เล่ม 1 ตอนที่ 107 ขอความช่วยเหลือ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มั่นใจในตัวเองเช่นนี้จึงทำใจเชื่อคำพูดของเธอด้วยเช่นกัน คล้ายกับว่าอีกไม่นานจะมีนักหลอมยามาช่วยเหลือตระกูลซือหม่าจริงๆ

“อืม เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะจัดการกับสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ให้ดีเลย” ซือหม่าเลี่ยพูด

ตระกูลซือหม่ามีสัตว์อสูรวิเศษมากมายโผล่ขึ้นมาในทันทีทันใด นอกจากนี้ในขณะที่คนนอกยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด ถ้าหากเก็บเป็นความลับกับภายนอกไปตลอด นี่ก็จะเป็นไพ่ไม้ตายใบหนึ่งของพวกเขาเลยทีเดียว

ดังนั้นเรื่องนี้จึงได้แต่ให้คนที่ไว้ใจได้มาจัดการเท่านั้น ผู้ที่จะได้สัตว์อสูรวิเศษเป็นรางวัลก็ต้องเป็นผู้ภักดีต่อจวนแม่ทัพเท่านั้น

“ใช่แล้ว คนผู้นั้นบอกว่าต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามบอกผู้อื่นเด็ดขาด ข้าขอตัวก่อน” เธอมอบสัตว์อสูรวิเศษให้กับซือหม่าเลี่ยแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกไปจากห้องหนังสือ มิได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการกระจายสัตว์อสูรวิเศษอีก

ซือหม่าเลี่ยใช้ชีวิตอยู่มานานกว่าเธอเป็นร้อยปี ย่อมต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ได้อย่างรอบคอบและเหมาะสมกว่าเธออยู่แล้ว

เมื่อกลับมาถึงเรือนตนเองแล้วจึงห้ามมิให้พวกชุนเจี้ยนมารบกวนตน หลังจากที่ขังตัวเองเอาไว้ในห้องเรียบร้อย เธอจึงหายตัวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ

“หมัวซา” เธอมาถึงข้างต้นผลอสรพิษทองคำ ก็เห็นหมัวซานั่งอยู่ที่นั่น

หมัวซาลืมตาทรงเสน่ห์ร้ายกาจคู่นั้นขึ้น ก็มองเห็นความสงสัยหนึ่งในใจของเธอ

เพราะเหตุใดทุกครั้งที่เธอมองนัยน์ตาของหมัวซาจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาตลอด

“มีเรื่องอันใดหรือ” หมัวซาถาม

“ข้าจะต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองให้ได้โดยเร็วที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บงำความคิดภายในใจเอาไว้แล้วถามขึ้น

“เพราะเหตุใดกัน”

ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องตระกูลน่าหลานให้เขาฟังรอบหนึ่งแล้วพูดว่า “เพราะท่านปู่มิได้สนิทสนมกับนักหลอมยาเหล่านั้น ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับพวกเขาไม่ดีสักเท่าไหร่ ในขณะนี้นักหลอมยาเหล่านั้นไม่มีใครเต็มใจมาช่วยเหลือพวกเราทั้งสิ้น แล้วการไปหานักหลอมยาสักคนที่ไว้ใจได้ข้างนอกนั่นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสอง เช่นนี้จึงจะเทียบเคียงกับตระกูลน่าหลานได้”

หมัวซาขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “เจ้าเพิ่งจะเป็นนักหลอมยาขั้นหนึ่งได้ไม่นาน คิดอยากจะสำเร็จเป็นขั้นสองในระยะเวลาอันสั้นนั้นก็มิใช่เรื่องง่ายเลย”

“ข้ารู้ดี ดังนั้นจึงได้มาหาท่านให้ช่วยอย่างไรเล่า ท่านต้องช่วยให้ข้าสำเร็จเป็นนักหลอมยาขั้นสองได้อย่างแน่นอน”

“หนทางน่ะพอมีอยู่หรอก” หมัวซาพูด “แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องทำไปทีละขั้นทีละตอน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าก็คือตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนให้คุ้นเคยกับรอยต่อแต่ละส่วนของการหลอมยาโดยเร็ว การฝึกฝนทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ พอได้ที่ เจ้าก็จะสำเร็จเป็นขั้นสองได้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องใช้เวลานานมากเลยหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม

“ด้วยคุณสมบัติของเจ้า บวกกับการชี้แนะของข้า คงจะไม่นานมากนักหรอก” หมัวซาพูด

“ดี เช่นนั้นข้าออกไปเตรียมตัวสักหน่อยแล้วเริ่มกันเลยดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วเดินออกไป

เดิมทีเธอคิดว่าพรุ่งนี้จะไปที่วิทยาลัย แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้ เธอจำเป็นต้องปลีกวิเวกฝึกฝนจึงจะใช้ได้ แต่ถ้าหากตนอยู่ภายในมณีวิญญาณไปตลอด ซือหม่าเลี่ยก็อาจจะสัมผัสกลิ่นอายของตนได้แล้วค้นพบอะไรเขาก็เป็นได้

คิดไปคิดมา เธอจึงตัดสินใจไปที่วิทยาลัย ภายในเรือนพัก ต่อให้พวกเจ้าอ้วนชวีอยู่กันครบหมด ก็ไม่มีทางค้นพบว่าเธอไม่อยู่ในห้อง

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วเธอก็บำเพ็ญอยู่ภายในห้อง จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น เธอจึงรีบมุ่งหน้าไปยังวิทยาลัย

ชุนเจี้ยนและอวิ๋นเย่ว์เห็นห้องอันว่างเปล่าของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็พากันทอดถอนใจ

ก่อนหน้านี้ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ทุบตีด่าว่า ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ พวกนางก็ไม่เป็นอันทำอะไรไปทั้งวัน ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้พวกนางทั้งสองสะเทือนใจไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจว่าตอนนี้คุณชายดีต่อพวกนางแล้ว ให้เวลาและทรัพยากรในการฝึกยุทธ์กับพวกนางอย่างเพียงพอ พวกนางจะต้องพยายามยกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองให้ได้ เพื่อที่จะปกป้องเขาได้ในภายภาคหน้า

ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างช่วงการฝึกฝน ทุกวันไม่มีคาบเรียน นักเรียนอาศัยอยู่ในวิทยาลัย หรืออยู่ในเรือนพักเพื่อทำการฝึกยุทธ์ก็ดี หรือจะไปห้องสมุดเพื่อศึกษาตำราก็ย่อมได้ทั้งสิ้น

ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงวิทยาลัย เป่ยกงถังกับโอวหยางเฟยได้ออกไปแล้ว เมื่อนึกถึงว่าพวกเขาสองคนมักทำตัวมีลับลมคมในอยู่ตลอด เธอก็มิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด ส่วนเจ้าอ้วนชวีนั้นกลับบ้านไปแล้ว ทั้งเรือนพักจึงเหลือเพียงเว่ยจือฉีนั่งอ่านตำราอยู่ภายในศาลาของเรือนเพียงคนเดียวเท่านั้น

“โยวเย่ว์” เมื่อได้ยินเสียงประตูใหญ่ถูกเปิดออก เว่ยจือฉีจึงเหลือบสายตาขึ้นมอง เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นยินดี

“จือฉี เหตุใดจึงเหลือเจ้าอยู่คนเดียวเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไปหา ก่อนจะนั่งลงแล้วเอ่ยถาม

“โอวหยางกับเป่ยกงออกไปตั้งแต่รุ่งสางแล้ว ส่วนเจ้าอ้วนกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ยังไม่กลับมาเลย” เว่ยจือฉีพูด “โยวเย่ว์ ตอนอยู่ที่เมืองเหยียนเจ้าไปไหนมาน่ะ เหตุใดจึงจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกันเลยเล่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบจมูกตัวเองพลางเอ่ยว่า “ตอนนั้นข้ามีธุระเร่งด่วนต้องไปจัดการน่ะ ก็เลยให้พี่สามแจ้งทุกคนให้แทน พวกเราส่งมอบภารกิจเรียบร้อยแล้วหรือยัง”

เว่ยจือฉีพยักหน้า “วันรุ่งขึ้นหลังจากกลับมาก็ไปส่งมอบกันเรียบร้อยแล้วล่ะ โชคดีที่ข้าเป็นคนเก็บเครื่องยาทั้งหมดเอาไว้ ส่วนสัตว์อสูรวิเศษนั้นถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่อยู่ แต่พวกเราสี่คนล้วนมีส่วนที่เกินมากันอยู่  เอามารวมกันเป็นส่วนของเจ้าได้พอดี ดังนั้นภารกิจของพวกเราในคราวนี้จึงได้คะแนนเต็มเลยละ!”

“จริงหรือ” เมื่อได้ยินว่าภารกิจได้คะแนนเต็ม ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตื่นเต้นขึ้นมา “ขอบใจพวกเจ้ามากนะ!”

“ขอบใจอะไรกันเล่า” เว่ยจือฉีพูด “ถ้าหากมิใช่เพราะเจ้าทำให้พวกเราทุกคนรู้จักการร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเราก็ไม่มีทางได้ซากสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนั้นมาครอบครองหรอก คราวนี้เจ้าจะกลับมาพักที่นี่นานเท่าใดหรือ”

“คาดว่าคงอีกสักระยะหนึ่งนั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “คาดว่าช่วงเวลาต่อจากนี้ข้าคงจะปลีกวิเวก ดังนั้นน่าจะมิได้ออกมาบ่อยสักเท่าใดนัก”

“เจ้าจะปลีกวิเวกอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างประหลาดใจ โดยทั่วไปแล้วการปลีกวิเวกก็เพื่อการเลื่อนระดับ หรือว่านางสัมผัสถึงขอบกั้นของการเลื่อนระดับแล้ว

จะต้องตีแสกหน้าผู้อื่นถึงเพียงนี้เลยหรือไม่!

ถ้าหากเขาได้รู้ว่าซือหม่าโยวเย่ว์เลื่อนระดับไปเรียบร้อยแล้ว กลัวแต่ว่าหัวใจดวงน้อยของเขาคงจะถูกโจมตีอย่างน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก

“ใช่แล้ว ข้าขอตัวกลับไปเก็บกวาดห้องก่อนนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบแล้วก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องไป

เว่ยจือฉีมองตามหลังซือหม่าโยวเย่ว์พลางลอบรำพึงว่านางขยันถึงเพียงนี้ แล้วตนจะยังไม่ขยันอีกได้อย่างไร ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ในเวลาต่อมา หากไม่ได้ไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลอะไร ก็จะพักผ่อนอยู่ในห้องตลอด

ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บกวาดห้องจนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นจึงเข้าไปฝึกฝนการหลอมยาภายในมณีวิญญาณ ตอนนี้คุ้นเคยกับการหลอมยาวิเศษขั้นหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นตอนพลบค่ำที่เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยกลับมา เธอจึงหลอมยาวิเศษออกมาได้หลายเตาแล้ว

เมื่อได้รู้ว่าพวกเขากลับมา ซือหม่าโยวเย่ว์จึงออกมาจากมณีวิญญาณ สนทนากับพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากบอกกับพวกเขาว่าตนจะปลีกวิเวกแล้วจึงกลับเข้าไปภายในมณีวิญญาณอีกครั้ง

“เริ่มปลีกวิเวกตอนนี้เลยแล้วกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์มองหมัวซาพลางพูดขึ้น

หมัวซาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ตอนกลางวันเจ้าก็ฝึกยุทธ์อยู่ภายในมณีวิญญาณ ส่วนเวลากลางคืนก็ฟื้นฟูพลังจิตและพลังวิญญาณ ถึงแม้ว่าต้นผลอสรพิษทองคำนี้จะแผ่ไอหล่อเลี้ยงวิญญาณออกมาได้ แต่มันจำเป็นต้องดูดซับแสงจันทรา ดังนั้นในเวลากลางคืน พวกเราจึงจำเป็นต้องออกไปข้างนอก

ซือหม่าโยวเย่ว์มองต้นผลอสรพิษทองคำปราดหนึ่งก็พบว่ามันมิได้มีไอหมอกขาวโอบล้อมอยู่รอบๆ เหมือนในตอนแรกสุดแล้วจริงๆ แสดงว่าพลังจันทราในตัวมันหมดไปพอสมควรแล้ว

“วันนี้เจ้าหลอมยาวิเศษมาทั้งวันแล้ว คืนนี้ฟื้นฟูพลังจิตก่อนดีกว่า” หมัวซาพูด

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ความคิดวูบไหวคราหนึ่งแล้วจึงหยิบเอาต้นผลอสรพิษทองคำออกมาจากมณีวิญญาณพร้อมกับหมัวซา

คืนนี้แสงจันทราสว่างไสวพอดี เธอจึงให้เจ้าคำรามน้อยไปยกแผ่นกระเบื้องบนหลังคาออกสองแผ่น เพื่อให้แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา

แสงจันทราสาดส่องลงบนต้นผลอสรพิษทองคำ ใบไม้แผ่ไอจางๆ ออกมาในทันที ซือหม่าโยวเย่ว์และหมัวซาต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิ อาศัยต้นผลอสรพิษทองคำในการฟื้นฟูวิญญาณของตน

……………………