ตอนที่ 81 ซื่อจื่อมาเยือน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 81 ซื่อจื่อมาเยือน

เมื่อแม่นมจ้าวได้รับอิสระก็รีบคุกเข่าลงพื้น น้ำตาไหลออกมามิหยุด

“ข้าน้อยและหงเถามีเรื่องสนทนากันจริงเจ้าค่ะ วันนี้นางจึงได้มาหาข้าน้อยและนำถุงผ้าห่อหนึ่งมามอบให้ จากนั้นข้าน้อยยังมิได้ทำอันใด นางก็เรียกบ่าวรับใช้มาแล้วกล่าวหาว่าข้าน้อยขโมยสมบัติของจวนไป จากนั้นก็จับข้าน้อยมัดมือมิเปิดโอกาสให้อธิบายเลยเจ้าค่ะ”

เหมือนว่ากลัวจักไร้โอกาสอธิบาย แม่นมจ้าวจึงกล่าวออกมาทั้งเร็วและชัดเจนรวดเดียวจบ เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้รับฟัง ใบหน้าก็เข้มขึ้นมาทันที

หลี่ซื่อมองแม่นมจ้าวอยู่ด้านข้าง ใบหน้างดงามแสดงออกถึงความมิพอใจชัดเจน

“เจ้ากล่าวออกมาได้เยี่ยงไร ก่อนหน้านี้หลานของเจ้าป่วยหนัก ข้าจึงให้เจ้าลากลับบ้านเกิด จนวันนี้เจ้ากลับมาที่จวนแล้วช่างกล้าใส่ร้ายคนสนิทของข้า คาดมิถึงว่าจักทำคุณบูชาโทษเช่นนี้”

หลี่ซื่อแสร้งโมโหขึ้นมา นางชี้หน้าด่าแม่นมจ้าว เมื่อแม่นมจ้าวได้ฟังก็กล่าวมิออกราวกับถูกคนบีบคอเอาไว้ พลันใบหน้าก็ซีดเผือด เสียงแหบจนฟังมิถนัด นางลืมไปได้เยี่ยงไรว่าคนทั้งครอบครัวถูกควบคุมไว้ในมือของหลี่ซื่อ

หากตนหักหลังหลี่ซื่อ บุตรคนโตและบุตรคนเล็กจักถูกหลี่ซื่อลงโทษอย่างทรมาน มิเว้นแม้แต่หลานของตนที่อาจถูกหลี่ซื่อเล่นงานจนตายก็ได้

เมื่อเห็นหลี่ซื่อชี้หน้าด่าแม่นมจ้าวเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็กล่าวว่า “แม่นมจ้าวเป็นแม่นมของข้า อี๋เหนียงใส่ร้ายนางเยี่ยงนี้และยังเอาบุตรหลานที่บ้านนางมาข่มขู่ หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“คำกล่าวของเกอเอ๋อทำให้ข้ารู้สึกห่อเหี่ยวใจยิ่งนัก”

หลี่ซื่อทำหน้าราวกับถูกคนอื่นปรักปรำ แววตาแฝงความขบขันเอาไว้

“ข้าดูแลจวนโหวมานาน รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ทั้งหมดในจวน จนวันนี้จับโจรที่ขโมยสมบัติเอาไว้ได้จึงจัดการกับนาง นี่ย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ เกอเอ๋ออย่าปกป้องคนของตนอย่างตาบอดเลย”

หลี่ซื่อกระตุกยิ้มมุมปากแสดงความได้ใจ

“ยิ่งกว่านั้น เกอเอ๋อคงมิทราบว่าแม่นมจ้าวผู้ที่เป็นบุตรคนใช้ในจวน ทว่ามีเรือนใหญ่สามเรือนและเรือนเล็กอีกหนึ่งหลัง อีกทั้งยังมีที่ดินเป็นร้อยหมู่ หากมิใช่มือเท้านางมิสะอาดขโมยสมบัติในจวน แล้วจักมีสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนี้ก็ตกตะลึง การจักมีเรือนใหญ่ในเมืองจิงแห่งนี้มิใช่เรื่องง่าย สามัญชนธรรมดายังมิอาจซื้อเรือนขนาดเล็กในเมืองได้ แม่นมเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่ง สามารถมิทรัพย์สินเหล่านี้ได้เยี่ยงไร ?

อันหลิงเกอหันไปมองแม่นมอย่างมิเชื่อ แววตาเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจ

“แม่นมจ้าวขโมยของในจวนจริงหรือ ? ”

เมื่อได้ยินอันหลิงเกอเอ่ยถาม แม่นมจ้าวก็ขมวดคิ้ว ใบหน้ามิค่อยดีนัก

“หากเจ้าขาดเหลืออันใด เหตุใดมิบอกข้า ? เรือนข้ามิเคยให้เจ้าลำบาก แล้ว

เหตุใดจึงทำเรื่องเยี่ยงนี้ ? ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจทันทีว่าเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับอันหลิงเกอ

อันหลิงเกอกล่าวเสียงเข้ม แววตาแหลมคมจ้องไปที่แม่นมจ้าวซึ่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น

“เป็นข้าที่มองคนผิด เลี้ยงแม่นมที่มิจิตใจโลภมิรู้จักไว้ข้างกายจึงเป็นเหตุให้นางโลภมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกล้าขโมยสมบัติ”

แม้หลี่ซื่อต้องการดึงอันหลิงเกอลงน้ำด้วย แต่ก็รู้ว่ามิง่ายเลย เมื่อมิอาจจับพิรุธอีกฝ่ายได้จึงได้แต่ทำตามความคิดเห็นของฮูหยินผู้เฒ่า

“ท่านแม่เจ้าคะ บ่าวที่มิดีเยี่ยงนี้มิควรค่าพอให้เกอเอ๋อขอร้องแทน ท่านแม่ให้เกอเอ๋อกลับไปดีกว่าเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอรู้สึกผิดหวังและเสียใจ นางมองแม่นมจ้าวสักครู่ สุดท้ายก็บังคับตนเองให้หันกลับไป

“ในเมื่อเป็นความผิดที่แม่นมจ้าวก่อขึ้น ท่านย่าและอี๋เหนียงจักจัดการเยี่ยงไร หลานก็จักมิเข้าไปยุ่ง เช่นนั้นเกอเอ๋อขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

นางค่อย ๆ ถอยออกจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า เงาหลังปรากฏความโดดเดี่ยว

เมื่อเรื่องนี้จบลง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ถอนหายใจออกมาแล้วบอกให้หลี่ซื่อส่งตัวแม่นมจ้าวไปให้ทางการ

อันหลิงเกอเพิ่งกลับมาถึงเรือนฉีอู๋ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่ามู่จวินฮานมาที่จวน

“มู่อ๋องซื่อจื่อมาได้เยี่ยงไร ? ”

อันหลิงเกอยังมิได้กล่าวอันใดออกมา ปี้จูก็ชิงถามก่อนแล้ว

สาวใช้ที่มารายงานคือหมิงซินคนที่จับตามองแม่นมจ้าวและเปลี่ยนตุ๊กตาผ้าในวันนั้น นางมีไหวพริบและคล่องแคล่วยิ่งนัก

“ได้ยินว่าซื่อจื่อมาครั้งนี้มีของหมั้นด้วยเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านโหวให้การรับรองที่ห้องโถงใหญ่แล้ว คุณหนูจักไปดูหรือไม่เจ้าคะ ? ”

หมิงซินกล่าวเพราะเห็นว่าในอนาคตมู่จวินฮานจักเป็นสามีของคุณหนูใหญ่ ควรสร้างความผูกพันให้มากขึ้น หมิงซินคิดเยี่ยงนั้นก็เห็นอันหลิงเกอลุกขึ้นแล้วเตรียมตัวเดินออกไปข้างนอก

หน้าโถงเต็มไปด้วยของกำนัลที่ส่งมา แต่ละกล่องใหญ่โตเรียงรายเต็มอยู่ที่หน้าห้องโถง กล่องเหล่านั้นถูกพันด้วยผ้าสีแดง  มองแล้วเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นมื่น นกหงส์หยกอิงถูกผ้าแดงมัดขาวางอยู่บนกล่องแทนสัญลักษณ์ของความมงคล

เมื่ออันหลิงเกอมาถึงห้องโถงใหญ่ ทั้งสองก็สบตากัน แววตามู่จวิ้นฮานจ้องอันหลิงเกอด้วยความหลงใหลจนนิ่งค้างกับที่

ส่วนแววตาอันหลิงเกอก็จ้องมองรูปร่างที่สง่างามของมู่จวิ้นฮาน เนื่องด้วยธรรมเนียมการส่งของหมั้น เขาจึงสวมชุดด้านในสีแดง ด้านนอกคลุมด้วยผ้าไหมสีแดงลวดลายมงคล เดิมทีเป็นสีที่ใส่แล้วจักขับผิวได้ยากแต่พอสวมบนของเขากลับไร้ความแปลกอันใด ซ้ำยังเติมความมีเสน่ห์บนใบหน้าที่เดิมก็ดูดีอยู่แล้วให้เด่นขึ้นไปอีก สีแดงขับให้เห็นใบหน้าของเขาว่าขาวราวหิมะ มุมปากยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อท่านโหวเห็นท่าทีของทั้งสองเป็นเยี่ยงนั้นก็หัวเราะเสียงดัง

“นึกว่าซื่อจื่อกำลังมองสิ่งใดจนหลง ที่แท้…พวกท่านได้มองซ้ายขวากันแล้ว ต่อไปต้องเป็นสามีภรรยา นี่ก็เป็นโอกาสดีที่ข้าจักให้เกอเอ๋อพาท่านเดินชมสวน”

“ถ้าเช่นนั้นต้องขอบคุณความหวังดีของท่านโหวขอรับ”

มู่จวินฮานยิ้มจริงใจพลันโบกมือไปทางอันหลิงเกอแล้วเดินไปหานาง

เมื่อเขายืนตรงหน้าอันหลิงเกอ ใบหน้าคมก็พลันแดงเรื่อและหัวใจก็เต้นรัวเร็ว ในแววตาเต็มไปด้วยความจริงใจพร้อมเอ่ยถามอันหลิงเกอว่า “มิทราบว่าคุณหนูอันจักยอมพาข้าเดินชมสวนหรือไม่ ? ”

“ย่อมได้เจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยความเขินอายแล้วเดินนำออกไปจากห้องโถง ทั้งสองคนราวกับมิเคยเข้าหากันมาก่อน

มู่จวินฮานเดินตามอย่างเว้นระยะห่างจากอันหลิงเกอเอาไว้ ตลอดทางได้ชมภูเขา น้ำพุและศาลาของจวนโหว แต่พอมาถึงกลางเรือน ขาของมู่จวินฮานก็ค่อย ๆ เข้ามาใกล้อันหลิงเกอพร้อมกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าได้ส่งมอบของหมั้นแล้ว วันสมรสของเรากำหนดเป็นเดือนห้าปีหน้า”

อันหลิงเกอหันกลับมาสบตาลึกล้ำของเขาแล้วยิ้ม “แท้จริงแล้วมู่ซื่อจื่ออยากกล่าวอันใดหรือเจ้าคะ ? ”

“คุณหนูอันคงรู้ความหมายของข้าดีอยู่แล้ว”

เขาเข้าใกล้อันหลิงเกอมากขึ้น แววตาแฝงไปด้วยความเศร้า

“ฮ่องเต้มีพระราชโองการประทานงานสมรสให้เจ้ากับข้า ทว่ากำหนดวันสมรสคือหลังจากนี้อีกหนึ่งปี เนื่องจากรู้ว่าข้ามีใจต่อเจ้า พระองค์จึงตั้งพระทัยจักทรมานข้า”