ตอนที่ 113 เข้าใจกันและกัน

แม่ครัวยอดเซียน

“สามารถทำพันธสัญญาได้สองครั้งหรือ” อวี่ฉีงงเล็กน้อย

“มันอธิบายยาก ท่านรีบพักฟื้นตัวเถอะ” พูดมากเช่นนี้สิ้นเปลืองพละกำลังอย่างมาก

“ท่านแม่ หากท่านอยากรู้ข้าก็จะบอกท่าน ท่านพักผ่อนก่อนเถิด” จื่อฉีคลอเคลียมารดาตนแล้วพูด

แม้ว่าอวี่ฉีจะอยากถามอยู่หลายเรื่อง แต่ก็เชื่อฟังคำพูดของลูกชายและพักผ่อนก่อน

หลิวหลีที่อยู่ข้างๆเจ็บปวดเส้นลมปราณไปทั้งร่างกายจนสีหน้านางซีดขาว หากไม่ใช่เพราะผ่านการฝึกฝนเปลวเพลิง นางก็คงเส้นลมปราณขาดตายไปเสียแล้ว แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ถูกเอ๋าเลี่ยประเมินว่า ‘ก่อเรื่อง’

 “อาเลี่ย นั่นคือแม่ของจื่อฉีนะ เราทั้งคู่ไม่เคยมีใครเคยเจอแม่มาก่อน ข้าดีใจมากที่ได้ช่วยแม่ของจื่อฉีไว้” สุดท้ายหลิวหลีก็กล่าวเช่นนี้ จื่อฉีได้ฟังจึงเข้าไปคลอเคลียหลิวหลี ปากก็ตะโกน  “ท่านพี่”

“พอแล้ว ไม่ต้องมาออดอ้อนข้า แม่ของเจ้าใกล้จะตื่นแล้ว รีบไปเถอะ ข้ามีเสี่ยวเทียนกับอาเลี่ยอยู่ก็พอแล้ว” หลิวหลีโน้มน้าวให้จื่อฉีกลับไป

“ไม่เป็นไรแล้ว จื่อฉีเจ้ากลับไปเถอะ” เอ๋าเลี่ยเอ่ยปาก

“เช่นนั้นฝากท่านอาเอ๋าเลี่ยและท่านพี่เวิ่นเทียนดูแลท่านพี่ด้วย”

แต่ตอนนี้หลิวหลีเจ็บไปทั้งตัว นางทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นนี้ลงไปด้วยตัวเอง

ความเย็นทั่วทั้งตัวของหนานกงเวิ่นเทียนสามารถแช่แข็งผู้คนได้ เหตุใดหลิวหลีถึงก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ แต่ก็อดสงสารแล้วถ่ายทอดพลังเซียนให้หลิวหลีเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่เส้นลมปราณ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หนานกงเวิ่นเทียนก็เก็บมือ หันหน้าออกไม่มองหลิวหลี ช่างชอบสร้างเรื่องให้เป็นห่วงเสียจริง

หลิวหลีเห็นหนานกงเวิ่นเทียนโกรธจึงเม้มปาก

“เสี่ยวเทียน ข้าเจ็บ” หลิวหลีพูดอย่างออดอ้อน

“เจ็บตรงไหน” หนานกงเวิ่นเทียนโกรธไม่ลง สายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย

“เจ็บหัวใจ เจ้าไม่สนใจข้า ข้าเจ็บที่หัวใจ” หลิวหลีบุ้ยปากพูด

 “เจ้านี่นะ” หนานกงเวิ่นเทียนเลิกทำสีหน้าเคร่งเครียด หลิวหลีเป็นเช่นนี้จะให้เขาโกรธลงได้อย่างไร แตะจมูกของหลิวหลีเบาๆ หลิวหลีถูใบหน้าไปกับนิ้วมือของหนานกงเวิ่นเทียน ถ้ายังโกรธอยู่อีกก็หมดหนทางแล้ว

“เสี่ยวเทียน ไม่โกรธนะ ต่อไปข้าจะไม่ทำแบบนี้แล้ว” หลิวหลีสาบานอย่างจริงจัง

“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่องั้นหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่เชื่อ เวลานางทำอะไรก็จะทุ่มสุดตัว ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่

หลิวหลีแลบลิ้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจออยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย

หลิวหลีฟื้นตัวขึ้น เพียงแต่ยังไม่สามารถใช้พลังได้ นางจึงมีความคิดจะไปหาอวี่ฉีที่ฟื้นคืนชีพอยู่ข้างๆ จิ๊ๆ ร่างของกิเลนนี่ใหญ่โตเสียจริง

 “เจ้าคือแม่ของจื่อฉี นามว่าอวี่ฉีสินะ สวัสดี ข้าคือหลงหลิวหลี เป็นคู่พันธสัญญาของจื่อฉี” อาจเพราะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของคนแปลกหน้า อวี่ฉีจึงลืมตาขึ้น หลิวหลีเอ่ยอย่างเป็นมิตร

“จื่อฉี” อวี่ฉีพูดชื่อนี้ซ้ำ

“ใช่ จื่อฉีก็คือกิเลนน้อยที่อยู่ข้างกายท่าน เป็นชื่อที่ข้าตั้งให้ตอนออกมาจากไข่” หลิวหลีพูดอย่างเกรงใจ นางเหมือนจะไปช่วงชิงอำนาจในการตั้งชื่อของอวี่ฉีผู้เป็นมารดา

“จื่อฉี ชื่อไพเราะมาก ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงมิได้เจอกับจื่อฉีเป็นแน่” อวี่ฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่ต้องหรอก ข้าชอบจื่อฉีมาก” หลิวหลีพูดพลางส่ายหน้า

“ไม่ได้ ข้าขอบคุณเจ้ามากจริงๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นที่ข้าตั้งท้องจื่อฉี เพลิงอัสนีครามที่ข้าควบคุมไว้เข้ามาผสานอยู่ในร่างของจื่อฉีที่อยู่ในไข่อย่างไม่รู้ตัว มิเช่นนั้นแล้วอามั่วก็คงไม่มีทางไม่ยอมให้ข้าคลอดจื่อฉีออกมา การตั้งครรภ์ของอสูรเทพนั้นยากลำบากนัก ข้าอาจมีจื่อฉีเป็นลูกเพียงคนเดียว ฉะนั้นข้าจึงอดกลัวไม่ได้ว่าอามั่วจะทำร้ายจื่อฉีเลยละทิ้งสกุลเรา แล้วออกมาเร่ร่อนอยู่นานถึงได้มาเจอที่แห่งนี้” อวี่ฉีเล่าความจริงที่เกิดขึ้นตอนนางออกจากตระกูล แต่ก็เข้าใจมั่วฉีในตอนนั้นที่มุ่งมั่นจะให้อวี่ฉีเอาลูกออกได้เช่นกัน

 “หลังจากนั้นไม่นานข้าก็ให้กำเนิดจื่อฉี เดิมทีตั้งใจไว้ว่าเมื่อคลอดจื่อฉีแล้วจะเอาเพลิงอัสนีครามมาใส่ไว้ในร่างของตน แต่ร่างกายสูญเสียพลังไปอย่างมากทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ ข้าจึงจนปัญญาถอยกลับมาอยู่ในถ้ำนี้ ไม่ต้องการเจอลูกตัวเองและเป็นเพราะความประมาทของตนจึงถูกเปลวไฟแผดเผาจนตาย” อวี่ฉีชะงักไปครู่หนึ่งแล้วว่าต่อ ใช้ศีรษะอันใหญ่โตของนางดุนหัวเล็กๆของจื่อฉี

“เช่นนั้นท่านก็เป็นคนสร้างแนวเขตต้องห้ามกับตาข่ายอาคมข้างนอกนั่นทั้งหมด” หลิวหลีถาม นางสงสัยเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

 “ใช่ เป็นเพราะข้ามีลูกแก้วเซียนวารี งูในพื้นที่ไม่ทันระวังดูดซับไปและเปิดสติปัญญาแห่งจิตวิญญาณเข้า พวกมันจับจ้องจื่อฉีราวกับจ้องเหยื่อ หนึ่งก็เพื่อปกป้องจื่อฉี สองคือหากไม่มีคนช่วยจื่อฉี ก็จะตกลงไปสร้างความเสียหายให้แก่โลกมนุษย์” อวี่ฉีมองจื่อฉีแล้วนึกไปถึงตอนนั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน จื่อฉีสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้เป็นแม่จึงใช้ศีรษะคลอเคลียอวี่ฉี

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยจื่อฉีไป เช่นนี้เจ้าก็สามารถดูดซับเพลิงอัสนีครามได้” อวี่ฉีกล่าว

หลิวหลีหงายมือขวาขึ้น มีเพลิงสีม่วงปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือ นั่นก็คือเพลิงอัสนีคราม

 “ไม่เลว เพลิงอัสนีคราม” อวี่ฉีมองเปลวเพลิงที่ตนเคยสูญเสียพลังควบคุมมัน ในใจไร้ซึ่งความหวั่นไหว

“เจ้าโชคดีมาก หลิวหลีเป็นผู้บำเพ็ญคนที่สองที่ฝึกฝน ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ในช่วงหมื่นปีมานี้ อีกทั้งตอนนี้ยังบำเพ็ญเพียรจนถึงช่วงแยกร่างแล้ว” เอ๋าเลี่ยชื่นชมโชคลาภของอวี่ฉียกใหญ่

“แล้วก็เป็นเพราะในเปลวเพลิงที่หลิวหลีควบคุมไว้มีเพลิงวิญญาณไม้อยู่ ไม่เพียงแต่สามารถเผาทำลายสิ่งอุดตันได้ คุณสมบัติอีกอย่างของไม้ก็ยังมีสรรพคุณในการฟื้นฟู ไม่อย่างนั้น ท่านจะฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้เยี่ยงไร” เอ๋าเลี่ยพูดต่อ เขายังอยากพูดอะไรอีก แต่ก็ถูกสายตาของหลิวหลีปิดปากไว้ ยอม หลิวหลีไม่พอใจแล้ว

 “ข้าเรียกท่านว่าท่านอาอวี่ฉีแล้วกัน จื่อฉีเรียกข้าว่าท่านพี่”

“ได้” อวี่ฉีตอบรับ

“ท่านอาอวี่ ตอนนี้ในเมื่อท่านก็ฟื้นแล้ว เดาว่าร่างกายของท่านคงสามารถฟื้นตัวได้เองแล้ว ข้าอยากถามว่าท่านต้องการเวลาอีกกี่วันถึงจะสามารถลุกเดินได้ เพราะข้าอยากกลับไปที่สำนัก ข้ายังมีธุระอื่นอีก”

ได้ยินคำพูดที่เถรตรงของหลิวหลีแล้ว หนานกงเวิ่นเทียนถึงกับปิดหน้า หลิวหลี เจ้าพูดตรงไปเช่นนี้จะดีหรือ

“ข้ายังต้องการเวลาอีกหนึ่งเดือนถึงจะสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ร่างนี้ของข้าไม่เหมาะจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนมากมาย” อวี่ฉีชื่นชมหลิวหลีอย่างมาก อสูรเทพอย่างพวกเขาชอบความตรงไปตรงมาเช่นนี้

 “ดีมาก เช่นนั้นท่านอาอวี่ ท่านค่อยๆพักฟื้นเถิด” หลิวหลีพยักหน้า เข้าใจแล้ว หนึ่งเดือนนานเกินไป นางต้องกลับสำนักไปเข้าฌานถึงจะถูก

ในเมื่ออยู่ในทะเล หลิวหลีตาลุกวาว ไม่ได้กินอาหารทะเลมื้อใหญ่มานานมากแล้ว

ก็เป็นเช่นนี้ อวี่ฉีที่กำลังฟื้นตัวด้วยตนเอง บางครั้งพูดคุยกับจื่อฉีเพียงสองสามประโยคก็เข้าใจไปได้หลายเรื่อง

เช่นตอนที่ลูกชายเกิดมาโง่เขลา สัญชาตญาณก็รู้สึกว่ากลิ่นอายของหลิวหลีช่างสะดวกสบาย อยากทำพันธะสัญญาด้วย สุดท้ายก็ถูกมังกรอาวุโสคนนั้นชิงไปเสียก่อน

จื่อฉีถูกหลิวหลีเลี้ยงมากับมือ ทำอาหารอร่อยๆให้จื่อฉีกิน เอาใจใส่เขาเป็นอย่างมาก เหมือนกับหลิวหลีแค่อยากเลี้ยงเขาจนกลายเป็นคน สุดท้ายก็ถูกคนในสกุลจ้านที่มีความคิดละโมบ เห็นจื่อฉียังไม่ถูกทำพันธะสัญญาจึงจะใช้กำลังจับจื่อฉีไป แต่ก็ถูกหลิวหลีขัดขวางไว้ แถมยังถูกคนสกุลจ้านทำร้ายจนบาดเจ็บ จนตัวเขาเกือบจะหลงกลแล้ว แต่ก็ถูกหลิวหลีเรียกให้ตื่นขึ้น ลูกชายของนางจึงเกิดความคิดอยากทำพันธสัญญากับหลิวหลีอย่างแรงกล้า แล้วก็คิดไม่ถึงว่าจะได้รู้ว่าบิดาของหลิวหลีเป็นคนสกุลจ้าน

“จื่อฉี เจ้าจะบอกว่ามีกิเลนที่อ้างตนว่าเป็นบิดาเจ้ามาหาเจ้าหรือ” อวี่ฉีรู้สึกสงสารไปกับเรื่องที่ลูกชายตนเองพบเจอ เดิมที่มีมิตรภาพร่วมกับคนตระกูลจ้านอยู่บ้างจึงเล่าต่อ

“ใช่ เขาสับสนงุนงง พี่น้องของเขาเป็นคนพูดให้ตลอด” จื่อฉีนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น บิดาของเขาบ้าไปสักนิด

“อาโม่เสียสติไปแล้ว” อวี่ฉีรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะความเอาแต่ใจของนาง อามั่วก็คงไม่เป็นเช่นนี้ แต่หากนางไม่ทำตามใจ ลูกก็จะไม่ได้เกิดมา

“ท่านแม่วางใจเถิด รอให้ท่านหายดี ข้าจะพาท่านกลับเผ่ากิเลน จากนั้นพอท่านพ่อเจอท่านก็จะดีขึ้นเอง” จื่อฉีว่าพลางคลอเคลียกับมารดา

“ก็จริง ข้าควรรีบฟื้นตัวโดยเร็ว รอแม่กลับเผ่ากิเลนไป จะต้องเตรียมของขวัญขอบคุณให้หลิวหลี” อวี่ฉีพูดสัญญาอย่างจริงจัง

 “ท่านแม่ ท่านพี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ตอนที่ท่านแม่หลับอยู่ ท่านพี่ใช้เม็ดยาระดับ 7 คุณภาพชั้นเลิศไปหลายร้อยเม็ด” มูลค่าของเม็ดยาก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่

“หลายร้อยเม็ด นางเอาเม็ดยามาจากไหนตั้งมากมายขนาดนั้น” เห็นได้ชัดว่าอวี่ฉีตื่นเต้น ตั้งหลายร้อยเม็ด เผ่ากิเลนยังไม่มีขนาดนี้เลย

“ข้าไม่ได้บอกท่านแม่หรอกหรือ ท่านพี่เป็นนักปรุงยา แล้วก็ยังเป็นนักปรุงยาระดับ 7  ที่สำคัญคือท่านพี่ยังอายุไม่ถึง 30 เลยด้วย” พูดถึงเรื่องนี้ จื่อฉีก็ภูมิใจในตนเองอย่างมาก ผู้ทำพันธสัญญากับเขาช่างยอดเยี่ยมเสียจริง

“นักปรุงยาระดับ 7 ที่ยังเยาว์อยู่เช่นนี้ จากจำนวนที่เจ้าพูด อัตราการปรุงยาสำเร็จของพี่สาวเจ้าคนนี้คงสูงจะมาก” อวี่ฉีประหลาดใจเล็กน้อย

“ใช่ สำหรับท่านพี่แล้ว เม็ดยาคุณภาพอื่นๆถือเป็นยาเสีย” จื่อฉีอยู่กับหลิวหลีมาตั้งแต่เด็ก รู้จักหลิวหลีดีทุกกระเบียดนิ้ว แน่นอนว่าเขาไม่เคยใช้เม็ดยาที่คุณภาพต่ำกว่าคุณภาพชั้นเลิศ

“ช่างเป็นเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่จริงๆ” อวี่ฉีทอดถอนใจ ของขวัญที่คิดจะเตรียมไว้แต่เดิมจึงดูน้อยไปนิด

“ท่านแม่ บอกแล้วไงว่าท่านพี่ไม่ต้องการให้ท่านตอบแทนบุญคุณ” จื่อฉีคลอเคลียกับแม่ของตน ท่านแม่นั้นคิดมากเกินไป ไม่ดีต่อการพักฟื้นเอาเสียเลย

อีกด้าน ทั้งสี่คนแปะมือกัน

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเปลือกแข็งนี้จะรสชาติดีเช่นนี้” เอ๋าเลี่ยเอร็ดอร่อยกับปูขนเป็นอย่างมาก อร่อยมากจริงๆ

 “เจ้าเปลือกอ่อนนี้ก็ไม่เลว” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกรักกุ้งมาก โดยเฉพาะกุ้งผัดแห้ง รสชาติถึงใจอย่างมาก หนานกงเวิ่นเทียนยิ่งกินยิ่งชอบ ริมฝีปากแดงอย่างมาก หลิวหลีเห็นแล้วเลียมุมปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยากจะกัดสักที ฮือ ทดสอบความสามารถในการควบคุมตัวเองของนางมากเกินไปแล้ว

“ปลานี้ก็ไม่เลว” เฟิ่งอิงเสวี่ยชื่นชอบปลากระพงขาวนึ่ง นางกินเข้าไปเยอะมาก

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ อาหารพวกนี้รสชาติดีงามทั้งนั้น” เอ๋าเลี่ยแคะฟันพูด ด้านหน้าเป็นกระดองปูสูงประมาณครึ่งเมตรกว่า

“อาหารทะเลกินเยอะๆก็ดีต่อร่างกาย เสียดายที่เลี้ยงไม่ได้” หลิวหลีเห็นอกเห็นใจ

“ก็ใช่” เอ๋าเลี่ยนึกถึงมิติที่ถูกหลิวหลีทำพังจนโม่หรานต้องฝืนผนึกมัน เอ๊ะนังหนูคนนี้

……………………….……………………