ตอนที่ 89-5 ชื่อร้านพระราชทาน กับ ผ่านต้นฤดูหนาว

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

แต่สวี่มู่เจินยังไมทันตอบ ม่านก็ถูกเลิกขึ้น

 

 

หงเยียนคิดเข้ามาถามเรื่องน้ำมันแต่งผมว่า สินค้าจะเข้าเมื่อไหร่ แต่พอเห็นทั้งสองดึงกันไปดึงกันมา ก็อึ้งเล็กน้อย ก่อนขำ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงปล่อยแขนเสื้อสวี่มู่เจินลง ก้าวเข้าหาหงเยียน แล้วลากนางออกไปด้านนอก เดินพลางพูดพลาง

 

 

“หงเยียน เราสองคนทะเลาะกันแต่เด็กจนชินแล้ว เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”

 

 

หงเยียนยิ้มไม่หุบ ปัดปอยผมที่ปรกหน้าผากขึ้นแล้วว่า “คุณหนูใหญ่พูดอะไรน่ะ นึกว่าข้าหึงเหรอ ถ้าเรื่องเล็กๆ แค่นี้ข้ายังดูไม่ออก จะอยู่ได้ถึงป่านนี้หรือ คงตายไปนานแล้วล่ะ! ต่อไปถ้าญาติผู้พี่คุณหนูแต่งเมียเมื่อไหร่ และถ้าบ้านสกุลสวี่ไม่รังเกียจ ข้าก็คิดว่าจะไปช่วยดูแลเจ้าสาวให้!”

 

 

แต่ละคำพูดตรงไปตรงมา ไม่เสแสร้งแม้แต่น้อย

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางหน้าตาแจ่มใส ค่อยวางใจลง

 

 

ทว่าคำพูดนี้ก็ลอยเข้าหูสวี่มู่เจินด้วยเช่นกัน แล้วจู่ๆ เขาก็หน้ามุ่ย ยกชุดยาว ก้าวเดินออกไป

 

 

“ญาติผู้พี่เพิ่งมาก็จะไปแล้วหรือ…เดี๋ยวๆ จำเรื่องที่ข้าบอกได้ใช่ไหม!” อวิ๋นหว่านชิ่นตะโกนเรียก

 

 

“รู้แล้วหน่า!” สวี่มู่เจินหันมาทำหน้าทะเล้นใส่

 

 

เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้อารมณ์เสียขึ้นมา จึงเดินหน้าบึ้งออกจากร้านเซียงหยิงซิ่ว ไปขึ้นรถม้า

 

 

ตรงหัวเลี้ยว ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบมองตามรถม้าที่ห้อตะบึงไป แล้วหันมองหน้าร้านเซียงหยิงซิ่วที่แขวนป้ายพระราชทานไว้ ก่อนหันกายก้าวยาวๆ จากไป

 

 

ในจวนฉินอ๋อง ซือเหยาอันกำลังทำการบ้านที่เขาต้องทำเป็นประจำอย่างรายงานความเคลื่อนไหวในวันนี้ของคุณหนูอวิ๋น รวมทั้งการที่นางได้พบกับคุณชายสวี่ แล้วบอกให้เขาช่วยพูดกับคนที่ตำหนักบูรพาด้วย

 

 

สุดท้าย พอมองสีหน้านายแล้วเห็นว่ายังสงบนิ่งอยู่ ซือเหยาอันค่อยพูดเสริม

 

 

“ดูท่า ระหว่างที่จัดการปมในอดีตของหงเยียนกับพระมาตุลานั้น คุณหนูอวิ๋นกับรัชทายาทกลับสนิทสนมกันมากขึ้น ซึ่งรัชทายาทก็ไม่อธิบาย ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านสามเป็นคนบอกให้ทำ ปล่อยให้คุณหนูอวิ๋นคิดว่าเขาคือผู้มีพระคุณ หึ เข้าใจเอาเปรียบกันนี่”

 

 

สีหน้าชายหนุ่มค่อยๆ จริงจังขึ้น ก่อนเปล่งเสียงขรึมออกมาทีละคำ “ไม่รู้จักรักศักดิ์ศรีเอาเสียเลย”

 

 

เป็นครั้งแรกที่ผู้ซึ่งไม่มีหัวใจและไม่มีความรักอย่างท่านสามโมโห ซ้ำยังด่าว่าคนอีก ซึ่งซือเหยาอันไม่ค่อยได้เห็นเท่าไหร่ จึงยืนตะลึงพร้อมกับสุขใจเล็กๆ

 

 

 

 

ด้านสวี่มู่เจิน หลังจากพบปะกับรัชทายาทในสนามม้านอกพระราชวัง ก็ชวนคุยสัพเพเหระ ก่อนเรียบๆ เคียงๆ ถามถึงอาการป่วยของเจี่ยงยิ่น

 

 

หมอนี่ จู่ๆ ทำไมถามถึงเสด็จลุงได้ล่ะ รัชทายาทโยงมาบรรจบกับคำถามที่อวิ๋นหว่านชิ่นถามถึงเสด็จลุง

 

 

ในวันนั้น จึงกระโดดลงจากหลังม้า นำลูกธนูเสียบลงในซองผ้าทอใส่ลูกธนูที่ห้อยติดกับอานมา แล้วใช้มือตบลงบนอานม้า ม้าก็ทำตามคำสั่งเจ้าของ ออกเดินก้าวเล็กๆ ไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้าน แล้วก้มลงเล็มหญ้าเอง

 

 

รัชทายาทหัวเราะ “ญาติผู้น้องบอกให้เจ้ามาถามหรือ เจ้าน่ะ เป็นทาสของญาติผู้น้องเจ้า”

 

 

รัชทายาทพูดเป็นการส่วนตัวอย่างผ่อนคลาย “นางบอกว่าไม่สนใจเสด็จลุงข้า แต่ให้เจ้ามาถามข่าวคราวจากข้าเนี่ยนะ! แต่พูดก็พูด เสด็จลุงรูปหล่อและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ ยิ่งบำเพ็ญเพียรสามปี ก็ยิ่งโดดเด่นเข้าไปอีก จึงไม่แปลกที่จะดึงดูดใจเด็กสาว แม้มีอายุแล้วก็ตาม”

 

 

สวี่มู่เจินคิดไม่ถึงว่าเขาจะเดาถูก แต่ก็ไม่คิดพูดมาก เพียงหัวเราะ “อุปนิสัยญาติผู้น้องข้า ข้าชัดเจนดี นางไม่สนใจชายมีอายุหรอก ชอบก็แต่ชายหนุ่มกำยำล่ำสัน นางแค่อยากถามเรื่องบางอย่างกับพระมาตุลา รัชทายาทก็อำนวยความสะดวกให้นางหน่อยแล้วกัน!”

 

 

เอ๋ มิได้สนใจเสด็จลุงจริงๆ หรอกหรือ? รัชทายาทแปลกใจ แต่พอเห็นสีหน้าของสวี่มู่เจิน ที่คล้ายมีเรื่องที่ไม่สู้จะดีนักถ้าพูดออกมา ก็คร้านจะถามมากความ ส่ายศีรษะ แล้วว่า

 

 

“พอคดีถังโจวตัดสินเรียบร้อย เสด็จลุงก็เก็บข้าวเก็บของ พร้อมกลับกระท่อมบำเพ็ญเพียรของท่านทุกเมื่อ ไม่ว่าเสด็จพ่อเหนี่ยวรั้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล แต่หลายวันมานี้อาการป่วยของท่านยังไม่หายดี อย่าว่าแต่ออกจากวังเลย แค่เรือนเหยาหวาก็ยังไม่เห็นท่านเดินออกมา รอก็แต่เสด็จพ่ออนุญาต เรื่องที่ญาติผู้น้องเจ้าคิดพบเสด็จลุง เห็นทีจะยากอยู่”

 

 

หยุดสักพัก แล้วหันหลังกลับ จ้องมองสวี่มู่เจิน “แต่ ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว”

 

 

ครึ่งบ่าย สวี่มู่เจินจึงฝากคนมาบอกอวิ๋นหว่านชิ่นว่า

 

 

เจี่ยงยิ่นกำลังจะจากไป แต่หนิงซีฮ่องเต้ไม่ยอมปล่อยให้ไป ขณะจะส่งคนไปเกลี้ยกล่อม ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกสิบวัน ประเพณีล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงก็จะเริ่มต้นขึ้น จึงคิดใช้ข้ออ้างนี้รั้งตัวเขาไว้ ให้เขาขี่ม้าไปเป็นเพื่อน และระหว่างนั้นค่อยพยายามโน้มน้าวจิตใจเขา

 

 

เห็นชัดว่าเจี่ยงยิ่นไม่ยินยอม แต่เขาอาศัยอยู่ในวังหลวง จะบอกปัดก็ไม่สู้จะดี คล้ายเขาคิดจะสนองตอบเจตนารมณ์ของฝ่าบาท รับปากว่าจะไป และทำอะไรพอเป็นพิธีเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

การล้อมป่าฮู่หลงเพื่อล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วง อวิ๋นหว่านชิ่นจำได้ว่า ผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วม มีเพียงขุนนางชั้นสูงที่ได้รับพระกรุณาธิคุณเท่านั้น โดยสามารถพาลูกสาวไปด้วย แต่ขุนนางเหล่านี้กว่าครึ่งเป็นแม่ทัพนายกอง อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่เคยเข้าร่วมมาแต่ไหนแต่ไร ปีนี้ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อ จึงคิดว่าหมดสิทธิแน่นอน

 

 

เมื่อเดินทางนี้ไม่ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้แต่คิดหาหนทางอื่น

 

 

งานแต่งของอวิ๋นหว่านถงใกล้เข้ามาเต็มที มีคนจากสำนักพระราชวังมาที่บ้านหลายครั้ง คนในบ้านก็ยิ่งไม่ว่างกัน หลายวันผ่านไป วันแรกของฤดูหนาวก็มาถึง

 

 

วันนี้เป็นวันสำคัญของคนในเมืองหลวง  โดยในทุกๆ ปี บนท้องถนนจะมีแต่ความคึกคัก เต็มไปด้วยตลาดนัดพ่อค้าแม่ขาย พอตกกลางคืน บริเวณริมแม่น้ำชานเมือง ก็จะมีการลอยกระทง ลอยโคม และจุดดอกไม้ไฟ พอๆ กับเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างและเทศกาลหยวนเซียวก็ว่าได้ ผู้คนมากมายพากันจูงลูกจูงหลานออกมาเดินเล่น

 

 

นอกบ้าน

 

 

คนสกุลอวิ๋นเป็นคนไท่โจวซึ่งไม่มีประเพณีนี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเฉลิมฉลองแต่อย่างใด โดยวันนี้ในทุกๆ ปีอวิ๋นเสวียนฉั่งจะจัดงานเรียบง่ายกว่าบ้านอื่นๆ อย่างมากก็ตั้งโต๊ะบูชาหมูเห็ดเป็ดไก่ จุดธูปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ขอให้คุ้มครองคนในบ้านให้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง สุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วยไม่มีภัยพิบัติ จากนั้นก็จะให้พ่อครัวทำไก่ผัดน้ำมันงาดำมารับประทานอบอุ่นร่างกาย นำหม้อตุ๋นเนื้อแพะมาวางไว้ในห้องโถง แล้วให้คนในบ้านทั้งนายและบ่าวนั่งรับประทานร่วมกัน

 

 

แต่ปีนี้พ่อครัวยุ่งจนไม่มีเวลามาทำเนื้อแพะตุ๋น อีกทั้งมีคนไม่กี่คนมานั่งรับประทานอาหารบนโต๊ะ

 

 

พอทุกคนทานไก่ผัดน้ำมันงาดำจนอิ่มแปล้ ฟ้าก็เริ่มมืดค่ำ อวิ๋นจิ่นจ้งเช็ดปากมันๆ แล้วกระโดดลงจากโต๊ะ คลับคล้ายได้ยินเสียงจุดดอกไม้ไฟดังปุงปัง ก็ให้รู้สึกอิจฉาคนที่อยู่นอกบ้าน จึงหันมายิ้มตาหยี

 

 

“พี่ใหญ่ แค่ได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าดอกไม้ไฟสวยแค่ไหน”

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินก็รู้ว่าน้องชายอยากออกไปร่วมเฉลิมฉลองนอกบ้านกับเขาด้วย แต่อย่าว่าแต่น้องชายเลย ตนโตมาจนป่านนี้ ก็ยังไม่เคยได้ออกไปสัมผัสบรรยากาศของคืนต้อนรับฤดูหนาว เพราะที่บ้านไม่มีประเพณีนี้ จะออกไปก็กระไรอยู่ ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ว่าไปอย่าง แต่นี่พอฟ้ามืด คิดที่จะไปบ้านท่านลุงยังไม่สะดวกเลย จึงได้แต่ยิ้ม แล้วว่า

 

 

“อีกไม่กี่เดือนก็ตรุษจีนแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้จุดประทัด จุดดอกไม้ไฟจนหนำใจ”

 

 

พูดน่ะพูดได้ ทว่าชาติก่อนจนถึงชาตินี้ อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็เคยดูดอกไม้ไฟเพียงไม่กี่ครั้ง จึงนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน ตอนที่มารดายังมีชีวิต ในวันตรุษจีนเคยพานางออกไปดูสองครั้ง แต่พอมารดาจากไป นางก็รู้สึกว่าแต่ละวันผ่านไปอย่างมืดมน พอวันหยุดตรุษจีน บิดาก็มักอยู่เป็นเพื่อนสองแม่ลูกสกุลไป๋ นางไหนเลยจะมีกะใจออกไปเที่ยว ต่อมาพอแต่งเข้าจวนโหว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

 

เมื่ออวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินพี่สาวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกผิดหวังมาก แต่เขาก็รู้ว่าทำอะไรไม่ได้จริงๆ ระยะนี้เขาอยู่ในโอวาทยิ่ง กลับว่านอนสอนง่ายขึ้นเรื่อยๆ ทว่าพออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าเขารู้จักกาลเทศะ ก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจ แต่ก็ทำได้แค่เพียงเดินไปส่งน้องชายกลับเรือนก่อน

 

 

ขณะสองพี่น้องเดินไปตามทางเล็กๆ ได้ครึ่งทาง เมี่ยวเอ๋อร์ก็ซอยเท้าเข้ามาหา ท่าทางลึกลับชอบกล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรีบวิ่งมาหรือเปล่า แก้มถึงได้แดงไปหมด ลำคอครึ่งหนึ่งที่อยู่นอกเสื้อคลุมปรากฏเม็ดเหงื่อแวววาว สีหน้าดูไม่ออกว่ากำลังยิ้มหรือตกใจ เพียงแอบดึงคุณหนูใหญ่ไปยืนด้านข้าง แล้วพูดเสียงเบาที่ข้างหู

 

 

“คุณหนูใหญ่ รีบพาคุณชายไปที่ประตูข้างเร็ว หน้าประตู มีคนมารับพวกท่านออกไปน่ะ”