อวิ๋นจิ่นจ้งจับศีรษะ รู้สึกปวดกบาลเล็กน้อย ถึงพ่อบ้านจะใหญ่แค่ไหน ก็เป็นแค่บ่าวในบ้าน แต่…คำโบราณว่าไว้ คนเฝ้าหน้าห้องสมุหนายกเป็นถึงขุนนางชั้นสอง ท่านสามนี่ดูๆ ไปก็ไม่เหมือนคนระดับล่าง แสดงว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังต้องยิ่งใหญ่มาก อย่ากระนั้นเลย ถามต่อดีกว่า
อวิ๋นจิ่นจ้งท้าวคาง “นายของท่านสามแซ่อะไร”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ซย่าโหว”
ซย่าโหว? นี่มิใช่สกุลของราชวงศ์หรอกหรือ หรือคนผู้นี้ทำงานในสำนักพระราชวัง อวิ๋นจิ่นจ้งสำรวจมองเขาอีกครั้ง หรือเป็นพ่อบ้านของอ๋องคนใดคนหนึ่ง ถ้าเป็นพ่อบ้านในจวนอ๋อง ก็มีอำนาจมากโขอยู่ แต่…แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นบ่าวคนหนึ่งอยู่ดี!
อวิ๋นจิ่นจ้งรู้สึกว่า ผักกาดขาวราคาแพงถูกหมูกัด จึงไม่ยอม
ตนไม่มีมารดาแล้ว บิดาก็พึ่งไม่ได้ ในบ้านมีตนเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว การที่พี่สาวจะแต่งกับใครนั้น ตนก็มีสิทธิเลือกให้เหมือนกัน
ขณะจะเอ่ยปากถามอีก พี่สาวก็พูดขึ้น “จิ่นจ้ง สวมหมวกด้วย ถึงแล้ว”
รถม้าวิ่งผ่านตลาด ไปตามทางเล็กทางน้อย จนมาถึงริมแม่น้ำชานเมืองหลวง
แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำที่ยาวมาก ไหลผ่านเมือง ชานเมือง จนถึงภูเขาหลงติ่ง ตามปกติแล้ว พอมืดค่ำ แถวนี้จะเงียบและหนาวเย็น ไม่มีแม้แต่เงาคน แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาล ทั้งสองฝั่งแม่น้ำจึงเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งคนเมืองที่มาจากในเมืองและชาวบ้านที่อยู่โดยรอบ ถ้าจะบอกว่าผู้คนมากันอย่างมืดฟ้ามัวดินก็ไม่เกินเลยแต่อย่างใด
ซย่าโหวซื่อถิงบอกให้ซือเหยาอันนำรถม้าไปจอดให้ไกลออกไปหน่อย เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน
ฟ้าโปร่งยามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เส้นขอบเทือกเขาหลงติ่งปรากฏอยู่ไกลลิบ น้ำในแม่น้ำทั้งนิ่งและลึกทอดตัวยาวออกไปไกล กระทงนับไม่ถ้วนลอยอยู่บนผิวน้ำ กระทงแต่ละอันมีเทียนจุดอยู่ข้างใน ลอยตามกันไป ราวกับวิญญาณโลดแล่นอยู่บนผิวน้ำ
การลอยกระทงมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน แรกเริ่มเดิมทีผู้คนนิยมลอยกระทงในวันชีซี (เทศกาลแห่งความรักของจีน) แต่เนื่องจากกระทงดูสง่างามและราคาไม่แพง จึงค่อยๆ เป็นที่นิยมตามเทศกาลอื่นๆ ในเวลาต่อมา
ซือเหยาอันนำกระดาษสีและเทียนที่เตรียมมาทั้งหมดออกจากรถม้า ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่น น้องชาย และเมี่ยวเอ๋อร์กว่าหาที่เหมาะๆ ปักหลักได้ก็แทบแย่ ทั้งสามเลือกนั่งริมน้ำ อาศัยแสงสว่างจากแสงจันทร์และแสงเทียน สาละวนพับกระดาษสีเป็นกระทง แต่อวิ๋นหว่านชิ่นพับได้เพียงครึ่งเดียว ก็พลันนึกอะไรได้
จึงเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนเดินไปใต้ต้นหลิว หักกิ่งหลิวมาหนึ่งกิ่ง แล้วออกแรงฝนปลายกิ่งกับพื้นไปมา
ฝนจนปลายกิ่งดำมะเมี่ยม จากนั้นก็ใช้ปลายกิ่งขีดเขียนลงบนกระดาษสี และแล้ว กระดาษสีก็มีตัวอักษรสีดำ
ปรากฏ เหมือนเขียนด้วยหมึกดำอย่างไรอย่างนั้น
การลอยกระทง ถ้าไม่ได้เขียนคำอธิษฐานไว้บนกระทง ก็เหมือนกับทำกับข้าวแล้วไม่ได้ใส่เกลือ
นานๆ ทีซือเหยาอันจะได้ทำอะไรตามประเพณีเช่นนี้ เขานั่งพับกระดาษสีอยู่ใกล้ๆ พอชะเง้อมาเห็น ก็แปลกใจ “คุณหนูอวิ๋น กิ่งหลิวนี่ เอามาเขียนหนังสือได้ด้วยหรือ”
กิ่งหลิวลนไฟก็คืออุปการณ์ที่ใช้เขียนคิ้วรุ่นแรกๆ ทำไมจะใช้เขียนหนังสือไม่ได้เล่า อวิ๋นหว่านชิ่นตั้งใจ
เขียนให้จบ แล้วส่งกิ่งหลิวให้ซือเหยาอันลองใช้ดู จากนั้นก็วางกระทงลงน้ำ เป็นอันเสร็จพิธี
“พี่เขียนอะไรน่ะ” อวิ๋นจิ่นจ้งนั่งมองกระทงที่ลอยออกไป พลางถาม
“คำอธิษฐานเขาไม่บอกกันหรอก ไม่งั้นจะไม่ขลัง” อวิ๋นหว่านชิ่นว่า
อวิ๋นจิ่นจ้งกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น จึงยื่นมือออก คิดหยิบขึ้นมาดู แต่ถูกอวิ๋นหว่านชิ่นดึงมือไว้ แล้วแกล้งขู่ “อย่าหยิบ เพราะถ้าหยิบแล้วพลิก คำอธิษฐานจะไม่เป็นจริง!”
อวิ๋นจิ่นจ้งจึงเก็บมือลงแต่โดยดี
ซือเหยาอันถือกิ่งหลิวไว้ในมือ คิดอย่างเอาจริงเอาจังสักพัก แล้วจึงใช้มือข้างหนึ่งป้อง มืออีกข้างหนึ่งแอบเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระทง
ซย่าโหวซื่อถิงอยู่ด้านหลังของเขา เห็นแล้วก็หันมองไปอีกทาง “ไร้สาระจริงๆ”
ซือเหยาอันคอตก รีบนำกระทงสีที่เขียนว่า “ขอเมียสวยๆ สักคน” วางลงในแม่น้ำ แล้วผลักออกไปไกลๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงนายลอยมา
“ขอกิ่งไม้หน่อย กระทงอันหนึ่งด้วย”
ซย่าโหวซื่อถิงใช้กิ่งหลิวเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัวลงบนกระทง จากนั้นก็ถือกระทง กำลังจะนำไปลอย
“พี่พ่อบ้านเขียนอะไรหรือ” อวิ๋นจิ่นจ้งทักพลางยิ้มตาหยี
ได้ยินคำว่าพี่พ่อบ้าน อวิ๋นหว่านชิ่นก็ขนลุกซู่
ทว่าซย่าโหวซื่อถิงกลับปล่อยให้เด็กหนุ่มเรียกตามสบาย ดวงตากึ่งมืดกึ่งสว่างภายใต้แสงเทียนจาก
กระทง ชำเลืองมองอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วพูดทีเล่นทีเจริง
“พี่สาวเจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า คำอธิษฐานถ้าพูดออกมาจะไม่ขลัง”
อวิ๋นจิ่นจ้งเชื่อฟังคำพี่สาว แต่ไม่คิดเชื่อฟังคำเขา เกิดนึกซุกซน อาศัยจังหวะที่เขากำลังจะปล่อยกระทงลงน้ำ และไม่ทันตั้งตัว ยื่นมือลงไปหยิบกระทงของเขา
พอเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเข้ามาแย่ง ซย่าโหวซื่อถิงจึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัน ทำให้กระทงเสียศูนย์ ตกลงไปลอยเอียงกระเท่เร่ในน้ำ เทียนก็ล้มไปโดนตัวกระทง ไฟลามทั่วกระดาษอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกไฟแทน
“อ้าว…กระทงของท่านไหม้หมดแล้ว พี่ข้าบอกว่า กระทงพลิกไม่ได้ มิฉะนั้นคำอธิษฐานจะไม่เป็นจริง!”
อวิ๋นจิ่นจ้งยังมีนิสัยปากไม่มีหูรูดแบบเด็กๆ จึงตะโกนกวนๆ ออกมา
สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงค่อยๆ เปลี่ยน เขายื่นมือลงไป คิดจะเก็บกระทงไฟกลับมา แต่ซือเหยาอันที่กำลังเหงื่อตกรีบเรียกไว้ “ท่านสาม”
“จิ่นจ้ง!” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ็ดตะโร นี่ค่อยทำให้ซย่าโหวซื่อถิงยั้งมือไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นแกล้งหงุดหงิด จ้องน้องชายเขม็ง
โวยวายอะไร ถ้าคนเขาเขียนว่า ชิงบัลลังก์เป็นฮ่องเต้สำเร็จ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ ความหวังที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ถูกเจ้าดับไปเช่นนี้ แล้วเขาโกรธขึ้นมา คิดฆ่าเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร!
อวิ๋นจิ่นจ้งแลบลิ้น แล้วเอี้ยวตัวไปหลบหลังพี่สาว ไม่พูดอะไรอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงว่า “เด็กๆ ชอบพูดไปเรื่อย ท่านสามอย่าได้สนใจ เรื่องกระทงล่ม คำอธิษฐานไม่เป็นจริงอะไรนั่น เป็นคำพูดไร้สาระของข้าเอง”
สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนจากดำเป็นเขียว จากเขียวเป็นขาว แล้วค่อยๆ จางหาย กลายเป็นปกติ
ขณะเดียวกัน ฝั่งตรงข้ามก็มีเสียงดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นจากพื้นดิน สู่ฟากฟ้า นิ่งสักพัก แล้วพลันกระจายออก คล้ายนางฟ้าโปรยดอกไม้อย่างไรอย่างนั้น สาดแสงจนสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า ดุจห้องโถงช่วงกลางวันก็มิปาน!
จากนั้น ก็มีลูกที่สอง ลูกที่สาม…ฝนดอกไม้ไฟสีสันสวยงามทยอยกันตกลงมา
ดึงดูดผู้คนสองฝั่งแม่น้ำให้หันไปมอง ผู้ที่อยู่ไกลหน่อยก็พากันวิ่งกรูมายืนริมน้ำ อวิ๋นจิ่นจ้งพลันลากเมี่ยวเอ๋อร์ วิ่งแหวกผู้คนไปยืนริมน้ำกับเขาด้วย ก่อนยิ้มดีใจเหมือนกำลังฉลองปีใหม่
ซือเหยาอันกลัวก็แต่คนเบียดกันแน่นแล้วพาลจะเหยียบเท้าคุณชายอวิ๋นเข้า แต่พอนายขยิบตาให้ เขาจึงต้องเดินตามอวิ๋นจิ่นจ้งกับเมี่ยวเอ๋อร์ไป