“โอ้ย ไม่แปลกใจเลยที่จื่อฉีจะโตมาหล่อเหลาเช่นนี้ ที่แท้ก็เหมือนท่านอาอวี่นี่เอง” เมื่อเห็นอวี่ฉีกลายร่างเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ท่าทางอ่อนหวาน จื่อฉีที่อยู่ข้างๆเมื่อดูแล้วใบหน้าคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน
“นังหนู เจ้านี่ปากหวานเสียจริง อาฟื้นตัวใกล้สมบูรณ์แข็งแรงแล้ว สามารถออกเดินทางได้แล้ว” อวี่ฉีอมยิ้ม
“ดี”
หนานกงเวิ่นเทียนร้อนรนเล็กน้อย อาการบาดเจ็บของนังหนูจะปล่อยไปไม่ได้อีก และหากปล่อยไปเรื่อยๆเช่นนี้ก็คงจะไม่ดีนัก
ทุกคนรีบร้อนออกเดินทาง เพราะมีผู้บาดเจ็บอย่างหลิวหลีกับอวี่ฉี เอ๋าเลี่ยบรรพชนแห่งเผ่ามังกรจึงทำได้เพียงขยายร่างเป็นพาหนะ เดิมทีเฟิ่งอิงเสวี่ยก็สามารถแบกคนกลุ่มนี้ได้เช่นกัน แต่เมื่อเอ๋าเลี่ยได้ยินก็เสนอตัวทำหน้าที่นี้เอง ทำเอาเฟิ่งอิงเสวี่ยงุนงงไปเล็กน้อย หลิวหลีเม้มปากอยู่ข้างๆ หนานกงเวิ่นเทียนเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ในฐานะคนผ่านมาอย่างอวี่ฉีก็มองออกเช่นกัน มีเพียงจื่อฉีเท่านั้นที่งุนงงว่าทำไมพวกพี่ๆถึงได้ทำตัวแปลกประหลาดเช่นนั้น
เอ๋าเลี่ยเปลี่ยนร่างอย่างรวดเร็ว คนอื่นในสำนักเมฆาคล้อยเห็นเป็นเพียงแค่ลำแสงสีเลือดพุ่งกลับไปยังหอปรุงยา
เสวียนหั่วมองลูกศิษย์ที่กำลังบำเพ็ญเพียร เขาโมโหที่นางก่อเรื่องวุ่นวายต่างๆนานา แต่เมื่อเห็นตัวการแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมา เฮ้อ เขาจะพูดอะไรได้ บาดแผลของนังหนูคงไม่หายใน 80 ปีนี้แน่ ต่อให้ดีขึ้นก็ไม่หายสนิทดี นอกเสียจากว่านังหนูจะได้เพลิงอัคคีชนิดอื่นอีกเพื่อเข้าสู่ช่วงรวมกายา อาศัยพลังของเพลิงอัคคีชนิดใหม่มาขจัดอาการบาดเจ็บที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย
แต่เมื่อเสวียนหั่วเห็นพลังเซียนที่ปั่นป่วนอยู่ในถ้ำที่หลิวหลีกำลังเข้าฌาน พลังเซียนที่นางต้องการมากเกินไปเสียแล้ว ช่วงสิบปีมานี้ พลังเซียนในหอปรุงยาของเขาไม่เคยเหือดหาย แต่เมื่อเหล่าศิษย์อาจารย์ในสำนักรู้ว่าหลิวหลีได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกเห็นใจ แต่กลับแบ่งหินวิญญาณกองใหญ่ให้หลิวหลีได้ใช้ เหตุเพราะหลิวหลีอุทิศตนเพื่อสำนัก ตอนนี้ยาที่ต่ำกว่าระดับ 6 ในสำนักล้วนปรุงตามสูตรของหลิวหลีทั้งสิ้น
ทว่าตั้งแต่ได้ดูหลิวหลีปรุงยา นักปรุงยาในตอนนี้กลับยิ่งเคร่งครัดในรายละเอียดมากขึ้น ถึงขนาดได้สูตรยาใหม่ๆมา ที่น่าปลื้มใจที่สุดคือจื่ออีได้เลื่อนขั้นมาเป็นนักปรุงยาระดับ 6 ได้อย่างราบรื่น แม้ว่าจะไม่ได้ปรุงยาคุณภาพชั้นเลิศเยอะเท่าหลิวหลี แต่ทุกเตาก็มียาคุณภาพชั้นเลิศออกมาเม็ดสองเม็ดเสมอ
ตั้งแต่ที่หลิวหลีเข้าฌาณ แต่ผลกระทบจากการสอนของหลิวหลียังคงอยู่ บรรยากาศในสำนักเมฆาคล้อยดีมากเสียจนเสวียนอวี่เสียดายที่หลิวหลีสอนวิชาเพียงสองครั้งเท่านั้น แต่ทว่าหลิวหลีได้รับบาดเจ็บจนเข้าฌานไป เสวียนอวี่ก็ยังจัดสรรทรัพยากรไปให้ไม่น้อย
การเข้าฌานในช่วงสิบปีนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสามเรื่อง เรื่องแรกคือ สำนักเมฆาคล้อยยิ่งใหญ่โดดเด่น ทำเอาอีก 9 สำนักตื่นตระหนกไปหมด แต่หลงหลิวหลีที่ทุกคนจับตามองมิได้เข้าร่วมด้วย ทว่าไม่รู้เหตุใดภาพการสอนของหลิวหลีถึงแพร่กระจายออกไปได้ โลกผู้บำเพ็ญตื่นตระหนกอย่างมาก เรื่องที่สอง ช่วงนี้เผ่ากิเลนหมองใจกับสกุลจ้าน เหตุก็เพราะสกุลจ้านล่วงเกินหลิวหลีผู้มีบุญคุณของเผ่ากิเลน เรื่องที่สามเป็นเรื่องสำคัญในบรรดาเรื่องสำคัญทั้งหมด ซึ่งคือการจัดอันดับผู้ถูกเลือกซึ่งในรอบพันปีจะจัดขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้ถูกเลือกทั่วทุกสารทิศต่างทยอยกันออกมา หลงหลิวหลีซึ่งเป็นที่จับตามองของทุกคนจากสำนักเมฆาคล้อยซึ่งบำเพ็ญเพียรถึงช่วงแยกร่างระยะกลางในเวลาไม่ถึง 50 ปีอัน อีกคนก็คือหนานกงเวิ่นเทียนจากสกุลหนานกงที่บำเพ็ญเพียรถึงช่วงแยกร่างระยะกลางขั้นสุดยอดในระยะเวลาไม่ถึง 100 ปี ดูแล้วทั้งสามเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แต่ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกับหลงหลิวหลีทั้งสิ้น
ผู้คนไม่น้อยต่างความสงสัยในตัวหลิวหลี แต่หลงหลิวหลีที่ตกเป็นหัวข้อสนทนากลับเข้าฌานไม่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก
“อวี่เอ๋อร์ เจ้ากินเข้าไปอีกหน่อยเถอะ ของนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้า” โม่ฉีหยิบผลไม้สีแดงที่เด็ดมาส่งให้อวี่ฉีอย่างระมัดระวัง
“อาโม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” อวี่ฉีเห็นโม่ฉีที่ทำตัวระมัดระวังแล้วรู้สึกปวดใจ
“ไม่ เป็นความผิดของข้า เจ้าถึงได้รับโทษหนักเช่นนั้น ถึงทำให้จื่อฉีได้รับความไม่ยุติธรรมขนาดนั้น” โม่ฉีดื้อดึง รู้สึกว่าเขาเป็นคนสร้างความลำบากให้ฮูหยินและลูก
“เป็นเพราะข้าดึงดันจะให้กำเนิดจื่อฉี” อวี่ฉียิ่งรู้สึกสงสารโม่ฉี โดยเฉพาะตอนที่นางกลับเผ่ากิเลนมาเจอโม่ฉีเสียสติไป อวี่ฉีก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก แต่การปรากฏตัวของอวี่ฉี ทำให้อาการเสียสติมาหลายปีของโม่ฉีหายไป บวกกับคำเรียก ‘ท่านพ่อ’ จากจื่อฉี ทำให้โม่ฉีน้ำตาไหลเป็นสาย ทว่าจื่อฉีแสดงออกชัดเจน มันยอมรับบิดาได้ แต่กับสกุลจ้านนั้น ต้องให้ท่านพี่อภัยให้ก่อน มิเช่นนั้นก็จะไม่อภัยให้สกุลจ้านเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สถานการณ์ระหว่างสกุลจ้านและเผ่ากิเลนตึงเครียด
“ไม่ใช่ ตอนนั้นข้าควรไปกับเจ้า” โม่ฉีฝังใจว่าบาดแผลบนบนตัวอวี่ฉีล้วนเกิดขึ้นเพราะเขา
จื่อฉีมองดูบิดามารดาแสดงความรักใคร่กันราวกับรอบตัวไร้ผู้คนก็อดก่ายหน้าผากไม่ได้ ท่านพ่อท่านแม่รักใคร่กันนั้นถือเป็นเรื่องดี แต่พ่อแม่หวานกันเกินไปจนน้ำตาลจะขึ้นแล้ว จนทำให้ตนเองมักรู้สึกว่าลูกชายอย่างตนนั้นเป็นส่วนเกิน ถึงจะเลยวัยอ้อนพ่ออ้อนแม่ก็แล้ว แต่เห็นมากเข้าก็ยังคงอุจาดตาอยู่ดี
“จื่อฉี ไปฝึกวิทยายุทธ์กับลุง” นี่เป็นเสียงที่จื่อฉีชอบมากที่สุดในตอนนี้ หากถามว่าจื่อฉีชอบใครมากที่สุด จื่อฉีสามารถตอบได้โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นเย่ฉี
“ขอรับ” จื่อฉีแทบรอไม่ไหวที่จะได้เดินหนีบทสนทนาหวานเลี่ยนของท่านพ่อกับท่านแม่
“จื่อฉียังไม่ชอบข้าอยู่ใช่หรือไม่ ลูกคงยังกล่าวโทษข้า” โม่ฉีพูดอย่างหดหู่
“จะเป็นไปได้อย่างไร ลูกของเราจะไม่ชอบท่านได้อย่างไร จื่อฉีอยู่ในช่วงวัยต้องขยันบำเพ็ญเพียร อามั่ว ท่านอย่าคิดมากไปเลย” อวี่ฉีรีบปลอบสามี
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” โม่ฉีคิดเองเข้าข้างตนเอง จื่อฉีที่ยังเดินไปไม่ไกลก็หันกลับมามองบิดารมารดา
“ฮ่าๆ อาจื่อ รับไม่ได้ล่ะสิ” เย่ฉีไม่พลาดการกระทำเล็กๆน้อยๆของจื่อฉี ตอนนี้จื่อฉีเป็นถึงความภาคภูมิใจของเผ่ากิเลน คู่พันธสัญญาคือหลงหลิวหลีที่พวกเขาล้วนหวาดกลัว อนาคตไม่อาจคาดเดาได้ นี่ยิ่งทำให้เย่ฉีที่ไร้บุตรหลานยิ่งรักใคร่ในตัวอีกฝ่าย
“เล็กน้อยเท่านั้น ท่านพ่อท่านแม่ข้าแต่ก่อนก็หวานเลี่ยนกันเช่นนี้หรือ?” จื่อฉีรู้สึกว่าประสาทสัมผัสของท่านลุงตนเองนั้นไม่เลวทีเดียว พูดตรงไปตรงมาดีจริง
“ฮ่าๆ ชินไว้ก็ดี รู้ไว้เถอะข้าเจอมาเป็นหมื่นปี” เมื่อหวนนึกถึงวันเวลาเหล่านั้น เย่ฉีก็ใจหายเมื่อพบเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“ข้ายังใช้เวลาอีกนานถึงจะชิน โชคดีที่เวลาส่วนใหญ่ของข้าจะอยู่กับท่านพี่ ท่านพี่กับท่านพี่เวิ่นเทียนยังไม่เห็นทำอะไรออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้” จื่อฉีตบอกด้วยท่าทีเป็นสุข
“ท่านพี่ของเจ้าดีกับเจ้าไหม จื่อฉี” เย่ฉีถามอย่างสงสัย ถึงพวกเขาจะเคยเจอกันเพียงครั้งเดียว หลิวหลีเองก็ปกป้องจื่อฉีมาก แต่เขาก็ยังอยากได้ยินหลานชายกล่าวด้วยตัวเอง
“ดีมากเลยล่ะท่านลุง ทันทีที่ข้าเกิด ท่านพี่ก็ทำอาหารที่เหมาะกับข้าให้ พอข้าบาดเจ็บ ยาที่นางใช้ก็ล้วนเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ ข้าก็เพิ่งได้รู้ตอนที่เจอท่านแม่ ว่ายาที่ท่านพี่บอกว่าเป็นขยะนั้นก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน แล้วตอนนั้นที่สกุลจ้านบีบบังคับข้า ท่านพี่ก็ออกตัวช่วยข้าเอาไว้”
เมื่อพูดถึงเรื่องที่สอง เย่ฉีมีปฏิกิริยาเหมือนกับทุกคนที่รู้จักหลิวหลี ยาที่มีคุณภาพต่ำกว่ายาคุณภาพชั้นเลิศล้วนเป็นยาเสีย จนเมื่อหลานชายกล่าวถึงเรื่องสุดท้าย เย่ฉีก็ปวดหัวอย่างหนัก สกุลจ้านทำพันธสัญญากับพวกเขามาแต่โบราณ วันนี้มาบาดหมางกันเช่นนี้ อีกทั้งหลานชายก็เอ่ยปากเอาไว้แล้วว่าจะรอให้หลิวหลีตัดสินใจ เจ้าตัวอย่างหลิวหลีกำลังอยู่ในช่วงเข้าฌาน ใครเล่าจะรู้ว่านางจะออกจากฌานเมื่อใด
ส่วนหลิวหลีที่เข้าฌานเป็นตาย ไม่เพียงแต่จะบำรุงเส้นลมปราณจนหายดี แถมยังเตรียมตัวเลื่อนขั้นขึ้นไปอย่างไม่หยุดหย่อน
หลิวหลีรู้สึกได้ว่าพลังในร่างเต็มอิ่มแล้ว อีกเพียงนิดเดียวก็สามารถบรรลุช่วงพลังต่อไปได้แล้ว หลิวหลีเตรียมพุ่งเข้าไปสุดแรง อีกทั้งพลังเซียนที่เข้มข้นในตอนนั้นก็ถูกโม่หรานดูดกลืนไปแล้ว มิติเล็กๆที่เกือบถูกหลิวหลีพังก็ได้โอกาสถือกำเนิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
หลิวหลีพยายามโคจรพลัง ปราการกั้นนั้นเหมือนจะจุดสูงสุดแล้ว เมื่อเสียงฟุ่บดังลอยออกมา หลิวหลีก็เข้าสู่ช่วงแยกร่างระยะปลาย ก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของพลังเซียนในร่างกาย ทว่ายังคงเหลือร่องรอยอยู่ในร่างกาย
“ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ช่วงนี้อารมณ์ของข้าร้อนเสียด้วย” หลิวหลีพูดอย่างจนปัญญา นางสอนวิชาให้คนอื่นไปโดยเปล่าประโยชน์ หลิวหลีปัดฝุ่นออกจากตัว
“ผ่านไป 10 ปีแล้วสินะ” หลิวหลีคำนวณเวลาแล้วพูด วัยเยาว์อันรุ่งโรจน์มิอาจยั่งยืน นางเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้ว
ด้านนอกถ้ำ เสวียนหั่วและเอ๋าเลี่ยเล่นหมากรุกหนึ่งกระดานเป็นเวลาสิบปี
“ 10 ปีแล้ว หลิวหลีควรจะออกจากฌานได้แล้ว” เสวียนหั่วกล่าว
“ยินดีด้วย ท่านทายถูกแล้ว หลิวหลีออกจากฌานแล้วล่ะ” เพราะพันธะสัญญาที่ทำกับหลิวหลี เอ๋าเลี่ยย่อมรู้สึกได้ว่าหลิวหลีออกจากฌานแล้ว ซึ่งคนที่รู้สึกได้เช่นเดียวกันก็คือจื่อฉี
“ท่านพี่ ออกจากฌานแล้ว เหมาะเจาะเสียจริง กลับไปคราวนี้ข้าก็มีฝีมือไปปกป้องท่านพี่ได้แล้ว” จื่อฉีพึมพำ
“อาจื่อ เจ้าต้องกลับไปแล้ว ไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือ” เย่ฉีอยากจะหว่านล้อมให้จื่อฉีอยู่ต่ออีกสักพัก ทว่านึกถึงความรู้สึกที่จื่อฉีมีต่อหลิวหลีก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้
“คงไม่ได้ ท่านพี่ออกฌานแล้ว ข้าควรกลับได้แล้ว ยังไงเสียท่านพี่ก็เป็นคู่พันธสัญญา” จื่อฉีส่ายหน้าปฏิเสธคำหว่านล้อมของท่านลุงตน
“เข้าใจแล้ว แต่จื่อฉี หากว่างก็กลับหาพ่อแม่ของเจ้า แล้วแวะมาหาลุงบ้าง” เย่ฉียังมิอาจทำใจจากลากับลูกที่เลี้ยงมาสิบปีได้
“ข้าต้องมาแน่ ท่านอา” เรียกท่านว่าท่านอาก็เพราะยอมรับท่านเป็นพ่อด้วยครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่อาจบอกท่านได้
……………………….……………………