“ควบคุมพลังลมปราณไม่ได้?” เยี่ยยวนมองศิษย์หลานทำหน้าจริงจังตรงหน้า ยากที่นางจะเจอปัญหาด้านการฝึกฝน

“อืม” อวิ๋นเจี่ยวพยักหน้า ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ทุกครั้งที่ข้าใช้คาถา พลังลมปราณภายในร่างกายจะควบคุมไม่ได้ อีกทั้ง…” นางหันไปมองพื้นดินไหม้เกรียมด้านนอก “คาถาที่ข้าใช้ออกมาก็แตกต่างจากคนอื่น” หากของคนอื่นเป็นขนาดปกติ ของนางก็คงเป็นขนาด XXXXXL

ไม่เพียงแค่คาถาเรียกสายฟ้าเท่านั้น นางยังสามารถเห็นผลของการใช้คาถาอื่นๆ ล้วนเหมือนกัน ขยายอย่างไร้มิติ

“เดิมทีข้าคิดว่าเป็นเพราะความเข้าใจในคาถาของข้ามีปัญหา” อวิ๋นเจี่ยวขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้นางยังพลิกดูตำราซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งยังยืมตำราขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการชักนำพลังเข้าร่างกายจากเจ้าสำนักสวีมาหลายเล่ม แต่ก็ไม่พบความแตกต่างอะไร “อาจารย์ปู่ ตำราอธิบายของข้าท่านก็เคยดู ดังนั้นข้าคิดว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากความเข้าใจด้านคาถา เป็นไปได้ไหมว่าเกิดจากการหลอมรวมเส้นชีพจรเสวียน?”

“ข้าดูหน่อย” เยี่ยยวนยื่นมือออกไปแตะบนหน้าผากของนาง ทันใดนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรกวาดผ่านเส้นชีพจรทั้งร่าง

“เส้นชีพจรเสวียนของเจ้าไม่มีปัญหา” สักพักเยี่ยยวนถึงชักมือกลับด้วยความพึงพอใจ “เส้นชีพจรเสวียนได้หลอมรวมเข้าเส้นชีพจรของเจ้าแล้ว ไม่มีความผิดปกติ”

“เช่นนั้นทำไม…” คาถาที่นางใช้ถึงแตกต่างจากคนอื่น?

เยี่ยยวนครุ่นคิดอยู่สักพัก ถึงได้อธิบาย “อาจเป็นเพราะเส้นชีพจรเสวียนอยู่บนร่างกายของข้านานเกินไป ได้รับอิทธิพลจากตัวของข้า ทำให้กว้างใหญ่กว่าเส้นชีพจรเสวียนของคนทั่วไป พลังลมปราณที่ใช้จึงมากกว่าเป็นธรรมดา ดังนั้นเมื่อใช้คาถา ก็จะใช้พลังลมปราณทั้งหมดภายในร่างกายของเจ้า” และกลายเป็นประสิทธิภาพที่เทียบเท่ากับพลังลมปราณที่ใช้

“นั้นก็หมายความว่า…” อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไป ทันใดนั้นมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี “เป็นเพราะว่าพลังลมปราณในร่างกายข้าน้อยไป ไม่เพียงพอแต่การรั่วไหลของเส้นชีพจรเสวียน ดังนั้นจึงหมดไปภายในครั้งเดียว?”

“อืม” เขาพยักหน้า

อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าดำลง หากใช้คาถาจะใช้พลังลมปราณจนหมด “เช่นนั้นตอนนี้ไม่ว่าข้าจะชักนำพลังลมปราณเข้าร่างกายมากแค่ไหน สุดท้ายก็ใช้ได้เพียงคาถาเดียว?” เช่นนั้นข้าจะเอาเส้นชีพจรเสวียนมาทำไมกัน

“จะพูดอย่างนั้นก็ได้”

“…” ในใจมีคำว่า MMP ไม่รู้ควรพูดหรือไม่ คาถาเก่งกาจแค่ไหน ใช้ได้ครั้งเดียวจะมีประโยชน์อะไร

เหมือนจะรับรู้ถึงอารมณ์หดหู่ของศิษย์หลาน เยี่ยยวนจึงพูดเสริมขึ้น “ไม่ต้องกังวล เมื่อเจ้าฝึกฝนจนแข็งแกร่งแล้ว ก็จะสามารถเข้ากับเส้นชีพจรเสวียนได้ดียิ่งขึ้น เมื่อรอจนกระทั่งเหมาะสมกัน ก็จะสามารถใช้ได้ตามใจ ไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้”

“อย่างนั้นเหรอ” อวิ๋นเจี่ยวมีความหวังผุดขึ้นในใจ นางถามขึ้น “เช่นนั้นข้าต้องฝึกถึงระดับไหน”

“ไม่ต้องนานมาก…” เยี่ยยวนครุ่นคิด ก่อนจะพูดขึ้น “รอจนกระทั่งเจ้าใช้พลังลมปราณในการฝึกตนเอง หลุดจากกายเนื้อ”

“ท่านหมายความว่า…”

“ฝึกจนกระทั่งกลายเป็นเทพ”

อวิ๋นเจี่ยว “…” MMP!

สักพัก…

“อาจารย์ปู่”

“อืม?”

“ข้ายังมีอีกหนึ่งคำถาม”

“ถาม”

“หากเลิกเรียนตอนนี้ ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง”

“…”

เหวินชิงและหยวนเจียงใช้เวลากว่าหนึ่งเดือน ถึงได้ซ่อมแซมวิญญาณของหานซูเสร็จ หานซูจากเสี้ยววิญญาณที่พร้อมจะสลายไปทุกเวลากลายเป็นวิญญาณธรรมดา อีกทั้งตอนนี้ได้กลับเข้าร่างของตนเองแล้ว เพียงแต่พลังและความทรงจำที่สูญเสียไปไม่อาจเรียกกลับมาได้ ซึ่งหมายความว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในยมโลก พวกเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดี

“ถึงแม้วิญญาณของเขารวมตัวกันแล้ว แต่ก็ยังอ่อนแอ ต้องพักฟื้นอีกสักพักถึงจะเริ่มฝึกฝนใหม่ได้”

เหวินชิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจยาว มองไปยังอวิ๋นเจี่ยวด้วยสีหน้าเกรงใจ “ศิษย์หลาน…ข่ายพลังที่เจ้าวางในห้องใต้ดินนั้นดีต่อวิญญาณอย่างมาก เจ้าบอกอาจารย์อาได้หรือไม่ว่าคือข่ายพลังอะไร ข้าคิดจะหาสถานที่ที่พลังวิญญาณเข้มข้นกว่านี้ในการเลี้ยงวิญญาณของเขา”

ข่ายพลังนั้นวิเศษอย่างมาก มันสามารถดึงดูดพลังวิญญาณจากบริเวณโดยรอบมารวมอยู่ในห้องใต้ดิน แต่มันแตกต่างจากข่ายพลังรวมพลังวิญญาณธรรมดา ข่ายพลังรวมพลังวิญญาณดึงดูดสัมภเวสีได้ง่าย แต่ว่าข่ายพลังนี้รวมแค่พลังวิญญาณเท่านั้น อีกทั้งตามคำบอกเล่าของเถิงสีและหานซู เพียงแค่พวกเขาอยู่ที่นั่น พลังวิญญาณพวกนั้นก็จะรวมเข้าไปในร่างกายของพวกเขาโดยตรง ประหยัดเวลาอย่างมากเมื่อเทียบกับการฝึกฝนทั่วไปนั้น แต่ว่าข่ายพลังนั้นทับซ้อนกันหลายชั้น เขาและศิษย์พี่สองไม่ชำนาญด้านข่ายพลัง พินิจอยู่นานก็ไม่รู้ว่าสร้างออกมาได้อย่างไร

“ได้” อวิ๋นเจี่ยวตอบรับโดยไม่ต้องคิด

เหวินชิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบรับเร็วเช่นนี้ ทันใดนั้นรู้สึกตื้นตันเล็กน้อย สมแล้วที่เป็นศิษย์หลาน ให้เกียรติเขาขนาดนี้ “เช่นนั้นข้าก็ขอบคุณแทนหานซูแล้ว”

“อาจารย์อาไม่ต้องเกรงใจ” อย่างน้อยพวกเขาก็ใช้จ่ายที่นี่จำนวนมาก ข่ายพลังถือว่าเป็นของแถม “เดี๋ยวข้าวาดข่ายพลังให้ มันเป็นแค่สิ่งเล็กน้อย แค่ดูก็สร้างได้ง่ายมาก!”

“ง่าย…ง่ายมาก…” เจ้าหลอกข้าเล่น?

(⊙_⊙)

“ง่ายมากจริงๆ” ไป๋อวี้ก็พยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “อาจารย์ทั้งสองไม่รู้อะไร นั่นเป็นข่ายพลังที่เจ้าหนูปรับปรุงจากข่ายพลังรวมพลังลมปราณ เพียงแต่ทับซ้อนข่ายพลังอื่นขึ้นไปอีกห้าหกชั้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับข่ายพลังของเจ้าหนู อันนี้ถือว่าง่ายมากแล้ว”

ทับซ้อนกันห้า…หก…อัน!!

เหวินชิงที่พินิจอยู่หลายวัน “…”

หยวนเจียงที่พินิจอยู่หลายวัน “…”

ทำไมรู้สึกเหมือนโดนดูถูกขึ้นมา

○| ̄|_

ตอนนี้กลับมาศึกษาต่อกับอาจารย์ยังทันหรือไม่

อวิ๋นเจี่ยวยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “เรื่องยมโลก ไม่ทราบว่าอาจารย์อาทั้งสองจะทำอย่างไร”

ทันทีที่นางพูดจบ สีหน้าของทั้งสองคนเปลี่ยนไป หลายวันมานี้ พวกเขากำลังยุ่งอยู่กับการซ่อมแซมวิญญาณของหานซู ดังนั้นจึงไม่มีเวลาคิดเรื่องของยมโลก แต่ตอนนี้เรื่องของยมโลกที่พวกเขารู้มาไม่เหมือนกัน มันถึงขั้นที่ไร้การควบคุมแล้ว ยกตัวอย่างเรื่องเมืองทางตะวันตกครั้งก่อน เห็นได้ชัดว่ายมโลกลากโลกมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

หานซูเป็นถึงหนึ่งในยมราชของยมโลก เป็นผู้ปกครองเมืองผี ถือเป็นผู้สืบทอดต่อจากราชาผี แม้แต่เขายังสามารถถูกแทนที่อย่างไร้ร่องรอย เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังคงจะไม่ธรรมดา อาจารย์กู่พิษที่ตายไปอย่างกะทันหันครั้งก่อนก็ดี ชือเซียวที่แย่งชิงพลังชีวิตของคนก็ดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับยมโลก อีกทั้งใต้เท้าที่พวกเขาพูดถึงอีก สุดท้ายแล้วหมายถึงหานซูตัวปลอมในยมโลกตอนนี้ หรือว่าคนอื่น พวกเขาล้วนไม่รู้แน่ชัด

“เรื่องคนที่ปลอมตัวเป็นศิษย์หลานหาน ข้าได้ส่งข่าวขึ้นไปยังโลกบนให้คนไปสืบข่าว” หยวนเจียงพูดขึ้น ในมือปรากฏกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา “เพียงแต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่ค่อยเป็นดั่งที่หวัง…”

อวิ๋นเจี่ยวผงะ รับกระดาษในมือของเขามา ไป๋อวี้ก็มุงเข้ามาดูด้วยความสงสัย ก่อนจะเบิกตาโต พร้อมกับอุทานเสียงดัง “หายตัว?!”