อวี้ถังคิดเพ้อล่องลอยอยู่คนเดียวเป็นครึ่งค่อนวัน กระทั่งถูกคนสกุลเฉินเรียกให้ไปเรียนทำขนมฉงหยาง[1]

เริ่มจากแช่ข้าวเหนียวกับข้าวเม็ดสั้นทิ้งไว้หนึ่งคืนแล้วโม่เอาน้ำ ผลไม้เชื่อมเขียวแดงหั่นเป็นเส้นฝอย น้ำตาลทราย ผงเกาลัด น้ำมันหมูก้อน แล้ววางเป็นชั้นๆ บนเข่งนึ่ง ขนมฉงหยางที่มารดาทำไม่เหมือนกับของบ้านอื่น บ้านอื่นจะใช้น้ำตาลแดง ถั่วแดงและน้ำมันหมูก้อน แต่ขนมฉงหยางของบ้านนางจะใช้น้ำตาลทรายกับผงเกาลัดแทน แบบนี้ขนมฉงหยางจะออกมาสีขาวเหมือนหิมะ ทั้งได้กลิ่นหอมของผงเกาลัด รสชาติจะไม่มันเยิ้ม ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของสหายอวี้เหวินเป็นหนักหนา และเทศกาลฉงหยางของทุกปี บ้านนางก็จะทำขนมออกมาเพื่อมอบให้ผู้อื่นเป็นจำนวนมาก

ปีนี้ยังมีสกุลของหม่าซิ่วเหนียงรวมเข้ามาด้วย

คนสกุลเฉินสั่งอวี้ถังว่า “เจ้ารีบไปรีบกลับ อีกเดี๋ยวพวกเราต้องไปกินข้าวเย็นที่เรือนของท่านลุงอู๋อีก”

ตอนวันไหว้พระจันทร์ สกุลอวี้เชิญครอบครัวนายท่านอู๋มากินงานเลี้ยงสารพัดปูไปแล้ว พอถึงวันฉงหยาง นายท่านอู๋จึงเชิญสกุลอวี้ไปกินงานเลี้ยงสารพัดปูเช่นกัน

รวมถึงครอบครัวของอวี้ป๋อ ก็ได้รับเชิญไปด้วย

“เจ้าค่ะ” อวี้ถังร้องตอบเสียงดัง แล้วเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มือถือห่อขนมฉงหยางที่ร้อนกรุ่นออกจากเตาใหม่ๆ ไปยังเรือนสกุลจาง

รูปร่างของหม่าซิ่วเหนียงยังไม่คืนสภาพอรชรเหมือนดั่งเก่า ฉิงเอ๋อร์นั้นนับวันก็ยิ่งอวบอ้วน คล้ายกับก้อนข้าวเหนียวก้อนหนึ่ง เด็กน้อยยังคอไม่แข็ง แต่กลับไม่ยอมนอนราบในอ้อมแขนผู้อื่นแล้ว จะให้คนคอยประคองศีรษะน้อยๆ ให้ตั้งไว้เพียงอย่างเดียว ทั้งยังชอบให้อุ้มเดินรอบทิศ พานางชมโน่นชมนี่ ไม่อย่างนั้นก็จะร้องไห้โยเยเสียงดัง

“ต้องเป็นเจ้าแน่ๆ ตอนช่วงยังไม่ครบเดือนก็ตามใจนางจนเสียนิสัย!” หม่าซิ่วเหนียงทางหนึ่งก็อุ้มลูกเดินวนไปทั่วห้อง ทางหนึ่งก็แสร้งบ่นอวี้ถังอย่างไม่พอใจ “เจ้าติดหนี้ข้านะ เตรียมตัวรอไว้ให้ดีเลย”

อวี้ถังยิ้มแฉ่งให้หม่าซิ่วเหนียงอย่างละอายใจ

หม่าซิ่วเหนียงไม่ง่ายกว่าจะกล่อมบุตรสาวให้หลับได้ นางส่งเด็กน้อยให้แม่นมอุ้มออกไป ถึงค่อยมีเวลานั่งคุยเปิดใจกับอวี้ถัง

“งานมงคลเจ้ายังกำหนดไม่เรียบร้อยอีกรึ?” นางเอาแต่เป็นห่วงเรื่องนี้ “ไม่อย่างนั้น ก็แต่งออกเสียเลยสิ ข้ามองแล้วว่าญาติผู้พี่ของเจ้าใช้ได้เลยทีเดียว มีเขาแบกรับเรื่องในสกุล เจ้าก็คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ นิดหน่อย บิดากับมารดาของเจ้าอย่างไรก็มีคนคอยดูแลอยู่แล้ว”

ตอนนี้อวี้ถังไม่อยากแต่งงานเลยสักนิด นางเออออตามไปอย่างไม่ใคร่จะแยแสนัก แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่สกุลจางแทน “ข้าได้ยินว่าคุณชายจางออกไปรับงานข้างนอกแล้ว เช่นนั้นต่อไปเขาจะยังลงสนามสอบบัณฑิตหรือไม่?”

หม่าซิ่วเหนียงกำลังกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่พอดี นางเอ่ยว่า “บิดาฉิงเอ๋อร์เป็นเมล็ดพันธุ์สำหรับเล่าเรียนเขียนอ่าน หากไม่เข้าสอบ นี่มินับว่าสิ้นเปลืองหรือ แต่เขาเป็นคนดื้อรั้น หลังจากที่ฉิงเอ๋อร์คลอดออกมาในเรือนก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมาก ข้าคิดจะเอาสินเดิมมาช่วยสบทบ เป็นตายเขาก็ไม่ยอม ท่านอาน้อยสกุลข้าก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว…”

นางถอนหายใจเฮือก

อวี้ถังถึงได้เล่าความคิดและแผนการที่คิดไว้ออกมา “…ให้คุณชายจางช่วยวาดลวดลายสักหลายแบบลงบนเครื่องลงรักของสกุลข้าได้หรือไม่? แต่ไม่ต้องเขียนชื่อเขาลงไป หากว่ามีคนถามถึง ก็บอกว่าญาติผู้พี่ของข้าเป็นคนวาด เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

บัณฑิตหลายคนมักละอายที่ต้องค้อมตัวก้มหน้าให้เงินทอง คุณชายจางตอนนี้เป็นเพียงบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง ต่อไปหากต้องรับราชการ การช่วยร้านหนังสือคัดลอกตำรานับเป็นเรื่องสง่างาม แต่ช่วยร้านค้าวาดแบบเพื่อแลกเงินกลับเป็นการแย่งชิงรายได้ของจิตรกร นับเป็นการหมิ่นเกียรติบัณฑิต ต้องกระทบถึงชื่อเสียงของคุณชายจางแน่

หากว่าผู้อื่นเป็นคนเอ่ยขึ้นมา หม่าซิ่วเหนียงคงไล่ตะเพิดคนผู้นั้นออกประตูไปโดยไม่หยุดคิด แต่คนที่พูดเรื่องนี้คืออวี้ถัง อวี้ถังเป็นคนเช่นไรนางกระจ่างแก่ใจดี ปากเก็บความลับได้ ทั้งเป็นคนเจ้าความคิด นางเชื่อใจอวี้ถัง แต่คุณชายจางจะยินยอมหรือไม่นั้น นางก็ไม่กล้ารับปาก

“ข้าจะช่วยถามให้แล้วกัน!” หม่าซิ่วเหนียงไม่อยากพูดให้ผูกมัดจนเกินไป “หากว่าเขายินยอม ข้าก็ไม่มีอะไรให้กังวลหรอก”

อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก

ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลแม้จะสร้างขึ้นมาใหม่ แต่กิจการไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน สาเหตุหลักเพราะช่วงที่ถนนฉางซิ่งถูกไฟไหม้ ชาวเมืองหลินอันจำนวนมากที่ต้องการเครื่องลงรักจำเป็นต้องไปหาซื้อของที่หังโจว พอไปแล้วจึงค้นพบว่าร้านค้าเครื่องลงรักที่หังโจวไม่เพียงมีสินค้าครบพร้อมยิ่งกว่าร้านค้าของสกุลอวี้ รูปแบบก็แปลกใหม่ คนมีเงินบางส่วนในเมืองหลินอันจึงเปลี่ยนไปซื้อเครื่องลงรักจากเมืองหังโจวแทน ซึ่งกำไรที่ร้านค้าจะได้ส่วนหนึ่งก็ล้วนมาจากพวกคนมีเงินอยู่แล้ว ร้านค้าของสกุลนางจึงไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป

พอผ่านเทศกาลฉงหยางไป เผยเยี่ยนก็ส่งคนให้มารับอวี้ถังไปเป็นแขกที่จวน ครั้งนี้อวี้ถังเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่เพียงนำดอกไม้ผ้าหลายดอกที่ตนเองลงมือทำช่วงสองสามวันนี้ติดตัวไปด้วย ยังมีขนมกุ้ยฮวาที่คนสกุลเฉินทำอีกด้วย

น้ำตาลดอกกุ้ยฮวาเพิ่งทำขึ้นในปีนี้เอง หอมสดชื่นด้วยกลิ่นสดใหม่ เมื่อทำเป็นขนมกุ้ยฮวา จะเหมือนโปรยหิมะสีขาวที่ลงบนทองคำเปลว จนคนมองต้องน้ำลายสอกันเป็นแถว

ท่านแม่เฒ่ากินไปถึงสองชิ้น เฉินต้าเหนียงไม่กล้าให้ท่านแม่เฒ่ากินมากกว่านี้แล้ว “อย่างไรท่านก็เหลือไว้ให้พวกข้าที่ได้แต่ลิ้มรสทางสายตาบ้างสิเจ้าคะ”

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะเสียงดัง แล้วเอาขนมที่เหลือตบรางวัลแก่บ่าวรับใช้ไป

อวี้ถังดีใจมาก “ถ้าท่านชอบ ครั้งหน้าข้าจะนำมาให้อีกเจ้าค่ะ”

“เป็นเพราะน้ำตาลดอกกุ้ยฮวาทำออกมาได้ดี” ท่านแม่เฒ่าชมเปราะ “นี่เป็นฝีมือของมารดาเจ้ารึ? ดูแล้วนางทำขนมได้ไม่เลวเลย”

อวี้ถังเม้มปากซ่อนยิ้ม

จี้ต้าเหนียงเห็นเช่นนั้น จึงสั่งคนไปเรียกช่างตัดเสื้อซึ่งรออยู่ตรงระเบียงนานแล้วให้เข้ามา

ช่างตัดเสื้อเป็นท่านป้าอายุราวๆ สี่สิบปี พาแม่นางอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกติดตามมาด้วยสองคน ผู้เป็นช่างมีรูปร่างอ้วนฉุ เหมือนกับหมั่นโถวนุ่มนิ่ม ตอนที่ยิ้มดวงตาสองข้างแทบจะหายไป ส่วนแม่นางอีกสองคนนั้น คนหนึ่งผอมแห้งไม่ค่อยพูด อีกคนหุ่นอ้อนแอ้นมีไหวพริบ

คนทั้งสามเดินเข้ามาแล้วทำความเคารพท่านแม่เฒ่าและอวี้ถังอย่างเต็มพิธี

ท่านแม่เฒ่าบอกจี้ต้าเหนียงพยุงช่างตัดเสื้อให้ลุกขึ้น รับคารวะจากแม่นางทั้งสอง แล้วชี้ไปทางอวี้ถังพลางเอ่ยกับช่างตัดเสื้อว่า “ผู้นี้คือหลานสาวของข้า มาจากสกุลอวี้” จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ช่างตัดเสื้อแล้วหันมาพูดกับอวี้ถังว่า “ผู้นี้คือเถ้าแก่เนี้ยหอจินหลี่ว์แห่งหังโจว สกุลสามีคือสกุลหวัง เรียกนางว่าหวังต้าเหนียงก็ได้” ส่วนแม่นางอีกสองคน ท่านแม่เฒ่าชี้ไปส่งๆ ไม่ได้บอกชื่อเสียงเรียงนาม เห็นชัดว่าลืมชื่อสกุลของคนทั้งสองไปแล้ว

หวังต้าเหนียงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “นี่เป็นศิษย์ทั้งสองของข้า คนหนึ่งสกุลสามีเรียกว่าหลี่ คนหนึ่งสกุลสามีเรียกว่าโจวเจ้าค่ะ”

อวี้ถังเดินเข้าไปหาเพื่อทักทาย

หวังต้าเหนียงเอ่ยรัวเร็วว่ามิกล้าๆ แม่นางทั้งสองต่างเบี่ยงตัวหนี ไม่กล้ารับคารวะจากนาง

ท่านแม่เฒ่าไม่ได้ใส่ใจ หันไปถามหวังต้าเหนียงว่า “ได้ยินว่ารอบนี้เจ้านำผ้าแบบใหม่จากซูโจวมาด้วย เอาออกมาให้ข้าดูสิ”

หวังต้าเหนียงรับคำ จากนั้นก็พาลูกศิษย์ทั้งสองไปยกผ้าเข้ามาหกเจ็ดพับ แล้วกางออกทีละผืนให้ท่านแม่เฒ่าและอวี้ถังได้ชม “ท่านลองดูผ้าไหมหังโจวกลุ่มลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนผืนนี้สิเจ้าคะ ปีก่อนๆ หากไม่ทอเป็นกิ่งดอกก็จะเป็นลายน้ำ ปีนี้ทำเป็นลายแปดมงคลเจ้าค่ะ เพราะว่าใช้เส้นด้ายสีเงิน มองไกลๆ จะเหมือนผ้าไหมหังโจวเรียบง่ายผืนหนึ่ง แต่ถ้ามองใกล้ๆ จะเห็นเป็นกลุ่มลายดอกไม้แบบนี้…ยังมีอีกผืน เป็นผ้าไหมหังโจวสีเขียวเข้มปักลายดอกกระดุมขาว ทั้งสุภาพและสง่า หากทำเป็นเสื้อคลุมตัวนอกยิ่งจะเหมาะนัก ยังมีผืนนี้ เป็นผ้าสีกรมปักลายกระเรียนและหลินจือ หน้าหนาวมาถึงแล้ว ใช้ทำเป็นเสื้อคลุมได้พอดี ข้ายังนำพวกขนสัตว์ติดมาด้วย แม้ขนประเภทนี้จะดี แต่ไม่อาจเทียบรัศมีกับของท่านแม่เฒ่าในสกุลที่นำมาทำเป็นผ้าคลุมได้ ของข้าชิ้นนี้ อย่างมากก็เป็นได้แค่ผ้าคาดผมเท่านั้น ยังดีที่เป็นสีขาว จะเล็กใหญ่ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น…”

นางสาธยายยาวเหยียดไปเรื่อย รูปแบบของผ้าจะใหม่หรือเก่าอวี้ถังก็ไม่รู้ แต่สีของผ้าหากไม่ใช่ขาวดำก็เป็นเขียวเข้มๆ ล้วนเป็นแบบที่คนไว้ทุกข์สวมใส่กัน เห็นได้ว่ามีการใส่ใจเป็นอย่างมาก

ท่านแม่เฒ่ากลับเอ่ยอย่างจุกจิกว่า “ข้ามิใช่กำชับว่าทางนี้ยังมีหลานสาวอีกคนรึ? เหตุใดจึงมีแต่ผ้าสีสุภาพเรียบๆ เช่นนี้?”

หวังต้าเหนียงกับอวี้ถังต่างตะลึงไปทั้งคู่

ท่านแม่เฒ่าดึงผ้าสีกรมปักลายกระเรียนและหลินจือมาดูอย่างไม่ชอบใจ “สีดอกไม้ดูมีอายุไปหน่อย ไม่มีแบบปักลายสี่บุรุษแห่งบุปผาหรือไม่ก็ลายอิงเถาหรือผลซิ่งผลหลี่[2]บ้างรึ?”

หวังต้าเหนียงตอบโต้ได้ทันเวลา “มีเจ้าค่ะ! ข้าไม่แน่ใจว่าคุณหนูอวี้จะชอบแบบไหน จึงไม่กล้านำมาหลายแบบนัก ข้าจะให้คนกลับไปนำมาเดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เช้าก็ส่งมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”

ท่านแม่เฒ่าเบะปาก “ขืนรอเจ้า ดอกกะหล่ำก็ร่วงโรยหมดแล้ว คนสกุลเฉิน เจ้าหยิบกุญแจข้าไปเปิดห้องคลังที เลือกผ้าที่เหมาะกับแม่นางอย่างคุณหนูอวี้มาสักหลายพับ”

เฉินต้าเหนียงรับคำด้วยรอยยิ้มแล้วเดินหายไป

อวี้ถังนั้นกลับสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าปอด

นี่มิใช่การให้รางวัลแบบสามัญทั่วไปแล้ว

นางคิดจะปฏิเสธ แต่ท่านแม่เฒ่าก็เอ่ยดักว่า “ข้าชอบเห็นเด็กสาวๆ ที่แต่งตัวสะสวย คนสกุลจี้ เจ้าไปเชิญคุณหนูใหญ่กับคุณหนูคนอื่นๆ มาด้วย หนึ่งคนก็ตัดเสื้อผ้าสักหลายชุดหน่อย”

อวี้ถังไม่สะดวกจะบอกปัด จึงกล่าวขอบคุณท่านแม่เฒ่าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเย้าท่านแม่เฒ่าให้อารมณ์ดีว่า “อาศัยวาสนาของท่านแล้ว ได้สวมเสื้อฝีมือช่างตัดเย็บจากหังโจว ปีใหม่ปีนี้ ข้าต้องใส่ออกไปโอ้อวดให้มากหน่อย”

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะขำใหญ่ พลางโบกมือไปมาคล้ายระอาใจ จากนั้นก็เรียกอวี้ถังเข้าไปหา ถกเถียงกันเรื่องรูปแบบของอาภรณ์ว่า “ข้าจำได้ว่าปีก่อนนิยมกระโปรงหน้าม้าสิบสองพับมิใช่หรือ? ปีนี้ยังเป็นแบบสิบสองพับอยู่หรือไม่?”

หวังต้าเหนียงหัวเราะพลางพูดว่า “ปีนี้นิยมกระโปรงจันทร์ทรงกลดเจ้าค่ะ คล้ายกระโปรงพับที่ทำเป็นกระโปรงร้อยจีบ ทว่าจะเหมือนกระโปรงบานเพราะปล่อยชาย หน้าร้อนปีนี้ เหล่าฮูหยินเมืองหังโจวแทบจะมีกันคนละชุด ท่านแม่เฒ่าเป็นคนรูปร่างผอมบาง ใส่แล้วจะต้องงดงามมากแน่เจ้าค่ะ”

นางพูดไป ก็คว้ากระโปรงตัวหนึ่งมาให้ท่านแม่เฒ่าดู ทว่าหางตานั้นกลับลอบประเมินอวี้ถังอยู่ในที

ไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้เป็นญาติฝ่ายไหนของท่านแม่เฒ่า นางตัดเสื้อให้ท่านแม่เฒ่ามาเจ็ดแปดปีแล้ว เพิ่งจะเคยเห็นคุณหนูท่านนี้เป็นครั้งแรก ทว่า หน้าตาช่างพริ้มเพราเสียจริง! ถ้าเป็นญาติฝั่งมารดาของท่านแม่เฒ่าก็จะดูตัวสูง แต่คุณหนูท่านนี้ไม่สูงไม่เตี้ย ไม่ใคร่จะคล้ายญาติฝั่งนั้นของท่านแม่เฒ่าเท่าไร ทว่าสามารถทำให้ท่านแม่เฒ่าช่วยเลือกเสื้อผ้าได้ ชัดเจนว่าคงเป็นที่โปรดปรานไม่เบา

คิดถึงตรงนี้ นางก็หันไปส่งสายตาให้โจวเหนียงจื่อผู้เป็นศิษย์ บุ้ยใบให้นางสังเกตความชอบของอวี้ถังให้ดี ครั้งหน้าถ้ามาอีก จะได้แนะนำเนื้อผ้าและรูปแบบตามที่อวี้ถังชมชอบได้

โจวเหนียงจื่อพยักหน้า ทิ้งสายตาไว้ที่ร่างของอวี้ถังอยู่ตลอด

อวี้ถังไม่ได้ใส่ใจ คิดว่าในเมื่อเป็นรางวัลจากท่านแม่เฒ่า ก็ไม่จำเป็นต้องกระมิดกระเมี้ยน รอให้เฉินต้าเหนียงเปิดห้องคลังของท่านแม่เฒ่า หยิบเอาผ้าลายดอกไม้ใบหญ้าออกมากองโต นางก็เลือกผ้าไหมหังโจวไร้ลวดลายสีเขียวอ่อนออกขาวมาผืนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผืนนี้สวยดีเจ้าค่ะ”

เฉินต้าเหนียงมองอวี้ถังด้วยดวงหน้าไม่เปลี่ยนสี ในใจก็คิดว่า มิน่านายท่านสามจึงมองคุณหนูท่านนี้ด้วยสายตาสูงส่งนัก แม้ท่านแม่เฒ่าจะสั่งให้นางหาผ้าสีสันสดใดมาให้คุณหนูทั้งหลายเลือก แต่อย่างไรก็ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้ท่านผู้เฒ่า ต่อให้เลือกได้ก็ไม่สมควรเลือกสีที่ฉูดฉาดเกินไป ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกสีเขียวอ่อน สีฟ้าอ่อนและสีหม่นๆ มาหลายพับ คาดไม่ถึงว่าคุณหนูท่านนี้จะมีความคิด นางไม่ได้เลือกแบบที่ปักไหมสีเงินทอง แต่กลับเลือกผ้าไหวหังโจวอีกผืนที่ชื่อว่าปี้สุ่ยชิงแทน

ท่านแม่เฒ่าก็สังเกตเห็นเช่นกัน นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ผ้าพับนี้จืดชืดเกินไป ไม่เหมาะไว้ใส่ตอนปีใหม่หรอก ข้าว่าผืนสีฟ้าอ่อนจะสวยกว่า”

————————————————————-

[1]ขนมฉงหยาง เป็นขนมที่ทานเพื่อความเป็นสิริมงคล มีความนัยหมายถึงการได้รับสิ่งที่ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป ขนมฉงหยางไม่เพียงแต่ทำขึ้นกินกันเองภายในครอบครัว แต่ยังสามารถมอบเป็นของขวัญได้ด้วย ขนมฉงหยางอาจจะมีสองหรือสามชั้น โดยระหว่างชั้นแป้งจะมีผลไม้เชื่อม พุทราจีน ถั่วหรือธัญพืชต่างๆ เป็นต้น

[2]ผลซิ่ง คือลูกพลัม ส่วนผลหลี่คือแอปพริคอต