ฉินมู่มองไปที่ทักษะเทวะของท่านยายซีด้วยความตื่นเต้น ผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชราล้วนแต่มีจุดแข็งของตนเอง นอกจากความงามล้ำเลิศแล้ว ท่านยายซียังเป็นที่เลื่องลือถึงความเพริศแพร้วพิสดารในเวทมนตร์ของนาง
แต่ทว่า ในเมื่อสิ่งที่นางฝึกปรือนั้นเป็นมรรคามาร นางจึงไม่อยากจะสอนเวทมนตร์ให้ฉินมู่มากมายนัก นางได้แต่ปล่อยให้ผู้ใหญ่บ้าน คนแล่เนื้อ และเฒ่าหม่าสั่งสอนเขา
หลังจากนั้น เมื่อฉินมู่กลายเป็นจ้าวลัทธิเยาว์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ นางก็ได้ถ่ายทอดคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแก่เขา และให้เขาตรึกตรองทำความเข้าใจมันด้วยตนเอง นางไม่ได้สอนฉินมู่ถึงวิชาฝึกปรือหรือทักษะเทวะใดๆ
หลักๆ แล้วก็เพราะว่านางเดินไปตามมรรคามาร และปฏิภาณความเข้าใจของนางต่อคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นค่อนข้างออกนอกทางอันเที่ยงธรรม นางหวังว่าหากฉินมู่ติดตามเฒ่าหนวก เฒ่าหม่า และคนอื่นๆ เพื่อฝึกปรือวิทยายุทธและอ่านคัมภีร์ที่เที่ยงแท้ทั้งหลาย เขาก็จะมีปฏิภาณความเข้าใจที่เหมาะสมกว่าต่อคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต
เดิมทีนั้นฉินมู่ก็ไม่ยินดียินร้ายต่อฝ่ายเที่ยงธรรมและฝ่ายมารอยู่แล้ว แต่ในภายหลังเขายังตระหนักว่าทั้งสองอย่างกำเนิดจากหัวใจ เมื่อเจตจำนงชั่วร้าย ไม่ว่าเวทมนตร์ที่ใช้สอยจะเที่ยงธรรมปานใด มันก็จะยังคงเป็นมรรคามาร และหากว่าเจตจำนงเที่ยงธรรม ไม่ว่าเวทมนตร์จะมารร้ายปานใด มันก็จะยังคงเที่ยงธรรม นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาไม่ยี่หระระหว่างการเดินไประหว่างมารร้ายและเที่ยงธรรม
หลังจากนั้น ฉินมู่ก็พบว่าการต่อสู้ระหว่างความเป็นมารและความเที่ยงธรรมนั้นคือการต่อสู้ของหัวใจ ขณะที่การต่อสู้ระหว่างเทพและมารคือการต่อสู้ของจุดยืนและความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ ดังนั้นเขายิ่งไม่สนในต่อการต่อสู้ระหว่างความเที่ยงธรรมและความเป็นมาร
ในอดีต เมื่อเขาต่อสู้กับวัดใหญ่ฟ้าคำราม สำนักเต๋า และสำนักอื่นๆ เขาได้ละวางอคติทั้งหลายไปจนหมดสิ้นแล้ว และไม่เก็บเอาการชิงดีระหว่างฝ่ายมารและฝ่ายเที่ยงธรรมมาใส่ใจ
บัดนี้เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะของมรรคามาร และอยู่ครึ่งทางบนเต๋าแห่งมาร ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาก็กว้างไกลกว่าที่เคย
นี่คือการเติบโต
คนผู้หนึ่งมักจะเติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ตระหนักถึงมันด้วยตนเอง แต่เมื่อเขามองกลับไป เขาก็จะพบว่าได้เติบโตขึ้นมาตลอดเวลาที่ผ่านไปนั้น จิตคิดของเขาได้สุกงอมมากขึ้น
แม้ว่าเทพซังเย่จะเป็นเทพเจ้าที่ยืนอยู่สูงส่งเหนือผู้คน แต่ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาก็อาจจะไม่เหนือล้ำไปกว่าฉินมู่
นอกจากพรสวรรค์และปฏิภาณส่วนบุคคลแล้ว โอกาสก็ยังเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อยังเล็ก ฉินมู่ได้ผ่านการอบรมบ่มเพาะของผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชรา จากนั้นก็ได้ออกจากแดนโบราณวินาศในจังหวะที่สันตินิรันดร์กำลังกระทำการปฏิรูป หากนับชาติกำเนิดและประสบการณ์ในแดนใต้พิภพและยมโลกเข้าด้วย ขอบฟ้าของเขานับได้ว่าผงาดสูงขึ้นสู่ระดับอันเลิศล้ำ
ในที่สุดท่านยายซีก็ชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทียนเฟิงโก้วออกมาจากร่างของนาง มันถูกพันธนาการเอาไว้ ดังนั้นนางจึงหนีไปไหนไม่ได้ หากว่ามันหนีไป มันอาจจะเข้าไปสิงแย่งชิงร่างของคนอื่นๆ หรือแม้แต่พรายวิญญาณกอหญ้าและต้นไม้
หากว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมไปเข้ายึดครองร่างคนอื่น ก็จะกลายเป็นการสิงสู่ และหากว่านางไปครอบครองร่างของกอหญ้าหรือต้นไม้ มันก็จะเป็นการฝึกปรือในแนวทางอื่น
“พวกเจ้าคนไหนจะสอบสวนนาง” ยายเฒ่าซีถามพลางหันศีรษะกลับไป “นางจะต้องรู้ความลับของเผ่ามารอย่างมากเป็นแน่ ดังนั้นหากว่าเรารีดเค้นข้อมูลเหล่านั้นออกมาจากปากของนางได้ ก็จะเป็นประโยชน์แก่สวรรค์ไท่หวงเป็นอย่างยิ่ง วิธีการของข้านั้นโหดร้ายทารุณจนเกินไป และไม่เหมาะที่จะใช้สอบสวนนาง เพราะถึงอย่างไร นางก็เป็นสาวงามน่าทะนุถนอมผู้หนึ่ง”
เทพซังเย่ซึ่งกำลังแนะนำตนเองกับเฒ่าบอดและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นเทิ้ม เขามองไปทางร่างของเทียนเฟิงโก้ว อำมหิตจริงๆ หญิงผู้นี้อันดับแรกก็ตบหน้าอกเทียนเฟิงโก้วให้ยุบลงไป ก่อนที่จะบดขยี้ใบหน้านางให้แหลกยุบตามไปอีก…
สายตาของเขาตกไปยังใบหน้าของยายเฒ่าซี และเขาพบว่ายากจะละสายตาออกไป ในหัวใจเขา จู่ๆ ก็มีความคิดแสวงหาแม่บุญธรรมให้แก่ซังฮั่วขึ้นมา แต่เขารีบตั้งสติตนเอง เขาเบือนสายตาจากไป ไม่กล้ามีความคิดมิดีมิร้าย
“พวกเราควรส่งต่อการสอบสวนเทียนเฟิงโก้วให้แก่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เพราะถึงอย่างไรเทียนเฟิงโก้วก็เป็นเทพเจ้าในสวรรค์ไท่หวงของข้า และนางก็ยังเป็นผู้นำที่มีตำแหน่งสูงส่ง หากว่าพวกเราสืบสวนนางกันเองก็อาจจะเป็นการก้าวล่วงหน้าที่”
เฒ่าเป๋หัวเราะคิกและกล่าว “ทำไมต้องยุ่งยากแบบนั้น ให้นักปรุงยาป้อนแมลงให้นางสักสองสามตัว แล้วเดี๋ยวนางก็จะคายทุกสิ่งทุกอย่างที่รู้ออกมาภายในสองชั่วโมง”
“พวกเรายังสามารถขอให้ท่านปู่บอดใช้ทวนมังกรดำของเขาแยกทารกวิญญาณและดวงวิญญาณออกจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของนาง ทำให้นางกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา!” ฮู่หลิงเอ๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น
เฒ่าบอดลูบหัวเล็กๆ ของนางพลางกล่าวยด้วยรอยยิ้ม “ทวนนี้ของข้ามีนามว่าหลงถัว มิใช่ทวนมังกรดำ”
“ใช่แล้ว!”
ทวนมังกรดำที่หลังของเขาพลันมีชีวิตขึ้นมาและแหวกว่ายในกากาศรอบๆ จิ้งจอกน้อย มังกรดำที่เหลือเพียงกระดูกกล่าว “ข้าชื่อหลงถัวและข้าคือราชามังกรแห่งเผ่ามาร และเจ้าก็พูดถูกเผง นายท่านและข้าสามารถแยกดวงวิญญาณของนางออกจากจิตวิญญาณดั้งเดิมได้จริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่ามันจะเจ็บปวดอย่างหฤโหด”
ฮู่หลิงเอ๋อตรวจตราดูทวนเทวะหลงถัว และพลันนึกอะไรดีๆ ออก นางรีบยกมือของนางขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายสุกใส “ข้ายังมี ข้ายังมี! ข้ายังมีอีกความคิดนึง! พวกเราสามารถขอให้ท่านปู่ใบ้หลอมนางในเตาหลอมของเขาเพื่อเปลี่ยนจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางให้กลายเป็นน้ำ ก่อนจะเทเหล็กหลอมละลายลงไปบนนั้น แล้วพวกเรามาดูกันว่านางจะยอมปริปากหรือไม่!”
จิ้งจอกน้อยนี้ก็ร้ายกาจรับมือยาก! เทพซังเย่ตัวสั่นเทาและรีบกล่าว “ให้ข้าพานางไปสอบสวนเถอะ ท่านทั้งหลาย ข้าขอตัวก่อน เมืองไร้โอหังอยู่ข้างหน้าพวกเรานี้เอง ไม่ทราบว่าจะร้องขอให้พวกท่านช่วยอารักขาเมืองให้ข้าสักสองวันได้ไหม!” หลังจากกล่าวจบ เขาก็คว้าเอาร่างกายและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทียนเฟิงโก้วแล้วรีบไปอย่างเร่งร้อน
“ท่านยาย ท่านปู่นักปรุงยา ทำไมพวกท่านทุกคนถึงมายังสวรรค์ไท่หวงล่ะ” ฉินมู่ถามทันที
ยายเฒ่าซียกมือขึ้นจะลูบหัวเขา ฉินมู่รีบก้มหัวลงเพื่อให้ท่านยายซีลูบไปมาพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าสูงขึ้นอีกแล้ว สูงเกือบจะเท่านักปรุงยาล่ะ หากเจ้าสูงมากไปกว่านี้ เฒ่าบอดก็คงจะสูงแค่สะเอวเจ้า”
เฒ่าบอดฟังแล้วก็ไม่สบอารมณ์ “ยายเฒ่า ร่างของข้ายังอยู่ในวัยเติบโต เจ้าไม่เห็นเทพซังเย่เมื่อกี้หรือ เขาอายุสองหมื่นปีและความสูงของเขาก็น่าตื่นตระหนก นี่แสดงว่ายิ่งอายุยืนมากเท่าไร ก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น!”
ยายเฒ่าซีเหลือกตาใส่ “เฒ่าบอด สติปัญญาเจ้าก็สูงพอๆ กันล่ะนะ มู่เอ๋อ พวกเรามาดูเจ้าและดูวิธีการฝึกปรือวิทยายุทธที่นี่ เพื่อเสาะหาหนทางในการทลายขั้นวรยุทธ พวกเราล้วนติดอยู่ที่ปากคอขวด ก้าวหน้าต่อไปไม่ได้ และผู้ฝึกวิชาเทวะที่เจ้าส่งไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์ก็ค่อนข้างมีประโยชน์ พวกเราเฝ้าดูพวกเขาและเรียนรู้มานิดหน่อย แต่หากว่าพวกเราต้องการระบบการฝึกปรือที่ครบสมบูรณ์ ก็ยังคงต้องมาที่สวรรค์ไท่หวงเพื่อเสาะหาวิธีการอันลึกล้ำกว่านั้น”
เป็นความจริงที่ว่าฉินมู่ได้ปรึกษาหารือกับราชครูสันตินิรันดร์และเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เพื่อส่งผู้ฝึกวิชาเทวะหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งไปยังสันตินิรันดร์เพื่อเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาก็จะสามารถถ่ายทอดวิชาฝึกปรือของสวรรค์ไท่หวงไปยังสันตินิรันดร์ ซ่อมปะในส่วนที่การฝึกวิทยายุทธแห่งสันตินิรันดร์ขาดพร่อง
ด้วยผู้ฝึกวิชาเทวะจากสองฝั่งส่งเสริมซึ่งกันและกัน พวกเขาทั้งหมดก็จะสามารถรุดหน้าไปด้วยความเร็วอันน่าแตกตื่น
แต่ทว่า นั่นมีผลเพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะเท่านั้น สำหรับผู้คนอย่างยายเฒ่าซีที่ได้ซ่อมแซมสะพานเทวะและเข้าไปยังปราสาทสวรรค์แล้ว หรือยอดฝีมือที่กำลังจะเข้าไปในปราสาทสวรรค์ นั่นยังไม่เพียงพอ
เพราะทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงที่มุ่งหน้าไปแสวงหาความรู้ที่สันตินิรันดร์ มักจะไม่มีวรยุทธอันสูงล้ำ ยิ่งไปกว่านั้นยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ ยังต้องการระบบฝึกวิทยายุทธในระดับเทพเจ้า
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถาม “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ใครดูแลสถาบันนักบุญสวรรค์ล่ะ”
“เทวราชชือ เทวราชอวี้ และพวกคนอื่นๆ และยังก็ยังมีผู้อาวุโสลัทธิอีกจำนวนหนึ่งด้วย” ยายเฒ่าซีกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “บัณฑิตแห่งสวรรค์ไท่หวงมีแต่โง่ทึบและเซ่อซ่าจนน่าสงสาร พวกเขาไม่อาจเรียนพีชคณิตได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ดังนั้นเป็นการดีที่สุดที่จะปล่อยให้พวกผู้อาวุโสและเทวราชปวดหัวกันไปเอง เทพซังเย่ได้ออกปากให้พวกเราช่วยอารักษาเมืองไร้โอหัง ดังนั้นพวกเราไปที่นั่นกันดีกว่า”
ฉินมู่ผงกหัว ทุกคนสนทนาและหัวเราะเริงรื่น ดังนั้นเขาจึงลืมเรื่องที่ก้นของเขาถูกขวิดจนเลือดซิบและหยอกเล่นกับเฒ่าบอด เฒ่าใบ้ และเฒ่าเป๋
วัวเขียวเห็นขาสั้นๆ สี่ข้างของกิเลนมังกร และดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาก้าวเข้ามาใกล้ และลุกขึ้นเดินสองขาเหมือนมนุษย์วนไปรอบตัวกิเลนมังกรสองรอบ
กิเลนมังกรหน้ามืดคล้ำ แต่เขาไม่ปริปาก มุ่งหน้าเดินต่อไป
ทวนเทวะหลงถัวแปลงร่างเป็นโครงกระดูกมังกรดำที่ส่งเสียงแกรกกรากระหว่างที่แหวกว่ายในอากาศ เข้ามายังข้างๆ ฮู่หลิงเอ๋อ มันช้อนหัวลงไปและรับจิ้งจอกน้อยขึ้นมานั่งพลางถามด้วยความอยากรู้ “พวกเขามีความบาดหมางกันหรือ”
“นี่จะนับว่าเป็นแค่ความบาดหมางได้อย่างไร นี่คือความแค้นของการช่วงชิงภรรยา!” ฮู่หลิงเอ๋อกระซิบกระซาบ
นางบอกเล่าทุกอย่างที่รู้ เกี่ยวกับว่าความบาดหมางระหว่างกิเลนมังกรและวัวเขียวได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนที่ฉินมู่เข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ วัวเขียวนั้นเป็นคนเจ้าชู้ และเขากลับมีสายตามืดบอดและคิดว่ากิเลนมังกรเป็นเพศเมียไปเสียได้ เขาไล่ตามก้อร่อก้อติกอยู่ทุกวันทุกครั้งที่เขาผ่านประตูภูเขา และถึงกับให้ดอกไม้และใบหญ้าอีกด้วย
กิเลนมังกรรู้ว่าเขาเอาชนะป้าซานไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่กัดฟันทนก่อนที่จะล่อหลอกให้ฉินมู่ไปวางยาสลบวัวเขียว ฉินมู่ได้หลอมปรุงหอมสาบสูญขึ้นมา และเมื่อหมอหลวงแห่งโถมบรมเยียวยาได้เรียนรู้มัน ก็เกิดความโกลาหลไม่น้อย
ก็มีแต่เมื่อวัวเขียวได้รู้ว่ากิเลนมังกรเป็นบุรุษเพศ และรันทดใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะออกไปไล่จีบวัวน้อยที่อื่นอย่างสนุกสนาน แน่ล่ะว่าสัตว์พิสดารทั้งสองก็เริ่มบาดหมางกันนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น
“วัวเขียวคิดว่ากิเลนมังกรเป็นเพศเมีย แต่เขาเป็นเพศผู้ เช่นนั้นนี่จะไม่ใช่แค้นของการแย่งชิงภรรยาได้อย่างไร”
มังกรดำสั่นสะเทือนโครงกระดูกของเขาไปหมดและกล่าวด้วยความตื่นตะลึง “พวกเขามีเรื่องราวในอดีตแบบนั้นเชียวหรือ”
กิเลนมังกรก้มหน้างุด ดูสงบนิ่ง แต่ใบหูของเขากระดิก
วัวเขียวยิ้มหยัน “เจ้าจะกระดิกหูไปทำไม เจ้าอ้วนที่น่าตาย ตอนที่เจ้าผอมก็ดูสะสวยเหมือนสาวๆ แต่ทำไมตอนนี้เจ้าถึงอ้วนขนาดนี้ ข้าถึงกับมองไม่ออกว่าเจ้ากำลังเดินไปด้วยขาหรือว่าใช้พุงกลิ้งไปข้างหน้า ดูข้าสิ!”
เขายกแขนขึ้นมาเบ่งกล้าม และกล้ามเนื้อทั่วร่างเขาก็ปูดโปน “พวกนี้คือกล้ามเนื้อ และที่เจ้ามีก็คือไขมัน! ต้องต่อสู้ถึงจะทำให้เจ้าองอาจและทรงพลังเหมือนกับข้า แต่ละหมัดของข้าใช้กล้ามเนื้อทั้งหมด และทุกการจู่โจมก็ร้ายกาจรุนแรง!”
กิเลนมังกรหรี่ตาลงและอ้าปากของเขา พ่นลูกแก้วกิเลนอันมีรัศมีสองคืบออกมา ลูกแก้วพวยพุ่งด้วยเพลิงไฟอยู่กลางอากาศ ส่องสว่างรอบบริเวณ
วัวเขียวตัวสั่นเทิ้ม และถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แปลงร่างกลับเป็นวัวเขียวตัวใหญ่ที่มีหางจุกเข้าไปหว่างขา เขารีบวิ่งตื๋อกลับไปยังข้างกายป้าซาน
กิเลนมังกรอ้าปากเพื่อเรียกลูกแก้วกิเลนกลับมาและยิ้มหยัน “ไขมัน? เจ้ารู้หรือเปล่าว่าลูกแก้วกิเลนใหญ่ขนาดนี้อาศัยความพยายามมากแค่ไหน”
ฮู่หลิงเอ๋อกระซิบ “มังกรอ้วน ได้คืบอย่าเพิ่งเอาศอก ต้องรู้จักหยุดเมื่อได้ชัย หากว่าพวกเจ้าสองคนสู้กันจริงๆ เจ้าก็อาจจะไม่ชนะวัวนั่นได้! ยาวิญญาณที่เจ้ากินไปยังน้อยกว่าการต่อสู้ที่เขาผ่านมากับป้าซาน ระวังเถอะ เดี๋ยวเขาก็มองออกหรอกว่าเจ้าน่ะดูแข็งแกร่งแต่ข้างนอกเท่านั้น”
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เขารู้ว่าวัวนี่เป็นคนคลั่งยุทธเหมือนกับป้าซาน ความเร็วก็เร็วกว่าเขา ความอดทนก็สูงกว่าเช่นกัน ดังนั้นหากว่าพวกเขาสู้กันจริงๆ ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของวัวเขียว
ข้าจะต้องฝึกวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาให้มากกว่านี้ หากว่าไอ้วัวนี่เห็นว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาจะต้องเข้ามาอัดข้าแน่ๆ!
เขาขับเคลื่อนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนาและฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง ฉินมู่เห็นแล้วก็รู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่จำเป็นต้องห่วงกังวลมังกรอ้วนอีกต่อไปล่ะ เขารู้จักฝึกปรือด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้บอก จริงสิ วัวสอง!”
วัวเขียวรีบวิ่งเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายผู้เฒ่าน้อย โปรดสั่งความ! นายผู้เฒ่าน้อยคงจะลืมไปแล้ว ข้าคือวัวสาม หลิงเอ๋อคือพี่สาวใหญ่ เจ้าอ้วนคือมังกรสอง และข้าเป็นอันดับที่สาม แต่ว่า ไม่นานหรอกข้าก็จะเอาชนะกิเลนมังกรและได้ที่สองคืนมา!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้ามีสายเลือดของมังกรเขียวเช่นกันใช่ไหม ข้าได้รับวิชาฝึกปรือหนึ่งมาเมื่อไม่นานมาแล้ว อันทรงพลังเสียยิ่งกว่าวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเสียอีก มันเป็นวิชาฝึกปรือที่ล้ำเลิศที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็นมาในชีวิต ในเมื่อเจ้าก็มีสายเลือดของเผ่ามังกรเช่นกัน ข้าก็จะสอนให้กับเจ้า”
วัวเขียวลิงโลดยินดีและกล่าวด้วยอารมณ์ซาบซึ้งอันจุกคอ “นายผู้เฒ่าน้อยดีกับวัวน้อยเหลือเกิน วัวน้อยไม่มีอะไรจะตอบแทน ข้าคงได้แต่ชดใช้ความเมตตาของนายผู้เฒ่าน้อยด้วยการพลีชีวิตของข้าเป็นเครื่องสังเวย!”
“เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ในวังทองและข้าก็ยังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้า เรื่องเล็กๆ เช่นนี้จะนับเป็นอะไรเชียว” ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาสาธยายวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา และไม่เพียงแต่วัวเขียวจะรับฟังจนลุ่มหลง แต่กระทั่งคนแล่เนื้อ ยายเฒ่าซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ลุ่มหลงงมงาย
“สุดยอดวิชา!” คนแล่เนื้อระบายลมหายใจสะท้านและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วิชาฝึกปรือเทพยดาที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน! มู่เอ๋อ นี่น่าจะเป็นวิชาฝึกปรือที่ไปถึงตำหนักชิดฟ้าแห่งปราสาทสวรรค์ และขึ้นไปยังบัลลังก์จักรพรรดิได้ ใช่หรือไม่”
สังหรณ์อันตรายผุดขึ้นมาในหัวใจของกิเลนมังกร และเขาสบถอยู่ในใจ ไอ้วัวที่น่าตายนี้ได้เรียนวิชามังกรบรรพกาลบรมปริศนา จะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร อย่างนี้มันก็จะสามารถกระทืบข้าจนตายได้ไม่ใช่หรือ แบบนี้ไม่ได้แล้ว! ข้าจะต้องฝึกปรือ และข้าก็จะต้องกินยาเทพชีวาธาตุน้ำอีกมากๆ!
……………….