บทที่ 148 คุณหนู

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังหัวเราะ “แม้ผ้าพับนี้จะเรียบไปหน่อย แต่เป็นสีที่ไม่ค่อยจะพบเห็น กล่าวตามจริง ข้าโตขนาดนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นผ้าสีเขียวที่เฉดอ่อนขนาดนี้ สารภาพเลยว่า เมื่อครู่ข้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สีที่หายากเช่นนี้ราคาคงแพงมากแน่ หากข้าเลือกผ้าผืนนี้ก็คงละอายแก่ใจ แต่ถ้าเลือกผ้าผืนอื่น ข้าก็คงกลับบ้านไปแล้วเสียใจจนนอนไม่หลับอยู่ดี ข้าคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจทำหน้าหนาเลือกผ้าผืนนี้ แล้ววันข้างหน้าข้าค่อยทำดอกไม้ผ้ามาให้ท่านหลายๆ ดอกนะเจ้าคะ”

ท่านแม่เฒ่าฟังแล้วก็หัวเราะชอบใจยกใหญ่

คนรับใช้ในห้องต่างพากันขำตามไปด้วย

ห้องด้านในพลันเต็มไปด้วยเสียงสรวลเสเฮฮา

เฉินต้าเหนียงแอบเอี้ยวตัวหันไปเช็ดน้ำตาเงียบๆ

นานเท่าไรแล้วหนอ

ตั้งแต่ที่ท่านผู้เฒ่าจากไป ท่านแม่เฒ่าก็เอาแต่ทุกข์ตรม พวกนางที่คอยรับใช้ข้างกายก็ได้แต่ระวังตัวเต็มที่ กลัวว่าอาจเผลอไผลพูดอะไรออกไปจนท่านแม่เฒ่าต้องน้ำตาตก บรรยากาศของเรือนเหอหมิงจึงตกอยู่ใต้ความเศร้าหมองและตึงเครียด

วันนี้ ในที่สุดนางก็ได้เห็นรอยยิ้มของท่านแม่เฒ่า รอบกายท่านแม่เฒ่ากลับมามีเสียงหัวเราะอีกครั้ง

ยังคงเป็นนายท่านสามที่เก่งกาจ!

สามารถทำให้ท่านแม่เฒ่าลุกขึ้นมามองไปยังเบื้องหน้าได้

นางหลบไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำชา ส่องกระจกมองตนเองนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยการร้องไห้ทิ้งไว้ ก็เดินออกจากห้องน้ำชาด้วยรอยยิ้ม

ใครจะคิดว่าเมื่อก้าวขาออกจากห้องน้ำชาก็เจอกับเหล่าคุณหนูที่มาคารวะท่านแม่เฒ่าพอดี

นางถลาเข้าไปทำความเคารพ

ผู้ที่อยู่หน้าสุดเป็นบุตรสาวคนโตบ้านสามของนายท่านใหญ่ ฤดูใบไม้ผลิปีนี้เพิ่งถึงวัยปักปิ่น นางสวมชุดคลุมผ้าไหมหังโจวสีชาเรียบง่าย แต่ก็ไม่อาจบดบังความงามของผู้สวมใส่ได้เลย นางเอ่ยทักเฉินต้าเหนียงเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าผู้มาเยือนคือคุณหนูอวี้แห่งตรอกชิงจู๋?”

เฉินต้าเหนียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แต่ไม่คิดจะปากมากกับคุณหนูซึ่งอยู่ลำดับสองของสกุลเผยผู้นี้ เพียงตีหน้ายิ้มแล้วเกี่ยวม่านเปิดออก พลางบอกว่า “ข้างนอกอากาศหนาว คุณหนูทุกท่านระวังจะถูกไอเย็น รีบเข้าไปคุยกันด้านในเถอะเจ้าค่ะ ท่านแม่เฒ่านางรออยู่แล้ว”

คุณหนูทั้งหลายจึงให้หนึ่งในพวกตนซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวปักลายหญ้าเซียนเฉ่า อายุประมาณแปดเก้าปีเดินนำเข้าไปก่อน

ทว่าคุณหนูผู้นั้นกลับหลบไปยืนด้านข้าง หลีกทางให้คุณหนูคนอื่นที่เหลือ

คุณหนูคนอื่นมิได้เกรงใจ เดินเรียงตามลำดับอายุมากน้อยเข้าไปทีละคน

พอเข้าห้องไปไออุ่นก็ปะทะโดนหน้า คุณหนูทั้งหลายชอบมาที่นี่บ่อยๆ ก็เพราะเหตุนี้ พวกนางถอดผ้าคลุมกันลมออก เห็นเป็นเสื้ออีกชั้นที่สวมทับอยู่ด้านใน แต่กลับไม่มีใครรู้สึกร้อน มีเพียงคุณหนูรองที่เอ่ยว่า “ท่านแม่เฒ่าช่างรู้จักเสพความสำราญเหลือเกิน” จากนั้นทุกคนก็เดินไปที่โถงรับรองฝั่งตะวันออก

“ท่านแม่เฒ่า!” เหล่าคุณหนูทั้งหลายนี้ ที่อายุมากสุดก็ไม่เกินสิบสี่สิบห้า ที่อายุน้อยสุดก็ประมาณแปดเก้าขวบ แม้ทุกคนจะอยู่ในชุดสุภาพสีหม่น ทว่าแต่ละคนเป็นเฉกบุปผาน้อย ทำให้ดวงตาคนวาววิบวับ งดงามน่ามองไปเสียสิ้น

อวี้ถังตะลึงตะลานไป

หวังต้าเหนียงยิ่งเอ่ยชมเสียงเปาะว่า “ทุกครั้งที่มาที่จวน มักรู้สึกว่าตนเองหล่นลงไปในกองบุปผา พอหันไปมองคุณหนูบ้านอื่น ล้วนไม่มีคนใดเข้าตา ผู้ที่เป็นเยี่ยมล้ำเลิศนั้น กลับมารวมตัวที่จวนหลังนี้แล้ว”

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ตอบคำ นางหันไปเรียกให้เหล่าคุณหนูมาทำความรู้จักกับอวี้ถัง “นี่คือคุณหนูอวี้ อายุมากกว่าพวกเจ้าทั้งหมด จะเรียกนางว่า ‘พี่สาว’ ก็ได้” จากนั้นก็เปลี่ยนมาแนะนำเหล่าคุณหนูอีกที “นี่คือเจ้ารอง เจ้าสาม เจ้าสี่ แล้วก็เจ้าห้า”

คุณหนูแต่ละคนต่างเอ่ยทักทายอวี้ถังอย่างมีมารยาท

อวี้ถังคารวะตอบกลับไปทีละคน ในสมองก็หมุนแล่นเร็วจี๋ พยายามจับคู่ข่าวลือที่เคยได้ยินกับบุคคลที่อยู่เบื้องหน้า

สกุลเผยปัจจุบันแบ่งเป็นเจ็ดบ้าน แยกเรือนออกไปแต่ไม่แยกสกุล ล้วนแต่อาศัยอยู่ที่ตรอกเสี่ยวเหมยทั้งสิ้น ในสกุลมีบุรุษมากกว่าหญิงสาว หนึ่งในนั้นคือคุณหนูใหญ่ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตบ้านรองของนายท่านใหญ่ บัดนี้ออกเรือนไปแล้ว คุณหนูรองเป็นบุตรสาวคนโตบ้านสามของนายท่านใหญ่ คุณหนูสามเป็นบุตรสาวคนโตบ้านสามของนายท่านรอง คุณหนูสี่เป็นเป็นบุตรสาวคนโตบ้านห้าของนายท่านใหญ่ คุณหนูใหญ่บ้านหลัก ซึ่งก็คือบุตรสาวของนายท่านรองเผยเซวียนที่ชื่อว่าเผยตันกลับอายุน้อยที่สุด นับเป็นลำดับห้า เรียกว่าคุณหนูห้า

หลานสาวแท้ๆ ของเผยเยี่ยน…อวี้ถังอดจะลอบประเมินสักหลายทีมิได้

แม่นางผู้นี้น่าจะมีรูปโฉมเหมือนมารดา เพราะไม่ค่อยจะคล้ายท่านแม่เฒ่ากับเผยเยี่ยนสักเท่าไร คิ้วเรียวเล็กดวงตาผลซิ่ง เปล่งประกายงดงามให้เห็นตั้งแต่อายุยังน้อย

นางรับรู้ได้ถึงสายตาของอวี้ถัง จึงส่งยิ้มขวยเขินกลับมาให้

อวี้ถังถอนหายใจเฮือก

นางกลัวว่าคุณหนูห้าจะคบหาด้วยลำบากน่ะสิ

อย่างไรก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านแม่เฒ่า หากว่าการที่นางได้รับความโปรดปรานกลับทำให้หลานสาวแท้ๆ ในสกุลไม่พอใจ นี่มิใช่ก่อเรื่องวุ่นวายให้สกุลเผยหรือ?

บัดนี้ดูแล้ว คุณหนูห้าน่าจะนิสัยอ่อนโยน ไม่ใช่ประเภทชอบหาเรื่องหรือว่าเอาชนะผู้อื่น พวกนางน่าจะเข้ากันได้ไม่เลว แต่คุณหนูรองผู้นั้น รูปโฉมงดงามไม่พูดถึง ทว่าท่าทางเย่อหยิ่งกลับแขวนชัดเต็มหน้า มองแล้วรู้ทันทีว่าคบหาด้วยยาก หากนางต้องปฏิสัมพันธ์ด้วยคงต้องระวังตัวให้มากหน่อย

คุณหนูสามกับคุณหนูรองมาจากบ้านเดียวกัน แต่หน้าตาไม่เหมือนกันสักนิด นางมีคิ้วใบหลิวดวงตาหงส์ อายุไล่เลี่ยกับคุณหนูรอง ดวงตาขึงหน้านิ่ง วางตัวถูกต้องตามระเบียบจารีต มีมาดของคุณหนูสกุลใหญ่อยู่เต็มเปี่ยม

คุณหนูสี่น่าจะอ่อนกว่าคุณหนูสามสองสามปี ดวงตากระจ่างใสกับฟันขาวผ่อง ตอนที่มองคนก็จ้องตอบอย่างตรงไปตรงมา เห็นชัดว่าซุกซนมีไหวพริบ น่าจะเป็นคนร่าเริงและดื้อรั้นที่สุดในบรรดาคุณหนูทั้งหมด

ท่านแม่เฒ่าให้พวกนางเลือกผ้าที่ตนเองชอบหนึ่งผืน ทั้งบอกว่า “ไว้ตัดเสื้อผ้าฤดูหนาวสักหลายตัวพร้อมกับพี่อวี้ของพวกเจ้าไปเลย”

คุณหนูห้าและคุณหนูสามต่างรับคำว่า “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม คุณหนูรองมองอวี้ถังด้วยสายตาดูแคลน มีเพียงคุณหนูสี่ที่ฉวยโอกาสตอนคุณหนูคนอื่นเลือกผ้าและท่านแม่เฒ่ากำลังสนทนากับหวังต้าเหนียงอยู่ หันมากระซิบถามอวี้ถังว่า “พี่สาวเลือกผ้าสีอะไรหรือเจ้าคะ?”

แม่นางน้อยที่ร่าเริงสดใสคงไม่มีใครที่รักไม่ลง

อวี้ถังก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นางเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าเลือกผ้าสีเขียวอ่อนที่วางอยู่ข้างๆ นั่น”

คุณหนูสี่หันขวับมามองทีหนึ่ง “พี่สาวตาคมยิ่ง สีเขียวอ่อนผืนนั้นเป็นของบรรณาการเมื่อหลายปีก่อน ท่านแม่เฒ่าได้รับมาหลายผืน มอบให้ท่านย่าข้าไปผืนหนึ่ง ต่อมาพี่สาวคนโตออกเรือน ก็ถูกท่านแม่เฒ่าบ้านรองขอไปให้พี่ใหญ่ตัดชุดอีกผืนหนึ่ง”

อวี้ถังรู้ว่าผ้านี้คงมิใช่ของถูก แต่คาดไม่ถึงว่าจะสูงค่าเพียงนี้

คุณหนูสี่คล้ายอ่านความในใจของอวี้ถังออก จึงกระซิบบอกนางเสียงรัวเร็วว่า “แต่พี่สาวก็ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ท่านแม่เฒ่าใจดีมากเจ้าค่ะ ตอนที่พวกเรามาหา ก็จะทำขนมไข่ให้กินทุกครั้ง ทั้งยังสั่งห้องครัวใช้น้ำแกงไก่ทำต้มจืดเต้าหู้ให้อีกต่างหาก”

อวี้ถังเม้มปากยิ้ม

ช่วงไว้ทุกข์จะกินได้เพียงอาหารมังสวิรัติเท่านั้น

พวกผู้ใหญ่ยังพอไหว แต่พวกเด็กๆ ยังอายุน้อย นับเป็นช่วงร่างกายกำลังเติบโต บางสกุลก็คร่ำเคร่งมากเกินไป หากว่าต้องมีช่วงไว้ทุกข์ติดๆ กัน เด็กๆ ก็ต้องทรมานร่างกายตามไปด้วย

คิดไม่ถึงว่าท่านแม่เฒ่าจะเป็นคนที่มีเมตตาเพียงนี้

ต้องรู้ไว้ด้วยว่า ผู้ที่เดินทางสู่แดนสุขาวดีไปนั้นคือท่านผู้เฒ่า

นางหวนคิดถึงเผยเยี่ยน

บางที นี่อาจเป็นจุดที่ทำให้ท่านแม่เฒ่าได้รับความเคารพจากผู้อื่นกระมัง?

เมื่อออกจากจวนสกุลเผย อวี้ถังไม่เพียงมีผ้าหังโจวสีเขียวอ่อนเพิ่มขึ้นมา ยังมีกระโปรงหน้าม้าสิบพับสีเขียวเข้มปักลายดอกเหมยกล้วยไม้และใบไผ่มาหนึ่งชิ้น เสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยสีฟ้าม่วงประดับขนเพียงพอนหนึ่งชิ้น และหมอนซุกมือที่ทำจากขนสัตว์สีขาวอีกหนึ่งชิ้น…

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างทุกข์ใจว่า “อาภรณ์ที่ดีเพียงนี้ จะเก็บเอาไว้เป็นสินเดิมเจ้าตอนแต่งงานได้หรือไม่?”

นี่ย่อมเป็นการพูดล้อเล่น

หากว่ารู้เข้าใจธรรมเนียม ก็ควรจะสวมชุดนี้ไปคารวะท่านแม่เฒ่าที่จวนสกุลเผยในวันแรกของปีใหม่

แต่ว่าประตูใหญ่ของสกุลเผยไม่ได้ผ่านเข้าไปง่ายๆ เช่นนั้น อวี้ถังอยากจะไปกล่าวสวัสดีปีใหม่แก่ท่านแม่เฒ่า อย่างไนก็ต้องดูด้วยว่าท่านแม่เฒ่าจะมีเวลาว่างให้นางพบหรือเปล่า!

คนสกุลเฉินคิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดไม่ตกว่าจะตอบแทนท่านแม่เฒ่าอย่างไร จึงกัดฟันเอ่ยว่า “ไม่ได้สิ! อวี้ถัง เจ้าจะต้องฝึกงานเย็บปักให้ดี งานตัดเย็บเจ้าไม่ได้ความ แต่พอทำถุงเท้าสักคู่ให้ท่านแม่เฒ่าได้กระมัง?”

“ท่านปล่อยข้าไปเถอะเจ้าค่ะ!” อวี้ถังกุมศีรษะ “ถุงเท้าของท่านแม่เฒ่าก็มีหอจินหลี่ห์ของหวังต้าเหนียงทำให้อยู่แล้ว ทั้งยังปักลวดลายแสนจะซับซ้อน ฝีมือยังเหนือชั้นกว่าท่านเสียอีก! ท่านให้ข้าทำถุงเท้าให้ท่านแม่เฒ่า มิใช่เป็นการสร้างความลำบากใจให้นางหรือ…ถ้าใส่ ตนเองก็ต้องกล้ำกลืนอัดอั้นตันใจ ถ้าไม่ใส่ นายท่านสามก็ต้องรับความไม่เป็นธรรมแทน”

อย่างไรนายท่านสามก็เป็นคนพานางเข้าจวน นางนับว่ามองอะไรๆ ออกแล้ว ข้างกายท่านแม่เฒ่าหาได้ขาดแม่นางน้อยมาสร้างความสำราญให้ แต่ที่นางสามารถอยู่ข้างกายท่านแม่เฒ่าได้ แปดในสิบส่วนเป็นเพราะท่านแม่เฒ่าไม่อยากทำร้ายความกตัญญูของบุตรชาย แสร้งหลับตาข้างหนึ่งเพื่อให้นางมาอยู่เป็นเพื่อน

คนสกุลเฉินหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาแล้วบอกว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า?”

อวี้ถังลูบจมูกไปมา “ข้าจะลองดูว่าสามารถช่วยท่านแม่เฒ่าคัดลอกหนังสือสวดมนต์ได้หรือไม่”

ชาติก่อน นางถูกคนสกุลหลินบังคับให้คัดหนังสือสวดมนต์ไม่หยุดหย่อน จนฝึกเป็นลายมือตัวบรรจงอ่อนช้อยออกมาได้

ในเมื่อท่านแม่เฒ่าต้องการไปทำพิธีกุศลให้ท่านผู้เฒ่าที่วัดเจาหมิง นางก็จะช่วยคัดลอกหนังสือสวดมนต์ให้ท่านผู้เฒ่าสักหลายม้วน ท่านแม่เฒ่าคงยินดีรับไว้กระมัง?

คนสกุลเฉินได้ฟังก็คิดว่าเข้าท่าไม่เลว แทบอยากจะให้อวี้ถังคัดตำราออกมาหลายๆ เล่มเสียเดี๋ยวนี้ นางรีบร้องเรียกซวงเถาให้มาหา “เร็วเข้า ไปหยิบกระดาษที่ดีที่สุดในห้องนายท่านมาให้คุณหนู หลายวันต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น นั่งคัดหนังสือสวดมนต์อยู่ในเรือนก็พอแล้ว”

อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก

กระดาษชั้นเยี่ยมในห้องหนังสือของบิดาตอนนี้ก็คือกระดาษเฉิงซินที่จวนสกุลเผยส่งมาให้คราวก่อน บิดานางยังไม่กล้าตัดใจใช้ ทว่า ก่อนหน้านี้นางเอาแต่วุ่นวายกับเรื่องของสกุลเผย จึงไม่ค่อยได้เห็นหน้าบิดาเท่าไรนัก

“ท่านแม่” นางเรียก “ท่านพ่อล่ะเจ้าคะ?”

คนสกุลเฉินตอบว่า “ออกไปกับนายท่านอู๋แล้ว บอกว่าจะไปซื้อที่”

หัวใจของอวี้ถังพลันกระตุก

หรือว่าเป็นที่นาปลอดภาษีห้าสิบหมู่ของสกุลหลี่ซึ่งสามารถปลูกข้าวปี้จิงได้?

นางตั้งใจว่าจะรอบิดากลับมา คนสกุลเฉินก็ถามเรื่องของเหล่าคุณหนูสกุลเผยขึ้นมาอย่างสนใจว่า “แม้อายุจะน้อยกว่าเจ้า แต่อย่างไรก็เติบโตมาในสกุลใหญ่ เจ้าคบหากับพวกนางเป็นอย่างไรบ้าง? หากว่าเข้ากันไม่ได้ ก็บอกกับจี้ต้าเหนียงไว้ ต่อไปหาจังหวะที่พวกนางไม่อยู่แล้วค่อยไปพบท่านแม่เฒ่า”

“น่าจะยากอยู่เจ้าค่ะ” อวี้ถังนึกถึงสถานการณ์วันนี้ตอนที่เข้าไปพบท่านแม่เฒ่า “เพราะกลัวท่านแม่เฒ่าจะเหงาอยู่คนเดียว พวกคุณหนูคงได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่มาเหมือนกัน ว่าให้ไปเยี่ยมเยียนท่านแม่เฒ่าทางนั้นบ่อยๆ แต่ว่าท่านก็ไม่ต้องกังวลไป แม้คุณหนูสกุลเผยแต่ละคนจะนิสัยไม่เหมือนกัน แต่มีการอบรมสั่งสอนของสกุลอยู่ คงมิใช่คนประเภทชอบสร้างความลำบากให้ผู้อื่นแน่ น่าจะพอคบหากันได้เจ้าค่ะ”

ที่นางพูดเป็นความจริง

ต่อให้เป็นคุณหนูรองสกุลเผย นางยังรู้สึกได้ชัดเจนว่าคุณหนูรองไม่ค่อยจะชื่นชอบตนนัก อาจเพราะยังแคลงใจว่านางใช้ลูกไม้แบบใดจึงสามารถประจบเอาใจท่านแม่เฒ่าได้ ทว่าก็เพียงวางท่าเย็นชาใส่เท่านั้น มิได้มีวาจาไม่น่าฟังหรือจงใจกลั่นแกล้ง คุณหนูสี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด หากมิได้มีกฎระเบียบของสกุลอยู่ นางคงตามสืบเรื่องของตนไปแล้ว

คนสกุลเฉินแม้จะได้ยินแบบนั้นแต่ก็ยังไม่วางใจ “โบราณมีคำกล่าวเอาไว้ รับของของผู้อื่นมาแล้ว เมื่อเกิดปัญหาก็ไม่กล้าไปเอาเรื่องกับเขา ครั้งหน้าเจ้าไปสกุลเผย ข้าจะทำขนมอร่อยๆ ไปให้พวกคุณหนูทั้งหลายได้ลองชิมกัน”

อวี้ถังตอบรับด้วยรอยยิ้ม

การได้กินของเลิศรสด้วยกันสามารถทำให้คนสนิทสนมกันมากกว่าเก่าจริงๆ