ตอนที่ 275 ทุกบ้านล้วนมีเรื่องอับอายเป็นของตัวเอง / ตอนที่ 276 เจ้าเป็นคนหมู่บ้านหวงถัวหรือ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 275 ทุกบ้านล้วนมีเรื่องอับอายเป็นของตัวเอง

“อีกอย่าง หัวหน้าหมู่บ้านและท่านป้าอาศัยอยู่ที่นี่ มิพักพูดถึงความอ้างว้าง ไป๋จื่อให้พวกข้าอาศัยอยู่ที่นี่ ก็เพราะหวังให้บุตรสาวของข้าสร้างความคึกครื้นให้พวกเขา อีกทั้งบ้านหลังนี้ก็ดีทีเดียว พวกข้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่า”

บนใบหน้าของซู่เกินเหมือนมีเปลวไฟแผดเผา แม้แต่คนนอกยังรู้ว่าคนเฒ่าคนแก่อยากให้มีลูกหลานมาห้อมล้อม เขาเป็นบุตรชายของบ้านนี้แท้ๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

แต่ไหนเลยหลี่ซื่อจะสนใจสีหน้าของสามี นางไม่ได้มองเขาอยู่โดยสิ้นเชิง

“อาอู่ บ้านของพวกข้ากว้างขวางกว่าที่นี่มาก อีกอย่างก็ไม่ได้อยู่ห่างจากบ้านของไป๋จื่อเท่าไรนัก จากบ้านของพวกข้าไปทำงานในที่ดินยิ่งใกล้กว่าที่นี่อีก อยู่ที่บ้านพวกข้าต้องสะดวกสบายกว่าที่นี่แน่นอน รีบเก็บข้าวของแล้วตามข้าไปเถอะ”

อาอู่ส่ายหน้า “ข้าเข้าใจความหวังดีของพี่สะใภ้ ทว่าอย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีก”

ครั้นเห็นสีหน้าของหลี่ซื่อเปลี่ยนไป อาอู่ก็รีบกล่าวอีก “เมื่อครู่แม่นางไป๋ให้ข้านำแตงดิน ข้าว และหมี่มาด้วย ข้าจะแบ่งให้พี่ชายกับพี่สะใภ้นำกลับไปสักหน่อยแล้วกัน” เขาพูดพลางหมุนกายเข้าไปในเรือน

เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีของจะให้ ความหม่นหมองบนใบหน้าของหลี่ซื่อก็นับว่าคลายลงไปสองส่วน จากนั้นนางก็มองไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ใช้เงินค่าเช่าบ้านไปเรื่อยเปื่อยนะเจ้าคะ หยวนหมิงใกล้จะต้องการแม่สื่อแล้ว ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นแล้วจะต้องใช้เงินมากเท่าไร หากพวกข้ามีไม่พอ ท่านก็ช่วยออกเงินหน่อยนะเจ้าคะ”

สายตาของหัวหน้าหมู่บ้านมีแต่ความเย็นชา เขาไม่อยากพูดจาไร้สาระกับนางอีก สตรีนางนี้ นอกจากจะชายตามองเขายามที่ตนเองต้องการเงินแล้ว ปกติเวลาพบกันในหมู่บ้าน นางไม่เห็นจะเรียกเขาว่าท่านพ่อสักคำ

เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงชำเลืองมองซู่เกิน บุตรชายของตนเองอย่างเฉยชาครั้งหนึ่ง ก่อนจะหมุนกายเข้าบ้านไป

ซู่เกินคอตก ไม่กล้ามองตาของผู้เป็นบิดาโดยสิ้นเชิง สีหน้าของเขาในตอนนี้ยิ่งมีแต่ความคับอกคับใจ

“ท่านพ่อ…ข้ายังพูดไม่จบเลย!” หลี่ซื่ออยากตามไปบ่นต่อ ทว่าซู่เกินไม่รู้ได้ความกล้ามาจากที่ใด เขาพลันรั้งนางไว้

หลี่ซื่อหันกลับไปถลึงตามองเขา “เจ้าทำอะไร”

หวังซู่เกินรีบปล่อยมือ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว หยวนหมิงรอพวกเรากลับไปทำอาหารให้กินอยู่นะ เจ้าก็อย่าบ่นนักเลย ส่วนเรื่องแม่สื่อของหยวนหมิง ตกลงกันแล้วค่อยมาเจรจากันอีกครั้งก็ยังไม่สาย”

ฝ่ายภรรยามองสีท้องฟ้า เย็นแล้วจริงๆ หากกลับไปช้ากว่านี้ หยวนหมิงคงจะบ่นพวกเขาอีกแน่

ทันใดนั้น อาอู่ก็นำถุงผ้าและตะกร้าออกมา ในถุงผ้าใส่ข้าวเอาไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนในตะกร้ามีแตงดินอยู่จนเต็มใบ ความจริงแล้วไม่กี่หัวเท่านั้น ทว่าแต่ละหัวมีขนาดใหญ่ยิ่งนัก ใส่ลงไปในตะกร้าไม่กี่หัวก็เต็มแล้ว

“พี่สะใภ้ ครอบครัวของข้ายากจน ไม่มีของดีอะไรจะมอบให้ท่าน สิ่งเหล่านี้แม่นางไป๋เป็นคนมอบให้ข้า ข้าจึงแบ่งออกมาให้พวกท่านเล็กน้อย พวกท่านอย่าได้รังเกียจเลยนะ”

หลี่ซื่อจะรังเกียจได้อย่างไร ขอเพียงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ นางล้วนชอบทั้งสิ้น

หลังจากส่งข้าวของให้อีกฝ่ายแล้ว อาอู่ก็พูดอีกว่า “แม่นางไป๋บอกว่าแตงดินนี้ควรจะกินตอนที่ยังสดใหม่ หากแตกหน่ออ่อนหรือกลายเป็นสีดำก็ไม่อาจกินได้แล้ว เช่นนั้นมีพิษ”

เรื่องนี้ใช่ว่าหลี่ซื่อจะไม่เคยได้ยิน เพราะแพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว นางยิ้มพลางพยักหน้า “ได้ ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบเข้าไปกินข้าวเถอะ วันหลังข้าจะนำถุงผ้าและตะกร้ามาคืนให้เจ้า”

เมื่อเงาร่างของหลี่ซื่อและหวังซู่เกินหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว อาอู่ถึงจะถอนใจยาวเสียงหนึ่ง แล้วหมุนกายกลับเข้าไปในเรือน

ทุกบ้านล้วนมีเรื่องปัญหาเป็นของตนเองสินะ!

เขากลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะ บัดนี้สีหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านดูอึดอัดใจอยู่บ้าง “ทำให้พวกเจ้าหัวเราะเยาะแล้ว”

“ไม่ใช่นะขอรับ พี่สะใภ้ยังกลัวเสียหน้าอยู่ และพวกข้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” อาอู่รีบพูด เทียบกับสองแม่สามีและลูกสะใภ้ของสกุลไป๋ นับว่าหลี่ซื่อยังรู้จักรักษาเกียรติของตนเองอยู่

หัวหน้าหมู่บ้านถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะไม่ได้พูดอะไรมาก นอกจาก “กินข้าวเถอะ”

……….

ตอนที่ 276 เจ้าเป็นคนหมู่บ้านหวงถัวหรือ

สกุลหู

“จื่อยาโถว ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอน เจ้ายังทำอะไรอยู่หรือนี่” ลุงหูตื่นขึ้นหลังจากหลับไปตื่นหนึ่ง เดิมคิดจะไปห้องสุขา ทว่าเห็นในห้องครัวยังคงจุดไฟสว่างโร่อยู่

ไป๋จื่อกำลังนวดก้อนแป้งให้เป็นเส้นยาว แล้วค่อยหันเป็นท่อนเล็ก

นางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อ พลางยิ้มกริ่ม “พรุ่งนี้เมิ่งหนานและจินเสี่ยวอันจะไปแล้ว ข้าจึงทำของว่างให้พวกเขาสักเล็กน้อย เพื่อให้พวกเขานำติดตัวไปกินระหว่างทางเจ้าค่ะ”

ลุงหูร้องอ๋อเสียงหนึ่ง “อยากให้ข้าช่วยหรือไม่ ข้าก่อไฟให้เจ้าได้นะ”

เด็กสาวรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้ ท่านไปนอนเถอะ ข้าใกล้จะเสร็จแล้วเช่นกัน”

อีกฝ่ายเห็นนางกล่าวดังนั้นก็ไม่อยากรบเร้า จึงพยักหน้า ก่อนจะหมุนกายกลับเรือนไป

หูเฟิงที่กำลังฝึกยุทธ์อยู่ภายในห้องค่อยๆ ลืมตาขึ้น หลังจากได้ยินประตูห้องข้างๆ ปิดลงแล้ว เขาก็เปิดประตูห้องออกไป

ในอากาศมีกลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวล ยามดึกสงัดเช่นนี้แล้ว ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว ส่วนที่ลานด้านหลังก็ดูเหมือนจะสว่างจ้าเช่นกัน

“เจ้าทำมากมายถึงเพียงนี้เชียว พวกเขาจะกินหมดหรือ”

จู่ๆ ก็มีเสียงของหูเฟิงดังขึ้นมา ทำเอาไป๋จื่อตกใจจนแทบจะสับมีดลงบนนิ้วของตนเอง

ไป๋จื่อวางมีดลง แล้วหันไปมองหูเฟิงที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว ขณะเดียวกันก็เบิกตาโพลง “เจ้ากะจะให้ข้าตกใจตายสินะ ดึกป่านนี้แล้ว” เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลย หรือว่าเขาจะใช้วิชาตัวเบา

หูเฟิงเดินเตร่เข้าไปในห้องครัว แล้วนั่งลงบนเก้าอี้เล็กๆ หน้าเตาไฟ เขามองไฟในเตาครั้งหนึ่ง แล้วโยนฟืนเข้าไปข้างในสองสามท่อนอย่างไม่ใส่ใจ

“เจ้าก็รู้ว่าดึกป่านนี้แล้วหรือ ก็แค่อาหารเช้าของคนสองคนเท่านั้น ต้องทำมากมายถึงเพียงนี้เชียว” เขากวาดสายตามองซึ้งสามชั้นที่อยู่บนเตาไฟ ซึ่งด้านในมีอาหารอยู่เสียครึ่งหนึ่งแล้ว

ไป๋จื่อกล่าว “เมิ่งหนานเป็นคุณชายผู้สูงส่งจากเมืองหลวง กลับเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าว่านอกจากจะมีคนของที่ว่าการอำเภอไปส่งเขาแล้ว จะต้องมีคนของสกุลเมิ่งจากเมืองหลวงมารับเขาด้วยเช่นกัน ทำมากย่อมดีกว่าทำน้อยแต่ไม่พอกินนะ”

นางลงมือทำอาหารต่อ สายตาจดจ่ออยู่ที่ก้อนแป้งในมือ ทว่าปากก็ยังคงพูดต่อ “หูเฟิง สักวันเจ้าจะต้องจำความได้ ย่อมเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน หากเจ้ากลายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์เช่นเดียวกับเมิ่งหนานขึ้นมา เมื่อเจ้าคิดถึงเวลา ณ ตอนนี้ เจ้าจะรู้สึกว่ามีชีวิตอย่างอดสูหรือไม่”

หูเฟิงไม่ได้มองนาง เขาเอาแต่มองเปลวไฟที่เต้นเร่าอยู่ในเตา “เหตุใดเจ้าถึงแน่ใจว่าข้าเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ บางทีข้าอาจจะเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปก็ได้”

เด็กสาวส่ายหน้า “เจ้าไม่มีทางเป็นคนธรรมดา”

“โอ้? เจ้าแน่ใจปานนั้นเชียว เพราะเหตุใดกันล่ะ” หูเฟิงเลิกคิ้ว

นางหยุดท่าทางของตนเองในทันที ก่อนจะวางมีดหั่นผักลง แล้วใช้มือชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง “ลางสังหรณ์บอกข้าว่าเจ้าจะต้องไม่ใช่คนที่มีฐานะทั่วๆ ไปอย่างแน่นอน เจ้าไม่ใช่คนหมู่บ้านหวงถัว ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องจากไป”

หูเฟิงช้อนสายตาขึ้นมองนาง ดวงตาเอาจริงเอาจังของนางช่างน่ามองยิ่งนัก ราวกับดวงดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามราตรี ทั้งยังนำพาแสงสว่างแห่งความหวังมาให้เขาในยามที่อับจนหนทางที่สุดด้วย

“แล้วเจ้าเล่า เจ้าเป็นคนหมู่บ้านหวงถัวหรือ”

ไป๋จื่อหยุดหั่นก้อนแป้ง ในดวงตาปรากฏความสับสนขึ้นแวบหนึ่ง ความสับสนต่ออนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ ความสับสนต่อชีวิตในวันข้างหน้า ทุกอย่างตรงหน้าดูเหมือนราบรื่นไปเสียทุกอย่าง แต่นางรู้ว่าความสุขสงบเช่นนี้ไม่อาจยั่งยืน

ไม่ว่าโลกที่แปลกหน้าใบนี้ หรืออีกโลกหนึ่งที่นางคุ้นเคย ต่างก็ไม่มีความสุขสงบใดยั่งยืน

แต่แล้วอย่างไร นี่ถึงจะเป็นชีวิตไม่ใช่หรือ

นางตกอยู่ในภวังค์เพียงพริบตาเดียว ก่อนจะยิ้มจางๆ ที่มุมปาก แล้วเหล่มองหูเฟิงเอาแต่จับจ้องกองไฟ “แน่นอน ตอนนี้เจ้ากับข้าล้วนเป็นคนหมู่บ้านหวงถัว ส่วนต่อจากนี้เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ว่าอย่างไรเวลาก็ต้องผ่านพ้นไป ไม่มีใครรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”