ตอนที่ 90-1 ดอกไม้ไฟริมน้ำ กับ อับอายในคืนวิวาห์

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นตึกตัก รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่ชูซย่าที่ยืนอยู่อีกด้านกลับหันไปเอ็ดเมี่ยวเอ๋อร์

 

 

“โง่จริง! คนที่มาหาคุณหนูกับคุณชายเราในตอนกลางคืน จะเป็นคนดีได้อย่างไร ไม่ขวางก็แล้วกันไป แต่ยังจะมาชวนให้ออกไปอีกนี่สิ มันใช่เรื่องที่ไหน! ถ้านายท่านเห็น ต้องแย่แน่ๆ!”

 

 

“ไม่เห็นหรอกหน่า” เมี่ยวเอ๋อร์ขวัญกล้าเทียมฟ้า หัวเราะคิกคัก “ไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน ปลอดภัยหายห่วง! คุณหนูใหญ่ก็รู้จัก” ว่าแล้วก็หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“บ่าวเห็นว่าในวันเทศกาลเช่นนี้ ข้างนอกคึกคักดี ถ้าคุณหนูใหญ่กับคุณชายไม่ออกไปสนุกสนานหน่อย ก็เสียดายแย่ ถึงได้มาถามดู ถ้าคุณหนูใหญ่ไม่อยากไป บ่าวก็จะไล่พวกเขาไปเดี๋ยวนี้”

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งสนที่ไหนว่าผู้ที่อยู่ด้านนอกคือใคร พอได้ยินก็กระฉับกระเฉงขึ้นทันที จับมือพี่สาวแกว่งไปมา

 

 

“ท่านพี่ หน่าท่านพี่ ท่านดูสิ หมู่นี้ข้าขยันเรียนหนังสือหรือไม่ แป๊ปเดียวเอง หน่านะ”

 

 

ท่าทางวอแวเว้าวอนน่ารักเหมือนเด็กๆ อย่างไรอย่างนั้น สายตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความหวัง แม้เหตุและผลจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็ทำให้คนปวดใจได้

 

 

ชูซย่ารู้ว่า คุณหนูใหญ่ในตอนนี้เห็นคุณชายเป็นดั่งเทวดาตัวน้อยก็มิปาน ไม่ว่าคุณชายชอบอะไร ต่อให้เป็นดวงจันทร์บนท้องฟ้า ก็ต้องสอยลงมาให้ พอคุณชายอ้อนเช่นนี้ คุณหนูใหญ่ย่อมตกปากรับคำ

 

 

และแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ดึงเสื้อของน้องชายให้เข้าที่ แล้วหันไปกำชับสาวใช้คนสนิท

 

 

“ชูซย่า เจ้าเฝ้าห้องให้ข้าหน่อย ตามปกติแล้ว ค่ำคืนแบบนี้ไม่มีใครมาหาข้าหรอก แต่ถ้ามี เจ้าก็ต้องขวางเอาไว้”

 

 

ชูซย่าพอจะเดาได้แล้วว่าเป็นใคร จึงไม่ถามมากความอีก เพียงเตือนสติเสียงต่ำ

 

 

“เช่นนั้นคุณหนูใหญ่กับคุณชายรีบกลับมาก็แล้วกัน”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า จากนั้นก็ดึงมือน้องชายเดินตามเมี่ยวเอ๋อร์จนมาถึงประตูข้าง

 

 

เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว พอพระอาทิตย์ตกดิน ฟ้าก็มืดค่ำลงอย่างรวดเร็ว ยิ่งตอนนี้เลยเวลาอาหารเย็นแล้ว ปากซอยนอกประตูข้างที่ทั้งเงียบทั้งเย็นอยู่เป็นทุนเดิม ก็ยิ่งมืดตึ๊ดตื๋อเข้าไปอีก ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย คนเฝ้าประตูเพียงคนเดียวจึงถูกเมี่ยวเอ๋อร์ไล่ไปแต่แรก

 

 

เมี่ยวเอ๋อร์ปิดประตู แล้วเดินย่องตามคุณหนูกับคุณชายไปที่ปากซอย

 

 

รถม้าไม้หอมหลังคาสีม่วงดูดีมีระดับสองคัน ม่านประตูผ้าไหมประดับมุกระย้า สารถีที่นั่งอยู่ด้านหน้าสวมชุดรัดกุมเรียบร้อย ม้าแต่ละตัวเป็นม้าโตเต็มวัยสีน้ำตาลเข้ม กำลังจอดเรียงกันหน้าหลัง รอแขกคนสวยอยู่อย่างสงบนิ่ง

 

 

ซือเหยาอันยืนอยู่หน้าปากซอย ทำความเคารพมาแต่ไกล เขาไม่พูดอะไรมาก เพียงผายมือไปที่รถม้าคันหน้า แล้วเลิกม่านประตูขึ้น

 

 

“คุณหนูอวิ๋นกับคุณชายอวิ๋นนั่งรถม้าคันหน้าขอรับ”

 

 

ม่านหน้าต่างรถม้ามิได้ม้วนขึ้น แต่ก็เห็นเงาคน คลับคล้ายมีคนนั่งอยู่ด้านใน

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งที่เดิมทีรีบร้อนแทบไม่ทัน จึงหยุดชะงัก หันมากระซิบ “พี่ใหญ่ ใครน่ะ”

 

 

เมื่อครู่กลัวแต่ว่าจะไม่ได้เที่ยว จึงไม่สนใจอะไร แต่ตอนนี้กลับได้สติ ค่อยหันมาถาม อวิ๋นหว่านชิ่นจึงได้ที สอนไปตามน้ำ

 

 

“ตอนนี้ถามไปก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจอพวกมิจฉาชีพ เจ้าก็ถูกจับขายแล้ว ร้องไห้ไม่ทันด้วยซ้ำ”

 

 

แล้วจึงบอกให้อวิ๋นจิ่นจ้งขึ้นรถไปก่อน ตนค่อยขึ้นตาม ส่วนซือเหยาอันกับเมี่ยวเอ๋อร์ขึ้นรถคันหลัง แล้วรถม้าทั้งสองคันค่อยวิ่งตามกันไป

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงคิดอยู่แล้วว่า คืนนี้ต้องมีน้องชายนางมาอีกคน รถม้าที่เตรียมไว้จึงกว้างเป็นพิเศษ

 

 

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามุดศีรษะเข้ามา เขาสวมเสื้อสองชั้นทอลายดอกสน สร้อยคอกับเครื่องประดับตรงหน้าอก บ่งบอกว่าเป็นลูกคนใหญ่คนโต ผิวขาวแลดูสะอาดสะอ้าน

 

 

พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น นางก็ตามเข้ามา ผงกศีรษะให้เขาพอเป็นพิธี “ท่านสาม” แล้วจึงหันบอกน้องชาย

 

 

“จิ้นจ้ง ท่านนี้คือท่านสาม”

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งแม้ยังอายุน้อย แต่มีเพื่อนเรียนที่เป็นลูกท่านหลานเธออยู่ไม่น้อย พอเห็นพี่สาวมีท่าทีกับผู้ที่นั่งตรงหน้าเช่นนี้ ก็รู้แล้วว่าสถานะของชายผู้นี้ต้องไม่ต่ำต้อยแน่ จึงผงกศีรษะและเรียกตามพี่สาว

 

 

“ท่านสาม”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคาดว่า จากนิสัยตามปกติของเขา อย่างมากก็แค่ขานรับคำเดียว คิดไม่ถึงว่าภายใต้แสงไฟสลัวๆ ในรถ คิ้วเข้มของชายหนุ่มจะนิ่ง ก่อนปรายตาสวยไปด้านข้าง

 

 

“อืม นั่งสิ” ในดวงตามีรอยยิ้ม

 

 

อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นชายหนุ่มสวมชุดพอดีตัว เอวแคบแขนแคบ คลุมผ้าคลุมแคชเมียร์สีเขียวเข้มกุ้นขอบทอง สวมแหวนหยกปานจื่อที่นิ้วมือ แม้นั่งไม่ขยับ แต่ตัวตรงหลังตรง ดูแล้วรูปร่างค่อนข้างสูง

 

 

ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เมื่อนั่งอยู่ในที่แคบๆ มักทำให้ผู้ที่นั่งด้วยรู้สึกกดดัน บวกกับท่าทีเย็นชาเฉยเมยของชายหนุ่ม ที่ไม่เหมือนผู้ซึ่งเข้าถึงได้ง่าย ทำให้อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่พอเห็นเขามีสีหน้าเป็นกันเอง แถมยังยิ้มให้ตน ค่อยรู้สึกผ่อนคลายลง เด็กหนุ่มจึงไม่เกรงใจอีก นั่งลงข้างๆ ซย่าโหวซื่อถิง แต่นั่งไม่สุก รถยังไม่ทันวิ่งก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองไปทั่ว

 

 

“จิ้นจ้ง อย่าเสียมารยาท” อวิ๋นหว่านชิ่นพูดไปเช่นนั้นเอง มิได้ห้ามปราม เห็นชัดว่าตามใจน้อง

 

 

นางก้าวเข้ามานั่งลงข้างๆ น้อง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ชายผู้นี้วันนี้เป็นอะไรไป เปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ แปลก ไม่เคยเห็นเขายิ้มให้ตนอย่างเป็นกันเองเช่นนี้มาก่อน แต่กลับยิ้มให้เด็กหนุ่มซนๆ เมื่อแรกพบ ยิ้มนั่น ยัง…เปี่ยมความเอ็นดูอีกต่างหาก

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงก็นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขาแอบหยิกแก้มตัวเองในความมืด เพื่อไม่ให้ใบหน้าเป็นตะคริว และพอเห็นน้องชายนางเข้ามา หัวก็งงไปชั่วขณะ คิดแต่ว่าเด็กตัวเล็กๆ นี่เป็นน้องชายนาง และเด็กกำลังโต ถ้าตนทำหน้าเย็นชาใส่ เด็กอาจตกใจได้ ซึ่งไม่ค่อยจะสู้ดี จึงแย้มยิ้มออกมา

 

 

และตอนนี้ รถม้าก็ออกตัว วิ่งไปตามท้องถนน

 

 

ขณะวิ่ง สายลมในยามค่ำคืนพัดม่านหน้าต่างรถปลิวพึ่บพั่บ พอเข้าสู่ถนนสายหลัก แสงไฟก็สว่างไสว พร้อมเสียงอึกทึกครึกโครม

 

 

เศรษฐกิจของเยี่ยจิงอยู่ในช่วงขาขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงปิดทำการดึกกว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งยังมีร้านรวงที่ได้รับอนุญาตให้เปิดตลอดทั้งคืน จากฟ้ามืดยันฟ้าสว่างของวันรุ่งขึ้น ยิ่งวันนี้เป็นวันย่างเข้าฤดูหนาว ซึ่งปีหนึ่งๆ มีเพียงครั้งเดียว คนในเมืองจึงออกมาเฉลิมฉลองกัน มองไปทางไหนก็มีแต่ความคึกคัก

 

 

เสียงพ่อค้าแม่ขายตะโกนเรียกให้ซื้อของตามท้องถนน เสียงเสี่ยวเอ้อขานรับเมื่อวางอาหารลงในเหลาสุรา เสียงเรียกให้เก็บเงินในร้านน้ำชา ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส ความมีชีวิตชีวาดุจคลื่นถาโถมเข้าทางหน้าต่างรถระลอกแล้วระลอกเล่า อวิ๋นจิ่นจ้งไม่เคยออกนอกบ้านท่องราตรีมาก่อน แค่เห็นบรรยากาศสนุกสนานเช่นนี้ก็ตื่นเต้นไม่หยุด ขยับตัวยุกยิกไปมาขณะนั่งอยู่ระหว่างคนทั้งสอง บางครั้งก็จับหน้าต่างแล้วชะโงกออกไปดู

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าน้องจะจับไข้เพราะลมหนาว จึงพยายามดึงให้กลับมานั่งดีๆ แต่ไม่เป็นผล จึงปล่อยให้น้องเกาะหน้าต่างชมแสงสีไป ขณะจะหันตัวให้ตรง มือที่ยันเก้าอี้ ก็ถูกอะไรอุ่นๆ กุมเอาไว้

 

 

ฝ่ามือของชายหนุ่มทั้งใหญ่ทั้งหยาบ ขณะอ้อมผ่านแผ่นหลังอวิ๋นจิ่นจ้ง แนบผนังรถมาตามช่อง จึงดูคล้ายงูหลาม ที่พลันมาจับมือนางในความมืด

 

 

มือนางเย็นยะเยือก ไม่มีความร้อนสักนิด ซย่าโหวซื่อถิงจึงชะงัก และเอ่ยปากทันที

 

 

“ไม่หนาวหรือ มือเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว”

 

 

นางรีบร้อนออกจากบ้าน จนลืมหยิบเสื้อคลุม เพียงสวมเสื้อซับในเนื้อหนาพอดีตัวสีเหลืองน้ำผึ้งขอบเงิน ทับด้วยเสื้อกั๊กยาวสีกุหลาบ กับกระโปรงจีบผ้าฝ้ายสีชมพู นี่มันชุดอยู่บ้านชัดๆ

 

 

เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ กุลสตรีสวมชุดบางเบา ไหนเลยจะทนความเย็นของค่ำคืนฤดูหนาวได้

 

 

พอจับถูกมือนาง ก็เป็นอย่างที่คิด เย็นจับใจ