ฮูเหยียนเอ้าป๋อกระโจนเข้าไปหาโจวเหว่ยชิงทันที พุงขนาดใหญ่ของเขากระแทกเข้ากับร่างของโจวเหว่ยชิงขณะที่เขาคว้าไหล่ของศิษย์รักเอาไว้ ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น “จะใช้คำว่าอัจฉริยะมาอธิบายตัวเจ้าได้อย่างไร เจ้าไม่ใช่อัจฉริยะ เจ้ามันตัวประหลาดในหมู่คนอัจฉริยะ! เร็ว บอกข้าว่าเจ้าทำได้อย่างไร? ข้าไม่เชื่อว่าคนที่ไม่เคยสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก่อนจะทำได้สำเร็จหลังทดลองทำไปแค่ครึ่งวัน! ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จของเจ้ายังมากกว่า 6 ใน 10 ส่วน !!”
“อาจารย์ ถึงเวลาที่ท่านควรจะลดน้ำหนักได้แล้วนะ! นอกจากนี้พวกเรากินไปคุยไปไม่ได้เหรอ ข้าหิวจริงๆ!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเหลืออด เขารู้สึกหิวโหยเป็นอย่างมาก หลังจากฝึกหนักและใช้สมาธิจดจ่อกับการสร้างม้วนคัมภีร์มาทั้งวัน พลังปราณสวรรค์ของเขาถูกใช้และฟื้นฟูขึ้นใหม่อีกหลายครั้ง ตอนนี้เรี่ยวแรงของเขาจึงหมดลงอย่างสิ้นเชิง เป็นเช่นนี้เขาจะไม่หิวได้อย่างไร?
“เอาล่ะๆ ไปกันเถอะ ไปกินข้าวกันก่อน แม้เจ้าอยากกินเนื้อของข้า ข้าก็ยอมแต่โดยดี!” ฮูเหยียนเอ้าป๋อแทบจะลุกขึ้นเต้นรำด้วยความสุข เขากวาดมือรวบรวมกองคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เสร็จสมบูรณ์ไว้ด้วยกัน สีหน้าดูตื่นเต้นมากจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไรต่อไปดี
ถ้ามู่เอินอยู่ที่นี่ เขาจะต้องประเมินท่าทางของฮูเหยียนเอ้าป๋อไว้เช่นนี้แน่นอน เหอะ ตาแก่นี่หัวเราะเสียจนดอกเบญจมาศ[1]เบ่งบาน
ในขณะนี้โจวเหว่ยชิงมีอาการปวดหัวและค่อนข้างสับสนมึนงง เมื่อได้ยินคำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อ เขาก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “อาจารย์ ข้าไม่ชอบกินอาหารที่มีไขมันมากเกินไป”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อชะงักกึก ส่วนเฟิงหยูก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็คงจะส่งฝ่ามือพิฆาตของเขาลอยละล่องไปหาโจวเหว่ยชิงแล้ว อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาเงื้อมือขึ้นสูงแต่ไม่อาจร่อนลงบนตัวของโจวเหว่ยชิงได้ ในสายตาของเขา ตอนนี้ศิษย์รักผู้นี้มีค่ายิ่งกว่าหม้อทองเสียอีก!
หลังจากรับประทานอาหารโจวเหว่ยชิงก็ดูดีขึ้นมาก ร่างกายของเขาฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายใต้การกระหน่ำซักถามของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู โจวเหว่ยชิงจึงบอกพวกเขาเกี่ยวกับวิธีที่เขาใช้สร้างคัมภีร์จนสำเร็จ “อะไรนะ? เวลา? เจ้ามี 1 ใน 3 ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ ทักษะธาตุกาลเวลา?”
โจวเหว่ยชิงถามด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์ ท่านรู้เกี่ยวกับทักษะธาตุกาลเวลาหรือไม่?”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวอย่างโมโหว่า “แม้ข้าจะไม่เคยกินหมูมาก่อน แต่ข้าก็เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน![2] จ้าวมณีที่มีประสบการณ์ทุกคนน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์มาก่อนทั้งนั้น” ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า “เหว่ยน้อย เจ้าไม่รู้หรือ ในโลกของจ้าวมณีนั้น หากจ้าวมณีคนใดปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะเป็นแค่จ้าวมณีธาตุก็ตาม เขาหรือเธอจะเป็นที่ต้องการของกองกำลังใหญ่ๆ ระดับโลกเลยทีเดียว พลังที่แท้จริงของทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกเขาเท่านั้น แต่ทักษะแต่ละชนิดยังมีการพลังที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย”
โจวเหว่ยชิงได้ฟังถังเซียนพูดถึงทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์เพียงสั้นๆ เท่านั้น เขาจึงไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกมันมากนัก เมื่อได้ยินฮูเหยียนเอ้าป๋อพูดถึงมัน เขาก็อดจะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงถามออกไปว่า “อาจารย์ แล้วทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์พวกนี้มีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง?”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “ยกตัวอย่างง่ายๆ ทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 นั้น แต่ละชนิดมีทักษะพื้นฐานที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุเทวาคือการฟื้นคืนชีพ ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุวิญญาณน่าจะเป็นเสน่ห์และการสะกดจิต ในขณะที่ทักษะพื้นฐานของทักษะธาตุกาลเวลาคือการควบคุมเวลา”
“หืม! การฟื้นคืนชีพ?” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเบิกกว้างขณะที่เขาร้องอุทานออกมา “นั่นหมายความว่าทักษะธาตุเทวาแข็งแกร่งที่สุด?”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็นเสมอไป ทักษะธาตุแต่ละชนิดก็มีจุดแข็งของตัวเองซึ่งข้าก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ ท้ายที่สุดแล้วความลึกลับที่แท้จริงของทักษะธาตุศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีระดับข้าจะรู้ แม้ว่าทักษะธาตุเทวาจะมีความสามารถในการฟื้นคืนชีพ แต่ข้าก็ได้ยินมาว่ามันมีข้อจำกัดมากมายและไม่สามารถใช้ได้ง่ายๆ อย่างที่เจ้าคิด”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อหายใจเข้าลึกอีกครั้ง จากนั้นดวงตาของเขาก็เปล่งประกายราวกับดวงดาว 2 ดวง “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งจะมีทักษะธาตุลม ทักษะธาตุมิติ และทักษะธาตุกาลเวลารวมกันอยู่ภายในร่างของเขา และยิ่งไปกว่านั้นคนๆ นั้นยังเป็นลูกศิษย์ของข้า! เหว่ยน้อย เจ้ารู้หรือไม่? ด้วยทักษะธาตุกาลเวลาของเจ้า ตราบใดที่เจ้าควบคุมเวลาได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ เจ้าก็จะมีข้อได้เปรียบที่ไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนใดในโลกสามารถมีได้ นั่นคืออัตราความสำเร็จเต็ม 10 ส่วน! นอกจากนี้ ตราบใดที่เจ้ามีพลังปราณสวรรค์และวัตถุดิบที่เพียงพอ หากให้เวลาที่เหมาะสมกับเจ้า เจ้าก็จะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ใดๆ บนโลกใบนี้ได้สำเร็จแน่นอน! นอกจากนี้ หากเจ้าสร้างศาสตรามณียุทธ์ชนิดนั้นสำเร็จไปหนึ่งใบ เจ้าก็จะสามารถสร้างใบต่อไปได้เรื่อยๆ!”
“อ้อ! ยังมีความเร็วที่เพิ่มขึ้นจากทักษะธาตุลมของเจ้าอีก ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะมีคนอื่นที่เหมาะสมกับการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ไปมากกว่าเจ้า!!”
เมื่อหันไปหาเฟิงหยู ฮูเหยียนเอ้าป๋อก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “7 วัน…ในเวลาเพียง 7 วัน เขาก็ทำในสิ่งที่อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับแรกไม่อาจทำได้แล้ว…สิ่งเดียวที่เขาขาดในตอนนี้คือความรู้ ประสบการณ์ และพลังปราณสวรรค์ที่เพียงพอ พวกเราไม่อาจใช้บรรทัดฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนอื่นๆ กับเขาได้เลย!”
“ก่อนเริ่มสอนเขา ข้ากังวลว่าเขาอาจใช้เวลาเรียนรู้นานเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการฝึกปราณของเขา อย่างไรก็ตาม จากนี้ข้าควรจะต้องกังวลว่าเขาจะเรียนรู้เร็วเกินไปจนอาจารย์อย่างข้าจะไม่มีประโยชน์กับเจ้าเด็กนี่อีกต่อไปแล้ว!”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อจับไหล่ของโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยน้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าขอให้เจ้าใช้เวลา 4 เดือนต่อจากนี้มุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์อย่างเดียว เมื่อเจ้าออกจากที่นี่ นั่นจะควรเป็นเวลาที่เจ้าไม่เหลืออะไรให้เรียนแล้ว ทุกวันเจ้าจะมีเวลาพักผ่อน 4 ชั่วโมง ใช้เวลาเรียนกับข้า 8 ชั่วโมง ส่วนอีก 12 ชั่วโมงใช้ฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ ข้าต้องการให้เจ้าเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ในเวลาที่สั้นที่สุดและหวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับแรกได้แล้ว”
“ขอรับ!” ความสนใจในอาชีพอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ได้ถูกจุดขึ้นภายในตัวของโจวเหว่ยชิงเช่นกัน สำหรับทุกคนแล้ว หากต้องตั้งใจทำบางสิ่งบาง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมาย และสำหรับโจวเหว่ยชิงตอนนี้ความตั้งใจก็คือสิ่งที่เขามีอย่างล้นเหลือแน่นอน
แม้แต่ฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ตนไม่เพียงสั่งสอนอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งอยู่เท่านั้น แต่กำลังสั่งสอนคนที่จะมีทักษะเหนือกว่าเขา…คนที่จะไปถึงจุดสูงสุดของการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์…คนที่จะกลายเป็นเครื่องผลิตเงินในอนาคต…เห็นได้ชัดจากความเร็วและอัตราความสำเร็จในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของโจวเหว่ยชิง…หึๆๆๆๆๆ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตารางชีวิตของโจวเหว่ยชิงก็ถูกจับจองจนเต็มทั้งหมด ในทุกๆ วัน แม้ฮูเหยียนเอ้าป๋อจะได้พักผ่อนบ้างหลังจากหมดธุระสอนเขา แต่โจวเหว่ยชิงกลับได้พักผ่อนเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งใน 4 ชั่วโมงนั้นยังรวมถึงเวลาในการรับประทานอาหารด้วย โชคดีที่เขามีพื้นฐานร่างกายดีมาก อีกทั้งเขาก็พอใจกับการดื่มด่ำความสุขของการเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ โจวเหว่ยชิงจึงไม่ได้โวยวายอะไร
ฮูเหยียนเอ้าป๋อเองก็ไม่ได้พยายามดึงต้นกล้าให้โต[3] หรือทำอะไรข้ามขั้นอย่างเช่นการให้โจวเหว่ยชิงเริ่มสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับสูง ในทางตรงกันข้าม เขาสั่งให้โจวเหว่ยชิงเรียนรู้และฝึกสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับต่ำทุกชิ้นที่มีอยู่ในความทรงจำอันไม่มีที่สิ้นสุดของเขา ภารกิจที่เขามอบให้โจวเหว่ยชิงคือ ก่อนออกจากที่นี่ ในบรรดาม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พื้นฐานทั้งหมด 392 ชนิดที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อสอนเขา เขาจะต้องสร้างพวกมันขึ้นมาให้ได้ชนิดละ 1,000 ใบ หรือก็คือชนิดละ 1 กล่องนั่นเอง (คัมภีร์ระดับพื้นฐาน 1 กล่อง = 1,000 ใบ)
ในฐานะปรมาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ฮูเหยียนเอ้าป๋อรู้ดีว่าการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งนั้นสำคัญเพียงใด ไม่ว่า โจวเหว่ยชิงจะอัจฉริยะแค่ไหน หากเขาไม่สร้างรากฐานที่ดี เขาก็จะไม่มีวันก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะถ่ายทอดความรู้จำนวนมากให้กับโจวเหว่ยชิง แต่เขาก็ยังห้ามไม่ให้โจวเหว่ยชิงสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลางหรือเหนือกว่านั้นขึ้นไป
ตามที่ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวนั้น คัมภีร์ในระดับที่สูงขึ้นประกอบไปด้วยการผสมผสาน และจับคู่ของม้วนคัมภีร์ระดับพื้นฐาน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการ “ยกระดับขึ้น” จากขั้นพื้นฐานมาก นั่นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนกว่าทักษะขั้นพื้นฐานทั้งหมด แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีทักษะธาตุกาลเวลาที่ดู ‘ขี้โกง’ จนน่ากลัว แต่หากเขาไม่มีความรู้ขั้นต้นและทักษะพื้นฐานที่มั่นคง เขาก็จะเป็นเพียงแค่เครื่องคัดลอกเท่านั้น ไม่ใช่ผู้สร้างที่แท้จริง
…
4 เดือนให้หลัง
“อาจารย์ วันนี้ท่านจะสอนอะไรข้า?” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้ากระตือรือร้นขณะที่เขามองไปยังฮูเหยียนเอ้าป๋อ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาน้ำหนักของโจวเหว่ยชิงลดลงมากอย่างเห็นได้ชัด เขาผอมลง ดวงตาลึกโหลและมีรอยคล้ำอยู่ใต้ตา ผิวของเขาไม่ได้เป็นสีทองแดงสุขภาพดีอีกต่อไป มันค่อนข้างซีดขาวหลังจากไม่ได้เจอแสงแดดมาเป็นเวลานานถึง 4 เดือน
อย่างไรก็ตาม หากมีใครตรวจสอบอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะสังเกตได้ว่าแม้ร่างกายของเขาจะดูทรุดโทรมผิดปกติ แต่ดวงตาของเขากลับดูสดใสมากกว่าเมื่อ 4 เดือนก่อนมาก มันเต็มไปด้วยความกระหายอยากในความรู้ สมองของเขาเต็มไปด้วยข้อมูลอันลึกล้ำของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์
ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ทั้งอาจารย์และศิษย์คู่นี้ไม่ได้โผล่ออกจากเรือนเลยด้วยซ้ำ คนหนึ่งทุ่มเทสั่งสอน ส่วนอีกคนก็เฝ้าเรียนรู้อย่างสุดหัวใจ สำหรับฮูเหยียนเอ้าป๋อ แม้เขาจะมีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว แต่เขาก็ใช้เงินออมทั้งชีวิตเพื่อซื้อกระดาษศาสตรามณียุทธ์และวัตถุดิบต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับสร้างหมึกศาสตรามณียุทธ์ให้โจวเหว่ยชิงทั้งหมด
สำหรับโจวเหว่ยชิงนั้น เขาได้เรียนรู้พื้นฐานของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ทุกอย่าง ทั้งความรู้พื้นฐานและทักษะต่างๆ ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการสร้าง การจดจำสูตรหมึกและกลเม็ดเคล็ดลับอื่นๆ ที่เขายังไม่เคยรู้มาก่อน
“วันนี้เราจะไม่เรียนอะไรแล้ว” ฮูเหยียนเอ้าป๋อมองโจวเหว่ยชิงด้วยกับรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าโจวเหว่ยชิง แม้ว่าพุงของเขาจะหย่อนคล้อยลงจนเกือบจะติดพื้นก็ตาม
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอ่อนโยนและใจดีของของฮูเหยียนเอ้าป๋อ โจวเหว่ยชิงค่อนข้างประหลาดใจกับคำพูดเขา “ไม่เรียน? แต่…อาจารย์ ข้าต้องออกจากอาณาจักรเฟยหลี่ในอีกไม่กี่วันแล้ว ข้าจะใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้นะขอรับ!”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อยิ้มจางๆและพูดว่า “ฮ่าๆ…เจ้าเด็กโง่ อาจารย์ไม่มีอะไรจะสอนเจ้าอีกต่อไปแล้ว 4 เดือนที่ผ่านมา ข้าได้ส่งต่อทุกสิ่งที่ข้ารู้ให้เจ้าไปหมดแล้ว แม้ว่าเจ้าจะยังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะจดจำคำสอนทั้งหมดของข้า อีกทั้งเจ้าก็ยังต้องฝึกฝนอีกมาก แต่ก็เป็นเรื่องจริงที่ข้าไม่มีอะไรจะสอนเจ้าแล้ว”
โจวเหว่ยชิงรู้สึกตกตะลึง เขาพลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันซับซ้อนจากฮูเหยียนเอ้าป๋อ “อาจารย์…”
ฮูเหยียนเอ้าป๋อกล่าวว่า “เหว่ยน้อย ข้าไม่อาจกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะได้ ไม่ใช่เพราะข้ามีพรสวรรค์ไม่เพียงพอหรือเพราะข้าฝึกฝนไม่หนักพอ แต่เป็นเพราะระดับการฝึกปราณของข้าไม่มีวันพอ ร่างกายของข้าและพลังปราณสวรรค์ของข้าไม่อาจจะสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แบบหลุมบรรจุมณีเดียวแล้ว”
“การสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะเป็นความใฝ่ฝันของข้ามาตลอด แต่ทว่าความฝันนั้นก็ถูกจำกัดเพราะข้าเป็นเพียงจ้าวมณีธาตุธรรมดา อย่างไรก็ตาม เจ้าแตกต่างจากข้า เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่จ้าวมณีสวรรค์ธรรมดา แต่เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกเลือกสรรมา คนที่มีทักษะธาตุ 6 ชนิดในร่าง และหลายชนิดในนั้นก็หายากมาก แม้ว่าเจ้าจะไปที่โรงเรียนฝึกทหารตระกูลเฟยหลี่แล้ว ข้าก็ยังหวังว่าเจ้าจะใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อวัน ฝึกสร้างคัมภีร์เพื่อเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า การฝึก 2 ชั่วโมงก็เกินพอแล้ว”
“อย่างไรก็เถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะจากไปแล้ว ตอนนี้ข้าจึงมีของขวัญจะมอบให้เจ้า”
………………………………………………………………….
[1] ดอกเบญจมาศเบ่งบาน: ดอกเบญจมาศมีความหมายโดยนัยว่ารูก้น
[2] แม้ไม่เคยกินหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน (没吃过猪肉难道还没见过猪跑么) ความหมายพื้นฐานคือ แม้ว่าบางคนอาจไม่เคยสัมผัสบางสิ่งบางอย่าง / มีบางสิ่งบางอย่าง แต่เขาเคยได้ยิน / มีความเข้าใจในเรื่องนี้บ้าง โดยทั่วไปในสมัยโบราณหมูมักถูกเลี้ยงเป็นอาหาร แต่หลายคนจนไม่สามารถกินหมูได้ แต่พวกเขาสามารถเห็นหมูวิ่งไปมาได้โดยง่าย
[3] ดึงต้นกล้าให้โต (拔苗助长) ใช้เปรียบเทียบกับการพยายามฝืนกฏเกณฑ์ธรรมชาติหรือการเร่งให้งานใดๆสำเร็จโดยใช้วิธีที่ผิดจนก่อให้เกิดผลเสียหายตามมา