิดขึ้นตรงหน้า จากนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “พวกมันมาจากไหนกัน”

“บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าเป็นฝีมือสหายน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ภายในนี้มีครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์อสูรทิพย์ ทั้งยังมีหลายตนที่เป็นเพียงสัตว์อสูรทิพย์ระดับสาม เจ้าพวกนี้ทิ้งเอาไว้ให้พี่ๆ พลังยุทธ์ของพวกเขาในตอนนี้น่าจะทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษตนที่สองได้แล้วกระมัง สำหรับพวกที่ระดับต่ำกว่าเหล่านั้นก็นำไปขายที่ร้านค้า ก็นับได้ว่าชดเชยที่ยาวิเศษหายไป พวกที่ระดับขั้นสูงก็ให้ทหารผู้ดูแลที่เชื่อถือได้ภายในจวนไปทำพันธสัญญาด้วย ท่านปู่ว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”

ซือหม่าเลี่ยมองสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้อย่างตื่นเต้นยินดี เดิมทีเขาก็นึกถึงการเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษสักฝูงมาให้คนในจวนทำพันธสัญญาเช่นกัน แต่สัตว์อสูรวิเศษที่ระดับขั้นสูงหน่อยนั้นราคาแพงใช่ย่อยเลยทีเดียว ไปหาสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร พวกเขาก็บอกว่าทำได้เพียงแค่ทำให้ระดับสัตว์อสูรทิพย์ลงไปเชื่องได้เท่านั้น ทั้งยังจัดหาระดับสัตว์อสูรทิพย์ขึ้นไปให้ได้เพียงแค่เดือนละหนึ่งถึงสองตนเท่านั้น นอกจากจะต้องจัดหาสัตว์อสูรวิเศษมาเองแล้ว ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการฝึกมันให้เชื่องด้วย

คิดไม่ถึงว่าระยะเวลาที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายไปนี้ได้จัดการเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงยินดีกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย พร้อมกันนั้นก็ชื่นชมกับความคิดอันละเอียดอ่อนของซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ในใจ ตนเพิ่งจะบอกเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ไป เธอก็นึกถึงการใช้สัตว์อสูรวิเศษยกระดับพลังยุทธ์ขึ้นมาได้

“ใช่แล้ว ยังมีอีก คนผู้นั้นบอกกับข้าว่าสัตว์อสูรวิเศษที่นางฝึกค่อนข้างพิเศษ ถ้าหากทำพันธสัญญากับมนุษย์แล้ว ขณะที่ทำพันธสัญญา ทั้งสองฝ่ายจะได้รับพลังผันกลับ หากพลังยุทธ์สูงก็จะสามารถเลื่อนระดับได้เลยทีเดียว นอกจากนี้หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับ สัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับไปด้วยได้เช่นเดียวกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดเสริม

“อะไรนะ” ซือหม่าเลี่ยสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปเสียแล้วจึงถามซ้ำอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าการทำพันธสัญญาทำให้เลื่อนระดับได้ด้วยอย่างนั้นหรือ หลังจากที่เจ้านายเลื่อนระดับ สัตว์อสูรวิเศษก็เลื่อนระดับได้ด้วยหรือ”

“อื้ม คนผู้นั้นบอกกับข้าเช่นนี้แหละ เหมือนจะพูดว่าวิธีการฝึกสัตว์อสูรของนางค่อนข้างพิเศษ แต่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ท่านปู่ ท่านหาคนมาจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ก่อนเถิด ส่วนเรื่องยาวิเศษของตระกูลน่าหลาน อีกไม่นานก็คงจะจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ”

…………………………