ตอนที่ 82 อิจฉาริษยา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 82 อิจฉาริษยา

‘ข้ามีใจต่อเจ้า’

คำนี้ประทับในหัวใจของอันหลิงเกอ ราวกับก้อนหินถูกโยนลงในทะเลสาบอันเงียบสงบจนบังเกิดแรงกระเพื่อม เหมือนสายลมที่พัดมาจากต้นหลิวนำพาความหวั่นไหวมาสู่นาง

เมื่อเห็นท่าทีที่มู่จวินฮานแสร้งทำโศกเศร้าตัดพ้อองค์ฮ่องเต้เรื่องงานสมรส นางจึงกางฝ่ามือออกเผยให้เห็นนกหวีดที่เขาเคยมอบให้

“ฮ่องเต้ทรมานมู่ซื่อจื่อหรือไม่ ข้าจักมิรู้ได้เยี่ยงไร เดิมทีข้าจักเอานกหวีดมาคืนท่านอยู่แล้ว แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอกล่าวพร้อมเงยหน้ามองมู่จวินฮาน แววตาปรากฏความหวั่นไหวอย่างชัดเจน

มู่จวินฮานได้เห็นแววตานี้เป็นคราแรกก็ตกตะลึง จากนั้นมุมปากก็ค่อย ๆ ยกยิ้มจนในที่สุดก็เห็นฟันเรียงสวย นัยน์ตาลึกล้ำและดึงดูดใจยิ่งนัก

มู่จวินฮานสั่งให้ปี้จูหลบไปก่อนเพราะต้องการอยู่กับอันหลิงเกอตามลำพัง เมื่อปี้จูเดินออกไปแล้ว เขาก็ก้มหน้ามองอันหลิงเกอ ยื่นมือทั้งสองข้างไปจับหัวไหล่นางเอาไว้ด้วยความรู้สึกมากล้นภายในใจเป็นเหตุให้เขาประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากแดงระเรื่อของอันหลิงเกอ

สักพักเขาจึงค่อย ๆ ผละออกทั้งที่ในใจมิอยากผละจากริมฝีปากนุ่มนวลแม้แต่น้อย

ด้วยความฉลาดและมีไหวพริบ เขาจึงทราบดีว่าอันหลิงเกออยากยกเลิกสมรสตั้งแต่แรกเริ่ม ทว่าตอนนี้นางกล่าวออกมาแล้วย่อมหมายความว่านางก็ชอบเขาเช่นกัน

สุดท้ายนางก็เปลี่ยนใจมิต้องการยกเลิกงานสมรส ทั้งอยากให้การสมรสนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น

ในเมื่อคนที่เขาชอบก็ชอบกลับเช่นกัน จึงทำให้มู่จวินฮานรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขาอดมิได้ที่จักจุมพิตอันหลิงเกอ ริมฝีปากอ่อนนุ่มของนางมีกลิ่นหอมหวานทำให้มู่จวินฮานรู้ถึงรสชาติได้และแทบอดทนรอแต่งนางเข้าจวนมิไหวเพื่อให้นางกลายเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว

แววตาเขาเหลือบมองริมฝีปากอันหลังเกอแล้วฉายรอยยิ้มเปี่ยมสุข “ในเมื่อเจ้าเปลี่ยนใจแล้วก็เก็บนกหวีดนี้ไว้เถิด เรื่องอื่นให้ข้าจัดการเอง”

มิว่าฮ่องเต้จักมีประสงค์เยี่ยงไร จักลองใจทั้งสองจวนก็ดีหรือจักดำริการสมรสอย่างจริงใจก็ตาม ตัวเขาก็ขอรับผิดชอบตามหน้าที่ ฮ่องเต้ก็มิกล้าทำอันใดแล้วเขาก็สามารถปกป้องอันหลิงเกอไว้ในอ้อมแขนได้

อันหลิงอีปาดอกไม้ในมือทิ้ง สายตาจดจ้องอยู่ที่คนสองคนซึ่งกำลังพลอดรักกันด้วยแววตาดุร้าย ความอิจฉาปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับน้ำมันติดไฟแผดเผาอยู่ภายในใจจนสองตาแดงก่ำ

อันหลิงอีเฝ้าถามว่าเหตุใดคนเลวทรามเยี่ยงอันหลิงเกอจึงเกิดมาก็เป็นบุตรสาวคนโตของจวนโหว เป็นเหตุให้มันแย่งทุกอย่างไปจากนาง มิง่ายเลยกว่าฮูหยินใหญ่จักสิ้นชีพ อันหลิงเกอก็โดนหลอกให้โง่เขลามานานปี ส่วนนางเก่งดนตรีเขียนวาดทุกอย่าง ทว่าพอฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้จวนอ๋องมู่และจวนโหว มู่อ๋องจื่อซื่อกลับเลือกอันหลิงเกอ

สิ่งที่น่าเกลียดกว่านั้นคืออันหลิงเกอผู้ไร้ยางอายกล้านัดพบซื่อจื่อก่อนสมรส อีกทั้งยังทอดสะพานให้ต่อหน้า ทำให้ซื่อจื่อมองอย่างหลงใหล

แววตาเยี่ยงนั้นต้องเป็นของข้า และมู่อ๋องซื่อจื่อต้องเป็นของอันหลิงอีคนเดียวเท่านั้น

อันหลิงอีกัดฟันแน่น ดอกไม้ในมือถูกนางบีบจนแหลกละเอียดแล้วโยนทิ้งจากนั้นใช้เท้าทั้งสองข้างเหยียบย่ำอย่างแรง ราวว่าดอกไม้เป็นอันหลิงเกอ

“อีเอ๋อ เจ้ากำลังทำอันใด ? ดอกไม้ที่งดงามถูกเจ้าเด็ดไปแล้วเหตุใดจึงกระทำเยี่ยงนี้เล่า ? หรือดอกนี้มิงามจึงมิเข้าตาเจ้า ? “

หวังซื่อเดินมาจากที่ไม่ไกลแล้วเห็นอันหลิงอีทั้งเด็ดทั้งเหยียบดอกไม้โดยมิเอ่ยคำใด นางมิได้เป็นห่วงดอกไม้หรอก แต่เพราะอันหลิงอีเป็นบุตรสาวของหลี่ซื่อจึงเข้ามาหาเรื่อง

อันหลิงอีละสายตาจากดอกไม้แล้วเงยหน้ามองหวังซื่อ แววตามีความเย็นชาแฝงอยู่

“อาสะใภ้รองมิไปดูแลห้องเก็บสมบัติแต่มีเวลาเดินเล่นที่สวนดอกไม้ หากห้องเก็บสมบัติเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก อาสะใภ้รองจักแย่เอานะเจ้าคะ”

รอยยิ้มของหวังซื่อนิ่งค้างไปบ้าง นางมีสายสืบข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าจึงทำให้ทราบข่าวโจรขโมยสมบัติคนนั้นและคำพูดของอันหลิงอีกำลังเยาะเย้ยตนว่าไร้ความสามารถ แม้แต่โจรคนเดียวยังจับตัวมิได้

เมื่อคิดได้เช่นนี้หวังซื่อก็หัวเราะออกมา “แรกเริ่มที่ห้องเก็บสมบัติเกิดเรื่องเป็นเพราะข้าเพิ่งกลับถึงจวนจึงมิค่อยคุ้นเคยกับเรื่องในจวน คนเลวทรามจึงหาโอกาสขโมยสมบัติไปได้ จนวันนี้ข้าให้คนเฝ้าห้องเก็บสมบัติเป็นอย่างดี มิได้เกิดเรื่องแม้แต่น้อย เจ้ามิต้องเป็นห่วงหรอก”

แววตาของนางกวาดมองอันหลิงอีและคำกล่าวแฝงไปด้วยความเยาะเย้ย ทว่าใบหน้ายกยิ้มเป็นมิตร “ทว่าหลี่ซื่อนั่นสิ อีเอ๋อ เจ้ามิเป็นห่วงนางเลยหรือ นางเป็นแม่ของเจ้าแท้ ๆ หลี่ซื่อถูกลงโทษแต่เจ้ามิไปดูแลนางเลย ข้ามิรู้ว่าในตอนนี้ใจหลี่ซื่อจักรู้สึกเยี่ยงไร”

ท่านแม่ถูกลงโทษเยี่ยงนั้นหรือ ?

อันหลิงอีรู้สึกตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อวานนางตกน้ำจึงได้รับความหนาวเย็นพอฝืนตื่นขึ้นมาก็ทานยาแล้วนอนซมทั้งวันจึงมิทราบเรื่องนี้ “เหตุใดท่านแม่จึงถูกลงโทษเจ้าคะ นางดูแลจวนโหวมานานหลายปี มิเคยผิดพลาดมาก่อน ผู้ใดกล้าลงโทษท่านแม่ ? “

อันหลิงอีจ้องหวังซื่อแล้วเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง “อย่าคิดว่าท่านสร้างคำโกหกมาหลอกข้าได้”

“ฮึ ! อีเอ๋อ อาสะใภ้จักโกหกเจ้าด้วยเหตุใด ? ” หลี่ซื่อถูกลงโทษเป็นเหตุให้หวังซื่อดีใจยิ่งนัก วันนี้จึงเอาเรื่องนี้มากระตุ้นอันหลิงอีอีกรอบ นางดีใจเสียเหลือเกิน “เจ้ามิรู้ว่าเมื่อวานหลี่ซื่อเรียกเฉว่เอ๋อไปที่เรือน มิรู้พูดอันใดไปบ้าง พอเฉ่วเอ๋อกลับเรือนก็หาผ้าขาวมาผูกคอจนเกือบสิ้นชีพไปแล้ว”

ชีวิตของคุณหนูในจวนแพงดั่งหยก พอเกิดเรื่องขึ้นคนอื่นก็ตกใจกลัว ยิ่งอันหลิงเฉว่ที่ฮูหยินผู้เฒ่ารักและเอ็นดูมากที่สุด เพราะคำพูดของหลี่ซื่อทำให้เกือบเสียนางไปจากโลกนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องโกรธจึงลงโทษหลี่ซื่อเป็นเรื่องธรรมดา

เมื่อได้ฟังหวังซื่อเล่าออกมา อันหลิงอีก็เข้าใจเหตุผลทันที แต่แววตายังสงสัยอยู่ “ท่านแม่ถูกลงโทษจริงหรือเจ้าคะ ? “

“จริงอย่างแน่นอน” หวังซื่อพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “อีเอ๋ออย่ากังวลเกินไป หลี่ซื่อเพียงแค่ถูกท่านแม่ลงโทษให้คุกเข่าที่โถงบรรพบุรุษ เมื่อเทียบกับเฉว่เอ๋อที่เกือบเสียชีวิต การลงโทษในครานี้นับว่าเบามากแล้ว”

เรื่องอันใดเป็นเหตุให้อันหลิงเฉว่คิดสิ้นจนผลักความผิดไปที่มารดา ?

เรื่องนี้ต้องเป็นความลำเอียงของท่านย่าที่อยากลงโทษมารดาจึงหาข้ออ้างเท่านั้น อันหลิงอียิ่งคิดยิ่งรู้สึกโกรธ แววตาเต็มไปด้วยโทสะ “ท่านแม่อยู่ที่ใด ? ข้าจักไปพบนาง”

หวังซื่อขวางนางไว้ “อีเอ๋อ เจ้ารีบร้อนด้วยเหตุอันใด วันนี้หลี่ซื่อสามารถจับโจรได้จึงไปหาท่านแม่ตั้งแต่เช้าตรู่ ข้าคิดว่านางมิเป็นอันใดแล้ว”

อันหลิงอีจักเชื่อได้เยี่ยงไร เพราะนางคอยเป็นศัตรูกับมารดามาโดยตลอด

อันหลิงอีอยู่ในจวนโหวโดยมีหลี่ซื่อและอันอิงเฉิงตามใจจนเสียนิสัย ในตอนนี้หวังซื่อมาขวางนางไว้ นางจึงผลักหวังซื่อออกไปให้พ้นทางด้วยความโกรธ

“หลีกไป ! “

คาดมิถึงว่าหวังซื่อที่โดนผลักจนล้มไปที่พื้นจักมีโลหิตไหลออกมา