ตอนที่ 277 พยาธิไส้เดือนในท้องของเขา / ตอนที่ 278 องครักษ์หลี่ผู้เย่อหยิ่ง

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 277 พยาธิไส้เดือนในท้องของเขา

จู่ๆ หูเฟิงก็ยิ้มขึ้นมา เผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัวสวยอย่างหาได้ยาก

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หูเฟิงยิ้มให้ไป๋จื่อ แต่กลับเป็นไป๋จื่อที่เพิ่งเคยเห็นฟันขาวๆ ของเขาเป็นครั้งแรก

“เจ้ายิ้มแล้วดูหล่อเหลานัก ควรจะยิ้มบ่อยๆ เหตุใดต้องทำหน้าบึ้งตึงทั้งวันด้วย”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหูเฟิงค่อยๆ หายไป ทว่าตรงหางตากลับยังคงมีรอยยิ้มอยู่มากทีเดียว

“รู้หรือว่าเหตุใดข้าถึงยิ้ม” เขาถาม

ไป๋จื่อส่ายหน้า ก่อนจะทำงานในมือต่อ นั่นก็คือการนำแป้งที่หั่นไว้ดีแล้วลงไปในซึ้ง “ไม่รู้ ข้าไม่ใช่พยาธิไส้เดือนในท้องของเจ้าเสียหน่อย”

ชายหนุ่มหยิบฟืนสองท่อนโยนใส่ในเตา พลางกล่าวเสียงเรียบ “ไม่รู้ก็ช่างเถอะ ต่อไปเจ้าอาจจะรู้ก็ได้”

หลังจากไป๋จื่อวางซึ้งลงบนหม้อ และน้ำในหม้อเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว ก็มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นสูงทีเดียว

นางปรบฝ่ามือที่เปื้อนผงแป้งเล็กน้อย แล้วถามหูเฟิงที่นั่งจ้องไฟอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก “เจ้านึกอะไรไม่ออกเลยหรือ”

รอยยิ้มจางบนใบหน้าของหูเฟิงพลันแข็งค้าง เขานึกอะไรไม่ออกเลยจริงๆ แต่ตอนอยู่ที่ร้านสือเค่อในวันนี้ ไป๋จื่อกับเมิ่งหนานพูดถึงเรื่องในวัง ขณะนั้นในหัวของเขาคล้ายกับมีปฏิกิริยาบางอย่าง เพียงแต่เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นปฏิกิริยาอะไร

ครั้นเห็นท่าทางของหูเฟิง ไป๋จื่อก็รู้สึกดีใจขึ้นมา รีบถามว่า “บางครั้งเจ้ารู้สึกว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ทว่าไม่ค่อยแน่ใจนัก อยากจะคว้าความคิดนั้นเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คว้าไว้ไม่ได้ใช่หรือไม่”

หูเฟิงชะงัก “เจ้ารู้ได้อย่างไร” หรือนางจะเป็นพยาธิไส้เดือนในท้องของเขาจริงๆ ความรู้สึกที่แวบผ่านไปเช่นนั้น ความรู้สึกที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจ แล้วนางรู้ได้อย่างไรกัน

ไป๋จื่อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเป็นหมอประจำตัวของเจ้า ไม่มีใครเข้าใจอาการของเจ้าดีไปกว่าข้า เลือดคั่งในสมองของเจ้าเริ่มคลายตัว ความทรงจำที่ถูกกดไว้ก็เริ่มกลับสู่สภาวะปกติอย่างช้าๆ แล้วเช่นกัน นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง จะฟื้นฟูได้ช้าหรือเร็ว ล้วนตัดสินกันที่ความสามารถในการฟื้นฟูของตัวเจ้าเอง”

นางหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวอีกว่า “แน่นอนว่าข้าต้องเติมเชื้อไฟให้เจ้าเสียหน่อย เพื่อลดระยะเวลาที่อาจจะยืดยาวให้เจ้า แต่สุดท้ายแล้วจะใช้เวลานานเท่าใด ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน”

หูเฟิงรีบถาม “เจ้าจะเติมเชื้อไฟอย่างไร”

เด็กสาวยิ้ม “เจ้าทึ่มนัก ข้าเป็นหมอ ย่อมฝังเข็มและจ่ายยาให้เจ้า ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีวิธีการอะไรอีก”

“ข้ามีวิธีคลายเลือดคั่งอยู่วิธีหนึ่ง แต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้กับเจ้าก็เพราะยังไม่ถึงเวลา หากใช้ไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ดูท่าทางตอนนี้จะถึงเวลาแล้ว หลังจากฟ้าสางพวกเราไปส่งเมิ่งหนานด้วยกัน เมื่อส่งเมิ่งหนานไปแล้ว พวกเราก็ไปซื้อยาที่ร้านยากัน”

หูเฟิงพยักหน้า “ดี!” เขาดูเป็นคนใจเย็นมาก มักมีสีหน้าเรียบนิ่งดุจสายน้ำ แววตาไร้ความหวั่นไหวใดๆ ทว่าลึกลงไปในนั้นกลับมีความรู้สึกเป็นหมื่นเป็นพันปรากฏขึ้นมาโดยพลัน

หลังจากนึ่งซาลาเปาและหมั่นโถวเสร็จแล้ว นางก็ทอดแป้งทอดอีกเล็กน้อย แล้วค่อยนำชิ้นปลาและเนื้อวัวที่หมักเกลือไว้ก่อนหน้านี้มาทำเป็นเนื้อสัตว์บด ก่อนจะใส่ไว้ในไหขนาดเล็ก จะได้พกพาสะดวกและไม่หกง่าย เมืองชิงหยวนห่างจากเมืองหลวงถึงร้อยลี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินทางกี่วัน เดินทางยามค่ำคืนย่อมเป็นเรื่องที่ขาดไปไม่ได้ พกเสบียงอาหารไปมากหน่อยนับเป็นเรื่องดี

ครั้นฟ้าสาง นางก็บังคับรถม้าออกจากบ้านไปพร้อมกับหูเฟิง

จินเสี่ยวอันกล่าวว่า พวกเขาจะออกจากเมืองในยามซื่อ[1] แม้เร่งไปในตอนนี้จะยังเช้าไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าไปสายมากนัก

มื่อมาถึงนอกประตูเมืองก็เพิ่งยามเฉิน[2]เท่านั้น ห่างจากยามซื่ออีกหนึ่งชั่วยาม ทว่าดวงตะวันกลับลอยขึ้นสูงเสียแล้ว แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงยังคงร้อนระอุ หูเฟิงจึงลากรถม้าไปอยู่ใต้ร่มไม้ ปล่อยให้ม้ากินหญ้า ส่วนเขาและไป๋จื่อนั่งอยู่ข้างรถม้า พลางกินหมั่นโถวที่นำมาด้วย

……….

ตอนที่ 278 องครักษ์หลี่ผู้เย่อหยิ่ง

ยามซื่อ รถม้าหรูหราคันหนึ่งค่อยๆ ออกมาจากประตูเมือง ตามมาด้วยองครักษ์อีกสิบกว่าคน แต่ละคนท่าทางขึงขัง ตรงเอวเหน็บดาบหรือกระบี่เอาไว้ด้วย

ไป๋จื่อเห็นจินเสี่ยวอันควบม้าติดตามอยู่ข้างๆ รถ นางจึงรีบเดินออกจากรถม้าของตนเอง แล้ววิ่งสั้นๆ ไปถึงหน้าขบวนรถ

“ใครมาขวาง ยังไม่หลีกไปอีก” องครักษ์ที่บังคับม้าอยู่ข้างหน้าตะคอกใส่ไป๋จื่อ

เด็กสาวพลันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ ข้าเป็นสหายของคุณชายเมิ่ง ข้า…”

บุรุษที่ดูกำยำล่ำสันคนนั้นตัดบทของนางทันที ก่อนจะแค่นหัวเราะ “เด็กสาวชาวบ้านอย่างเจ้าคู่ควรเป็นสหายของคุณชายข้าด้วยหรือ? ยังไม่รีบไสหัวไปอีก” เขาดึงแส้ยาวๆ ตรงเอวออกมา เงื้อขึ้นหมายจะฟาดไปทางไป๋จื่อ

ไป๋จื่อคิดไม่ถึงเลย ว่าคนตรงหน้ายังไม่ทันถามอะไรจากนางให้ชัดเจน ก็จะฟาดแส้ใส่คนเสียแล้ว

ขณะที่นางกำลังจะเบี่ยงตัวหลบ กลับเห็นมือข้างหนึ่งพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้านาง คว้าแส้ยาวที่ฟาดมาหานางได้อย่างแม่นยำ

สายตาเย็นชาของหูเฟิงจ้องเขม็งไปที่บุรุษบนหลังม้า เขาออกแรงมือข้างที่จับแส้ยาวครั้งหนึ่ง ลากองครักษ์ผู้นั้นลงจากหลังม้าอย่างแรง ทำให้เขาล้มลงตรงหน้าของไป๋จื่อราวกับสุนัขตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

องครักษ์ทั้งหมดเห็นดังนั้น ก็พากันชักดาบที่อยู่ตรงเอวออกมา

จินเสี่ยวอันที่รั้งท้ายเห็นขบวนรถหยุดลงอย่างกะทันหัน ทั้งยังได้ยินเสียงชักดาบดังขึ้นอีกระลอกหนึ่ง เขาจึงเร่งขึ้นมาสังเกตการณ์ที่ด้านหน้า

เขาเห็นองครักษ์สิบกว่าคนที่สกุลเมิ่งส่งมา กำลังถือดาบต่อกรกับไป๋จื่อและหูเฟิงที่ไร้อาวุธ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที ก่อนจะตะคอกอย่างมีน้ำโห “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน พวกเขาเป็นสหายของคุณชาย”

เมื่อเหล่าองครักษ์ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็รีบเก็บดาบ แต่ความโมโหบนใบหน้ากลับยังคงไม่จางหายไป

พวกเขาเป็นองครักษ์ชั้นหนึ่งของจวนสกุลเมิ่งแห่งเมืองหลวง แม้จะเป็นแค่องครักษ์ แต่กลับสูงส่งกว่าเหล่าข้ารับใช้ทั่วๆ ไปในจวน ปกติแล้วออกไปข้างนอกล้วนดูน่าเกรงขาม แต่ไหนแต่ไรเดินเตร่ในเมืองหลวงก็วางท่า เมื่อมาถึงเมืองชิงหยวนที่โกโรโกโส พวกเขายิ่งไม่เห็นชาวบ้านธรรมดาอยู่ในสายตา เด็กสาวตัวเล็กและชายหนุ่มร่างใหญ่ตรงหน้า ไม่ว่ามองอย่างไรก็เป็นแค่ชาวนาบ้านๆ เท่านั้น พวกเขาคู่ควรเป็นสหายกับคุณชายด้วยหรือ คนประเภทนี้ ถึงพวกเขาจะตีตายไปสักแปดหรือสิบคนในเมืองหลวง นั่นยังไม่นับว่าผิดกฎหมายเลย

ทว่าคนประเภทนี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา กลับทำให้พวกเขาทุกคนเสียเปรียบ แล้วความโกรธขึ้งของพวกเขาจะจางหายไปง่ายๆ ได้อย่างไร

บุรุษที่ล้มอยู่บนพื้นลุกขึ้นยืน ก่อนจะถ่มดินทรายในปากทิ้งไป แล้วถลึงตามองหูเฟิงอย่างดุดันเสียครั้งหนึ่ง เขากล่าวกับจินเสี่ยวอันว่า “องครักษ์จิน สองคนนี้เป็นสหายของคุณชายจริงหรือ”

จินเสี่ยวอันยังไม่ทันได้ตอบ เสียงของเมิ่งหนานก็ดังออกมาจากในรถที่อยู่ด้านหลัง “เหตุใดยังไม่ไปอีก เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

องครักษ์คนสนิทรีบหันหัวม้า วิ่งไปทางรถม้าที่อยู่ด้านหลัง เขาพูดอะไรบางอย่างอยู่ข้างหน้าต่างบานเล็กของตัวรถ

ไม่นานนัก เงาร่างของเมิ่งหนานก็ปรากฏอยู่บนแท่นของตัวรถ เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งสูง หนึ่งเตี้ยอยู่หน้าขบวนรถแต่ไกล บนใบหน้าของเขาปรากฏความยินดียิ่ง ก่อนจะรีบกระโดดลงจากแท่น แล้วถลันไปถึงเบื้องหน้าของไป๋จื่อ “เจ้ามาได้อย่างไร ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องมาส่งข้า”

ท่าทีรีบร้อนวิ่งเข้าไปหา สีหน้าปีติที่กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ และความอ่อนโยนในน้ำเสียงของเมิ่งหนาน ล้วนแตกต่างกับคุณชายที่เหล่าองครักษ์เคยพบเห็นโดยสิ้นเชิง ราวกับว่า…เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

หูเฟิงแค่นหัวเราะ “ขบวนของคุณชายเมิ่งยิ่งใหญ่นัก พวกข้ามาส่งเลยต้องเสียงอันตรายถึงชีวิต”

เมิ่งหนานไม่รู้ความนัยในคำพูดของเขา ทว่าเมื่อนึกถึงเสียงชักดาบที่ตนได้ยินในรถม้าแล้ว ก็พลันขมวดคิ้วมุ่นในทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

วาจานี้ของเขา ย่อมเป็นการถามองครักษ์หลี่ที่หน้าเปื้อนดินอยู่ข้างๆ

[1] ยามซื่อ (巳时) เท่ากับเวลาประมาณ 09:00-11:00 น.

[2] ยามเฉิน (辰时) เท่ากับเวลาประมาณ 7:00-9:00 น.