ตอนที่ 191 เอิ่ม? / ตอนที่ 192 ผมคิดว่าสัญญาณเตือนภัยที่ไหนดังซะอีก

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 191 เอิ่ม?

 

 

“ทำไมล่ะ”

 

 

“เพราะว่ามีเพียงแค่แบบนี้ที่จะทำให้ไม่ดูสงสารมากขนาดนั้น อย่างน้อยในสายตาของคนส่วนใหญ่ ฉันก็ไม่ใช่คนที่ถูกทิ้ง…”

 

 

มือของป๋อจิ่งชวนชะงักงัน นัยน์ตาสีดำจ้องมองเธอ รอฟังประโยคถัดไปของเธออย่างจดจ่อ

 

 

เฉินฝานซิงเปิดเปลือกตาขึ้น จ้องมองไปที่เขาเช่นกัน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆ

 

 

“คุณถูกลิขิตให้ยืนอยู่สูงเหนือผู้คนมากมาย คุณเกิดมาพร้อมกับ ถูกสายตานับหมื่นคอยจับจ้องและ ให้ความสนใจ ชีวิตของคุณแทบจะสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่าง แต่ฉันกลับทำอะไรเพื่อคุณได้น้อยเหลือเกิน สิ่งเดียวที่ฉันจะทำได้ในตอนนี้ ก็คือไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นความด่างพร้อยในชีวิตของคุณ…”

 

 

รูม่านตาของป๋อจิ่งชวนหดเล็ก ลงในทันที รู้สึกราวกับโดนกระแทกเข้ากลางอกอย่างจัง เสียงเต้นของจังหวะหัวใจแทบจะดังอึกทึกออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแทรกซึมไปทุกส่วน

 

 

มือของเขาที่กำลังคล้องศีรษะของเธอเอาไว้กระชับขึ้นกว่าเดิม มืออีกข้างกำหมัดเอาไว้แน่น

 

 

ที่แท้ ที่เธอยอมตกลงทำตามเงื่อนไขของเจียงหรงหรงในคืนนี้ ยอมถูกผู้คนมากมายขนาดนั้นรังแกและเหยียดหยาม ความอดกลั้นทั้งหมดนี้ หรือแม้แต่การโต้ตอบในตอนสุดท้ายของเธอ ทั้งหมดล้วนทำเพื่อเขา…

 

 

เขาคอยสังเกตทุกการกระทำของเธออยู่ห่างๆ แล้วคิดไปเองว่าตัวเองอ่านเธอขาดในทุกๆ ด้าน จึงเลือกที่จะคอยให้ความร่วมมือเธออย่างเงียบๆ

 

 

แล้วคิดไปเองว่าหากปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่เธอต้องการมากที่สุดก็จะช่วยฉุดดึงเธอให้รอดกลับมาอีกครั้งได้

 

 

อีกทั้งเขายังไม่พอใจที่คืนนี้เธอตัดสินใจโง่ๆ ยอมไปให้พวกเขารังแกถึงที่…

 

 

ท้ายที่สุดแล้ว กลับทำให้เห็นว่าเขาต่างหากที่โง่งม

 

 

“ทำไมถึงคิดแบบนี้ ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก…”

 

 

“ฉันสนใจ!” เฉินฝานซิงพูดแทรกกะทันหัน “ป๋อจิ่งชวน ฉันสนใจค่ะ ฉันไม่อยากกลายเป็นภาระของคุณ ฉันจะพยายามทำตัวเองให้ดีที่สุด ให้กลายเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับคุณให้ได้ เพราะงั้น คุณเดินหน้าไปให้เต็มที่เลย ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉัน…”

 

 

ในที่สุด ความอดทนในดวงตาของป๋อจิ่งชวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ในเวลานี้

 

 

“เป็นไปไม่ได้!”

 

 

ราวกับฟ้าฝ่าลงกลางคัน

 

 

“ผมไม่มีทางทิ้งคุณไว้เด็ดขาด คุณจำไว้เลยนะ ไม่มีทาง…”

 

 

จู่ๆ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็จุกอยู่ในลำคอของเฉินฝานซิง ความร้อนผ่าวที่รื้นขึ้นบนขอบตาบดบังทัศนียภาพการมองเห็น…

 

 

“ฉัน…เชื่อคุณ”

 

 

เธอฝืนข่มบีบคั้นคำพูดออกมาจากความรู้สึกเจ็บปวด

 

 

ความรู้สึกเจ็บปวดแสนสาหัสที่หนักอึ้งอยู่ในอก

 

 

ป๋อจิ่งชวนยิ้มมุมปาก ก่อนจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของเธอเบาๆ

 

 

“ไปส่งคุณกลับบ้านกัน”

 

 

“ค่ะ”

 

 

 

 

ตี้หัวฮวาถิง

 

 

เมื่อป๋อจิ่งชวนส่งเฉินฝานซิงถึงบ้าน เขาที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู ก้มมองหญิงสาวที่กำลังเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

“นี่…คุณจะขวางผมไว้นอกบ้านงั้นเหรอ”

 

 

เฉินฝานซิงหัวเราะก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์ต่อ หน้าเขา

 

 

“ดึกมากแล้ว”

 

 

“ผมไม่รีบ”

 

 

“ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้วนะคะ กว่าคุณจะกลับไปถึงคฤหาสน์เซิ่งจิ่งก็คงจะสี่ทุ่มกว่าแล้ว”

 

 

ป๋อจิ่งชวนเงียบไปประมาณสองวินาที จู่ๆ ก็พูดโพล่งออกมา

 

 

“ผมหิวแล้ว”

 

 

“…”

 

 

เมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองมาด้วยความสงสัยของเฉินฝานซิง เขาจึงรีบอธิบายเสริม “พอผมลงจากเครื่องก็รีบตรงไปหาคุณเลย”

 

 

คิ้วเรียวยาวได้รูปของเฉินฝานซิงขมวดมุ่นเล็กน้อย สุดท้ายก็ยอมเบี่ยงตัวเหลือช่องว่างสำหรับให้เขาเดินเข้าไปได้

 

 

“เข้ามาก่อนสิ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนยิ้มร่าเดินเข้าห้องไปอย่างไม่เกรงใจ

 

 

 

 

ป๋อจิ่งชวนคงจะหิวมากจริงๆ กลางดึกขนาดนี้ยังกินบะหมี่ไปถึงสองชาม

 

 

หลังจากกินเสร็จเขาก็ไม่ได้คิดที่จะนั่งพักต่อแต่อย่างใด

 

 

สีหน้าเหน็ดเหนื่อยของเฉินฝานซิงที่แอบเผยออกมาใช่ว่าเขาจะดูไม่ออก อีกอย่าง เขาเองก็นั่งอยู่บนเครื่องมาเป็นสิบชั่วโมง

 

 

เขาดึงเธอเข้ามาตรงหน้า บรรจงจูบหนึ่งที

 

 

“ผมกลับก่อนล่ะ คุณเองก็รีบพักผ่อนเถอะ”

 

 

“อื้ม เดี๋ยวฉันไปส่ง”

 

 

คิ้วคมของป๋อจิ่งชวนขยับเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่ได้ “ไม่ต้องหรอก”

 

 

เขาพูดพลางปล่อยเธอออก ก่อนจะหยิบเสื้อสูทขึ้นมาแล้วหันหลังเดินออกไป

 

 

เฉินฝานซิงรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติ เกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

 

 

เมื่อหันกลับไปสายตาก็เหลือบไปเห็นกระดุมข้อมือสีเงินระยิบระยับหนึ่งคู่วางอยู่บนโต๊ะ เธอคิดว่าเขาคงยังไปได้ไม่ไกลจึงรีบตามออกไป

 

 

ในขณะที่เดินออกจากประตูมาก็เห็นแผ่นหลังของป๋อจิ่งชวนกำลังย่างขาเข้าลิฟต์ไปพอดี จึงรีบวิ่งตามไป แต่ประตูลิฟต์กลับปิดลงตรงหน้า

 

 

เธอรีบกดปุ่มลงลิฟต์ แต่ก็ช้าไปหนึ่งก้าวอยู่ดี

 

 

นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าค่อยเอาไปคืนเขาตอนเจอกันครั้งหน้า

 

 

 

 

แต่ทว่าระหว่างที่เธอกำลังจะหันหลังเดินออกไป สายตาเผลอไปปะทะกับแผงควบคุมลิฟต์เข้า ทันใดนั้นเอง ฝีเท้าก็หยุดนิ่งไป…

 

 

เอิ่ม?

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 192 ผมคิดว่าสัญญาณเตือนภัยที่ไหนดังซะอีก

 

 

เธอหันหน้ากลับเข้าไปหาลิฟต์อีกครั้ง แล้วจ้องแผงควบคุมลิฟต์อยู่พักใหญ่

 

 

แต่ตัวเลขที่แสดงบนแผงควบคุมลิฟต์กลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จนท้ายที่สุดแม้แต่สัญญาณไฟลงลิฟต์ก็ดับไปด้วย

 

 

ลิฟต์จอดนิ่งอยู่ที่ชั้นสิบห้า ไม่ได้เคลื่อนไปไหนอีก

 

 

ในใจของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นข้อง การคาดเดาที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือผุดขึ้นมาในหัว

 

 

เธอหยุดยืนอยู่ที่เดิม จ้องแผงควบคุมลิฟต์อย่างใช้ความคิดอยู่อย่างนั้นจนเกือบครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็ก้มหน้าลงมองกระดุมข้อมือสีเงินที่ส่องประกายระยิบระยับอยู่ในมือคู่นั้น ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง

 

 

เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หลังจากที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เฉินฝานซิงก็ล้มตัวลงนอนแล้วหลับใหลไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เป็นค่ำคืนที่นอนหลับสนิทหนึ่งคืน

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ประตูห้องถูกเคาะ

 

 

ป๋อจิ่งชวนยืนก้มหน้าก้มตาจัดระเบียบเสื้อเชิ้ตที่ยับยู่ยี่บนตัวอยู่หน้าประตู เพราะคิดว่าเฉินฝานซิงคงไม่น่าจะมาเปิดประตูให้เร็วขนาดนั้น

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่า ประตูตรงหน้าจะถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว

 

 

เขาเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความตกใจ มองดูหญิงสาวตรงหน้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว

 

 

มือข้างหนึ่งของเฉินฝานซิงจับขอบประตูไว้พลางเงยหน้าขึ้นมองเขา ในดวงตามีรอยยิ้มที่ดูไม่ค่อยจะคุ้นตาพร้อมกับเอ่ยทักทายเขาก่อน

 

 

“อรุณสวัสดิ์”

 

 

ป๋อจิ่งชวนหยุดมองเธอปราดหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “อรุณสวัสดิ์”

 

 

เฉินฝานซิงเบี่ยงตัวหลบให้เหลือพื้นที่ว่างเอาไว้

 

 

“เข้ามาก่อนสิ”

 

 

ป๋อจิ่งชวนไม่มีท่าทีลังเล จากนั้นร่างสูงยาวของเขาก็ก้าวย่างเข้าไปในห้อง

 

 

“ไปนั่งในครัวสิ ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้แล้ว”

 

 

ป๋อจิ่งชวนเดินเข้าไปในห้องครัว สอดส่ายสายตาไปยังอาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเธอ แล้วพูดออกมาเรียบๆ

 

 

“อาหารเช้าสองชุด คุณรู้แล้วเหรอว่าวันนี้ผมจะมา”

 

 

เฉินฝานซิงนั่งลงตรงข้ามเขา ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่อมยิ้มแล้วยื่นมือออกไปเลื่อนกระดุมข้อมือหนึ่งคู่บนโต๊ะอาหารที่วางอยู่ข้างโทรศัพท์ไปวางตรงหน้าเขา

 

 

“เมื่อคืนคุณลืมกระดุมข้อมือไว้ที่นี่”

 

 

นัยน์ตาสีดำราวกับน้ำหมึกของป๋อจิ่งชวนเคลื่อนไหวเบาๆ หลังจากที่เฉินฝานซิงยกมือออกก็พลันกวาดสายตามองไปทางกระดุมข้อมือคู่หนึ่ง ก็รู้สึกคุ้นๆ ตาอยู่เหมือนกันแฮะ

 

 

เขา ละสายตากลับมา หยิบตะเกียบที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นเริ่มกินข้าวอย่างเงียบๆ

 

 

เฉินฝานซิงเห็นท่าทีบ่ายเบี่ยงไม่สนใจของเขาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

เธอส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วเริ่มลงมือรับประทานอาหารเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดังหรือแสดงกิริยามารยาทไม่ดีงามออกมาตลอดทั้งมื้ออาหาร

 

 

หลังกินข้าว เฉินฝานซิงเก็บกวาดห้องครัวเสร็จก็พบว่าป๋อจิ่งชวนไม่ได้อยู่ข้างในแล้ว

 

 

เดินไปดูบริเวณห้องรับแขกก็ไม่เห็น เธอคิดขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้เสียงแจ้งเตือนของถังซักผ้าเพิ่งดังได้ไม่นาน

 

 

เธอโยนเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อก่อนหน้านี้ลงไปแล้วมาเตรียมอาหารเช้า คิดๆ ดูแล้ว ก็จวนเวลาพอดี

 

 

ระหว่างที่เธอกำลังเดินเข้าไปในห้องน้ำ ร่างสูงชะลูดของป๋อจิ่งชวนกำลังยืนอยู่หน้าเครื่องซักผ้า เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงหันหน้ากลับมาดูทางเฉินฝานซิง

 

 

ดวงตาดำเข้มมองมาที่เธอ ใบหน้าหล่อเหลามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย

 

 

“คุณ…”

 

 

เฉินฝานซิงกวาดสายตาไปทางเขา ก่อนจะกวาดสายตากลับมายังเสื้อผ้าที่อยู่ในมือของเขา!

 

 

ทำไมถึงได้ทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้เนี่ย!

 

 

หน้าเธอแดงแจ๋ขึ้นมาในพริบตา รีบพุ่งไปด้านหน้าเพื่อแย่งเสื้อผ้าจากในมือของเขามา

 

 

ป๋อจิ่งชวนถอนสายตาออกมา สีหน้าสลดราวกับจะร้องไห้

 

 

“ผมคิดว่าสัญญาณเตือนภัยที่ไหนดังซะอีก…”

 

 

“…”

 

 

เฉินฝานซิงจือปากทำสีหน้าครุ่นคิด

 

 

จะว่าไป เสียงเตือนของเครื่องซักผ้าเครื่องนั้นก็คล้ายจริงๆ …

 

 

หลังจากที่หรี่ตามองเขาไปหนึ่งที เฉินฝานซิงก็รีบหอบเสื้อผ้าวิ่งออกไป

 

 

จริงๆ แล้วเสื้อผ้าที่ป๋อจิ่งชวนหยิบขึ้นมานั้นส่วนใหญ่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่จะมาล้างด้วยน้ำสะอาดเฉยๆ ได้ เสื้อผ้าที่ยัดลงไปเมื่อเช้านี้ล้วนแต่เป็นเสื้อผ้าส่วนตัวของเธอเองทั้งนั้น