อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นมนุษย์เลือดเย็น ตลอดสี่ฤดูในหนึ่งปี ไม่ค่อยเป็นไข้ตัวร้อน ฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาวมือก็มักจะเย็น เป็นเช่นนี้มาแต่เด็ก ตอนมารดานางยังมีชีวิตอยู่ ยังเคยให้หมอหญิงมาตรวจชีพจรนางดู แต่หมอกลับบอกว่า ไม่มีอะไร ผู้หญิงส่วนใหญ่มีธาตุหยิน (เย็น) มากกว่าธาตุหยาง (ร้อน) จึงชอบอุ่นกลัวหนาว นี่ไม่ใช่อาการป่วย เพียงแต่นางหยางไม่พอ ตัวอาจเย็นง่ายหน่อย และต่อมาก็เป็นจริงดังที่ว่า นางจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้มาแต่ไหนแต่ไร กลับภูมิใจที่ตนเองเป็นมนุษย์น้ำแข็ง จึงมักกลิ้งไปมาบนเตียงมารดาในหน้าร้อน และกอดมารดาเวลานอน มารดาจะได้เย็นสบาย
ทว่าคำพูดที่ลอยมาตามลมของชายหนุ่ม กลับทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้ง นี่เป็นคำพูดที่มารดามักพูดกับนางมาแต่เด็ก พออากาศเริ่มเย็น หรือนางวิ่งเล่นในจวนจนเหนื่อยหอบ สวี่ฮูหยินก็จะเรียกให้บ่าวไปพาลูกสาวมา แล้วดวงตาที่อ่อนโยนดุจโคมไฟริมระเบียงก็กระพริบปริบๆ แล้วว่า
“เด็กน้อย ไม่หนาวหรือ มือเป็นน้ำแข็งหมดแล้ว”
นางดึงสติคืนกลับ มือขยับ คิดจะดึงออก “ไม่หนาว” เกรงว่าน้องจะเห็นเข้า
แต่เขากลับจับแน่นขึ้น ซ้ำยังใช้ฝ่ามือบีบนวดมือนางไปมา ให้โลหิตไหลเวียน
นางดึงออกอีก เขาก็กด! นางพยายามดึง เขาก็ยิ่งจับให้แน่นขึ้น!
สองมือคล้ายกำลังต่อสู้อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็มิปาน
เจ้ายิ่งดิ้น ข้าก็ยิ่งไม่ปล่อย สู้กันไม่หยุด และดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ!
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเคืองอยู่บ้าง จึงจ้องเขาเขม็งผ่านศีรษะน้องชาย ใช้สายตาข่มขู่ให้เขาคลายมือออก แต่เห็นชัดว่าชายหนุ่มไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย กลับกระชับมือเล็กๆ ของนางเข้ามาตรงหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ทันที
“พี่…เป็นอะไรหรือเปล่า”
อวิ๋นจิ่นจ้งเกาะหน้าต่างดูแสงสีอยู่ดีๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ที่ด้านหลังของตนมีเสียงลมดังฟึ่บฟั่บ จึงหันกลับมา กวาดตามองไปทั่ว
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงฮึดสู้ จ้องมองชายหนุ่มอย่างดุดัน เสียง ‘ฟึ่บ’ ดึงมือหลุดออกจากการจับกุมจนได้!
อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกแต่ว่าบรรยากาศในรถไม่ถูกต้อง จึงหันมองคนทั้งสองซ้ายขวา
“ไม่มีอะไร ดูทิวทัศน์ของเจ้าต่อเหอะ!” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกผิดอยู่บ้าง จึงเอ็ดน้องชายแบบพี่สาว พลางผลักศีรษะน้องเบาๆ
อวิ๋นจิ่นจ้งทำปากยื่นปากยาว ทำหน้าบริสุทธ์ไร้เดียงสา แบบคนไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนหันกลับไปใช้มือเล็กๆ เท้าคาง มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างต่อ
ซย่าโหวซื่อถิงจึงยืดตัวตรง ยกมือดึงผ้าผูกที่หน้าอกออก ถอดผ้าคลุม แล้วโยนให้อวิ๋นหว่านชิ่น
อวิ๋นหว่านชิ่นใช้สองมือรับไว้ตามสัญชาติญาณ ชายหนุ่มจึงว่า
“สวมซะ อีกสักพักยังต้องลงจากรถ”
ม่านหน้าต่างปลิวขึ้น ลมหนาวพัดเข้ามา ให้ความรู้สึกหนาวเย็นเข้ากระดูกจริงๆ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจับผ้าคลุมผืนใหญ่ที่มีไออุ่นอยู่ ลังเลใจสักพัก ก่อนฉวยจังหวะที่น้องไม่ทันสนใจ พลิกมือกลับ คลุมผ้าคลุมอย่างรวดเร็ว แล้วถาม “ไปไหนหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นครั้งนี้นางเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด จึงตอบอย่างพอใจยิ่ง
“ชานเมือง”
ลอยกระทง? อวิ๋นหว่านชินยังไม่ทันพูด อวิ๋นจิ่นจ้งก็ตบมือดังป๊าป
“ดีเลย! ไปลอยกระทง ดูดอกไม้ไฟ!”
เด็กเหลือขอ ไม่ได้ดูทิวทัศน์บนท้องถนนอย่างเดียวนี่! หูยังผึ่งด้วย อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองน้อง
อวิ๋นจิ่นจ้งยักคิ้วให้ คิดว่าเขาเป็นเด็กสามขวบหรือไง หรือต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังเลียนแบบผู้ใหญ่ได้! ตอนที่เขารู้สึกว่าแผ่นหลังช่วงล่างมีอะไรแปลกๆ นั้น ก็แอบดูไปแล้วทีหนึ่ง…นิ้วของทั้งสองประสานกัน เนื้อแนบเนื้อ กุมมือกันเสียแน่นเชียว!
มิน่าเล่า คนผู้นี้ถึงได้มารับพี่สาวออกไปฉลองวันเริ่มฤดูหนาว ซึ่งคนอย่างพี่สาวก็ตอบตกลง!
ที่แท้ทั้งสองมีใจให้กันนี่เอง!
เมื่อเทียบกับความคึกคักในยามราตรีของเยี่ยจิงที่อยู่นอกหน้าต่าง อวิ๋นจิ่นจ้งในตอนนี้กลับสนใจชายหนุ่มที่อยู่ในรถมากกว่า
หลังจากพี่สาวเข้าวังไปครั้งเดียว ได้ยินว่าถูกตาต้องใจคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่หลายคน หรือคนผู้นี้ ก็คือหนึ่งในนั้น? แต่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง ตามนิสัยของพี่สาว ไม่น่าจะสนิทกับเขาเร็วขนาดนี้ หรือรู้จักกันมานานแล้ว?
คิดจะเป็นเขยสกุลอวิ๋น เป็นพี่เขยตน? ต้องเก่งกล้าสามารถทีเดียว
ขณะน้าตัวจ้อยมองดูพี่เขย จะมากจะน้อยก็มีเจตนาคล้ายแม่ยายมองดูลูกเขยอยู่บ้าง ทั้งชอบและทั้งอยากตรวจสอบ
ซย่าโหวซื่อถิงพลันรู้สึกว่า สายตาของเด็กหนุ่มมีความไม่เป็นมิตรอยู่บ้าง เมื่อครู่ยังเป็นแกะที่ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่เลย พริบตาเดียวกลายเป็นลูกหมาป่าที่จ้องเขาตาเป็นมันไปเสียแล้ว
“ท่านสามทำงานอะไรหรือ”
เสียงเด็กๆ ของเด็กหนุ่มดังขึ้น หลังจากกระแอมไอเบาๆ ไปสองที ชาติตระกูลต้องชัดเจน ถ้าชาติไม่ใช่ ตระกูลไม่เหมาะ จะคบกันได้อย่างไร
อวิ๋นหว่านชิ่นแอบดึงแขนเสื้อน้องชาย แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา จึงไม่หลบเลี่ยง แจงสถานะทางบ้านทันที
“จัดการงานธุรการในบ้าน ปรับเปลี่ยน เลื่อนตำแหน่ง ย้ายถิ่นฐาน เลิกจ้าง ทำโทษ ให้รางวัลบ่าวในบ้าน”
หลังจากองค์ชายได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็นอ๋อง พอถึงวัยตามเกณฑ์ จะถูกส่งตัวไปฝึกงานในหน่วยงาน
ของกรมต่างๆ ตามแต่กำหนด เช่นเว่ยอ๋อง ถูกกำหนดให้ไปหน่วยการเงินการบัญชีในกรมพระคลัง ย่อมรวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน นี่ก็เป็นเหตุให้เว่ยอ๋องเกิดโลภโมโทสัน ด้วยสามารถเข้าควบคุมสายงานการขุดเจาะเหมืองแร่บนภูเขาชิงเหออย่างง่ายดาย
เยี่ยนอ๋อง แม้อายุยังน้อย แต่ขวบปีที่ผ่านมาได้เข้าฝึกงานบริหารการทูตในกองการทูต ค่อยๆ เริ่มสัมผัสกับงานที่ต้องติดต่อกับคนต่างแดน
ฉินอ๋องฝึกงานในสำนักพระราชวัง จัดการดูแลคนในราชวงศ์ หน้าที่นี้งานเบา เงินใต้โต๊ะหนัก สำหรับผู้ที่รักสบาย นับเป็นงานในฝันจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คิดจำกัดตัวเองอยู่แค่ตำแหน่งอ๋องแล้วล่ะก็ นับเป็นงานที่ไม่ค่อยจะมีอนาคตสักเท่าไหร่ ตอนที่หนิงซีฮ่องเต้พิจารณาอนุมัติ เพียงตรัสว่า ฉินอ๋องสุขภาพไม่ค่อยดี ลักษณะงานเช่นนี้ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องเหนื่อยกายเหนื่อยใจมาก เหมาะสมแล้ว
แต่ซย่าโหวซื่อถิงไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของฮ่องเต้ ตำแหน่งนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการโยกย้ายนายทหาร ไม่เกี่ยวกับปากท้องประชาชน ไม่เกี่ยวกับความลับทางการทหาร เป็นสายงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ซึ่งเหมาะสมกับองค์ชายเลือดผสมอย่างตนยิ่ง จึงไม่พูดอะไรมาก ยอมรับโดยดุสดี
อวิ๋นจิ่นจ้งเลิกคิ้วงามๆ ขึ้น “ที่แท้ท่านสามก็คือ…พ่อบ้านหรือ”
มิน่าเล่า ถึงได้จัดอะไรใหญ่โตขนาดนี้ได้ เอารถม้ามาตั้งสองคัน ต้องเป็นพ่อบ้านในตระกูลใหญ่แน่ ถึงใช้รถม้าได้ตามอำเภอใจเช่นนี้
พ่อบ้าน? สำนักพระราชวังแม้มีอำนาจมาก แต่ก็เป็นเหมือนพ่อบ้านของราชวงศ์ น้องชายพูดไม่ผิด อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยกมุมปากขึ้น ไม่ได้ท้วงติงแต่อย่างใด