“พอได้แล้ว”

เสียงนี้เป็นขององค์จักรพรรดิ

“วางดาบลงเสีย”

แต่เฟเรสยังคงชี้ดาบใส่อาสทาน่าเช่นเคยท่าทางไม่มีความคิดที่จะวางดาบลงเลยแม้แต่นิดเดียว

เธอแอบถองข้อศอกใส่สีข้างของเฟเรสโดยไม่ให้ใครเห็น

หากไม่เชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิแล้วโดนเขม่นเข้าให้ละก็ คงได้ปวดหัวกันน่าดู!

โล่งอกที่เฟเรสค่อยๆ ลดดาบลงอย่างเชื่องช้า

พอเห็นเขาทำแบบนั้น จู่ๆ อาสทาน่าก็ตะโกนพรวดขึ้นมาในทันที

“มนตร์ดำแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

อาสทาน่าใช้ปลายนิ้วชี้ไปยังเฟเรส ในขณะที่กล่าวกับองค์จักรพรรดิด้วยความโกรธแค้น

“ถ้าไม่ทำแบบนั้น แล้วจะทำได้ยังไง!”

“เจ้าเองก็พอได้แล้ว อาสทาน่า”

จักรพรรดิขมวดคิ้วแน่นพลางเอ่ยพูด

“แต่เสด็จพ่อ! เจ้านั่นมันชี้ดาบใส่ข้านะพ่ะย่ะค่ะ! ใส่ข้าคนนี้!”

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงกับหลานสาวของข้าก่อนต่างหากล่ะ”

ท่านปู่เอ่ยแทรกตัดประโยคที่เหลือของอาสทาน่าทิ้ง

“ระ…เรื่องนั้น…”

“ที่จู่ๆ เจ้าชายลำดับที่สองก็ชักดาบออกมาโดยไม่มีการกล่าวเตือนกันก่อนนั่น หากจะมีความผิดก็คงจะผิดเพราะช่วยปกป้องหลานสาวของข้าจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกระมัง”

อาสทาน่ามองจักรพรรดิราวกับร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์ แต่โยบาเนสไม่มีความคิดที่จะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย

พระองค์เพียงแค่มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นเพียงแค่คนนอกที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

“ขอโทษด้วยสิ”

ขนาดท่านปู่กล่าวเช่นนั้น อาสทาน่าก็ยังมัวแต่ยืนหอบแฮกด้วยความโมโห

ท่าทางที่ไม่คิดจะปรับปรุงตัวเลยสักนิดนั่น ทำให้ท่านปู่ต้องเอ่ยพูดกับจักรพรรดิ

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งดูท่าจะยังโมโหอยู่มาก ปล่อยให้ไปทำหัวให้เย็นลงคนเดียวน่าจะดีนะพ่ะย่ะค่ะ”

“แบบนั้นก็น่าจะดี”

โยบาเนสเห็นด้วยกับคำพูดของท่านปู่ในทันที พระองค์ส่งสายตาออกคำสั่งไปทางเหล่าอัศวิน

“ปล่อยนะ! อ๊ากกกก! ข้าสั่งให้ปล่อยไง!”

ถึงแม้จะโดนพวกอัศวินหิ้วแขนคนละข้างลากตัวออกไป อาสทาน่าก็ยังดีดดิ้นไม่หยุด

ทุเรศ ทุเรศชะมัด

เธอเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอในขณะที่มองดูภาพนั้น

อาสทาน่าถูกลากตัวออกไปด้านนอก ภายในตัวอาคารจึงค่อยเงียบสงบขึ้นมาบ้าง

“เป็นอะไรมั้ย”

เฟเรสถามเธอ

“อื้อ ข้าไม่เป็น…”

ฟีเรนเทียกำลังจะตอบออกไปโดยไม่คิดอะไร แต่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ไหน

นั่นไง

จักรพรรดิกำลังจับตามองพวกเราอยู่

“ไม่เป็นอะไรเพคะ ขอบพระทัย”

หลังจากโค้งศีรษะบอกขอบคุณเฟเรสอย่างสุภาพตามมารยาท เธอก็หมุนตัวหันหน้าหนีทันทีแต่สายตามีเลศนัยของจักรพรรดิยังคงไม่ยอมละห่างไปจากเธอ

อา! จะมองแบบนั้นทำไมเนี่ย ทำให้คนอื่นเขารำคาญอยู่ได้

เธอแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรให้ได้มากที่สุด เริ่มก้าวขาเดินด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“เทีย! บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ท่านพ่อสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้ ย่อเข่าลงข้างหนึ่ง ปรับระดับสายตาให้เข้ากับเธอ แล้วถามเธอในขณะที่สวมกอดเธอเอาไว้แน่น

“ข้าไม่ได้เจ็บตรงไหนค่ะ อ๊ะ แต่ว่า…”

เธอก้มหน้ามองข้างล่าง เมื่อนึกถึงชายกระโปรงที่ถูกอาสทาน่าดึงจนขาด

“นี่มัน…เดรสที่เทียของพ่อทุ่มเทตัดเย็บฉีกขาดเสียได้”

เจ้าคนโง่เขลานั่น แรงเยอะมากจริงๆ

ผ้าไหมที่นึกว่าถูกดึงขาดออกไปเฉยๆ มันฉีกขาดไม่เป็นชิ้น เกรงว่าต่อให้เย็บแก้ไขก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

เมื่อกี้เธอน่าจะกระซิบบอกเฟเรสให้แทงๆ ลงไปซะ

ถ้าเธอกระซิบบอกแบบนั้น เขาคงจะลงมือแทงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ถ้าหากเป็นเฟเรสละก็ ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้คิดว่าเขาจะต้องทำแบบนั้นแน่

“ข้าต้องขอโทษแทนด้วย ที่อาสทาน่าทำตัวไร้มารยาทแบบนั้น”

น่าแปลกที่จักรพรรดิเป็นฝ่ายออกหน้าก่อน

“และเฟเรส”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“ทำได้ดีมากลูกผู้ชายย่อมสมควรที่จะออกหน้าเพื่อปกป้องผู้หญิง”

“…”

ดูเหมือนเฟเรสจะคิดคำพูดที่จะตอบออกไปไม่ออก

เขาเพียงแค่เหลือบมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าลงเล็กน้อย

“แต่ข้าเองก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าเจ้าที่เฉยชาต่อทุกสิ่ง จะวิ่งเข้าไปทันทีแบบนั้น…”

โยบาเนสกล่าวหยอกเย้าเฟเรส ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง

“คงจะทำเช่นนั้นเพราะเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกล้าชักดาบออกมาต่อหน้าฝ่าบาทนั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านปู่กล่าวแทรกบทสนทนาอย่างมีไหวพริบ

คนที่ทราบว่าที่ผ่านมาเธอกับเฟเรสคอยติดต่อรักษาความสนิทสนมกันจนกลายเป็นคนรู้จักกันดี มีเพียงแค่ท่านปู่คนเดียวเท่านั้น

“หืม อย่างนั้นหรือ…”

คล้ายว่าจักรพรรดิจะลืมเรื่องอาสทาน่าไปแล้ว พระองค์กลับมามีใบหน้าสงบไร้กังวลเหมือนอย่างเช่นทุกวัน

แตกต่างจากท่านพ่อที่ยังคงกอดเธอแน่นด้วยความกังวลอย่างสิ้นเชิง

“แต่ก็เพิ่งจะเคยเห็นภาพลักษณ์เช่นนั้นของเฟเรสเป็นครั้งแรก…”

“มันไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งหรอกพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“อืม เอาแบบนี้ก็น่าจะดีนะ เพื่อนเล่นเป็นไง แคลอฮัน”

ฝ่ามือของท่านพ่อที่คอยลูบหลังเธอหยุดชะงัก

“นั่นหมายความว่ายังไงพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

“บุตรสาวของเจ้ากับเฟเรสก็อยู่ในวัยใกล้เคียงกันพอดี ให้เข้ามาเป็นเพื่อนเล่นเฟเรสเจ้าว่ายังไงล่ะ ดูจากนิสัยแล้ว สองคนนี้น่าจะเข้ากันได้ดีพอควรเลยนะ”

ไม่นะ! มองจากส่วนไหนไม่ทราบ

เธอตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ทั้งท่านปู่ ทั้งท่านพ่อเองก็เหมือนกัน

คนที่นัยน์ตาระยิบระยับเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของจักรพรรดิ คงมีเพียงแค่เฟเรสคนเดียว

“…วันนี้คงจะต้องขอตัวก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ท่านปู่เอ่ยพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึงริมฝีปากของท่านกระตุกถี่ยิบ ท่าทางจะอารมณ์เสียมากทีเดียว

“ไปกันเถอะ แคลอฮัน”

“…ครับ ท่านพ่อ”

ท่านพ่อเอ่ยตอบ ในขณะที่หยัดกายลุกขึ้นยืน

โงนเงน

ร่างกายของท่านพ่อเซไปมา

“พ่อ?”

เธอจับมือของท่านพ่อที่แกว่งไปมาจากการทรงตัวไม่อยู่

“แคลอฮัน? ทำไมเป็นเช่นนั้น”

“มะ…ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ สงสัยขาข้างหนึ่งมันจะชา…”

“แคลอฮัน!”

ท่านปู่ตะโกนเสียงดัง

แต่ร่างกายของท่านพ่อก็เริ่มเอนล้มไปด้านหนึ่งอีกครั้ง

ทรุดฮวบ ตึง!

น้ำหนักของร่างกายที่กระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรงก่อให้เกิดเสียงดังก้องไปทั่ว

“อ๊ะ!”

ท่านพ่อนั่งฟุบอยู่บนพื้น ใบหน้าเหลอหลาด้วยความสับสน ไม่อาจเข้าใจได้ว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น”

ท่านปู่เอ่ยถาม

“ไม่แน่ใจครับ ขาข้างขวาทำไมถึงได้…”

มือของท่านพ่อนวดไปตามขาข้างขวาของตน

“ให้เรียกแพทย์หลวงมั้ย”

โยบาเนสเองก็เดินเข้าไปหา ถามไถ่ให้ความช่วยเหลืออย่างมีมารยาท

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังสับสนด้วยไม่อาจเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอได้แต่กัดฟันแน่น

ในที่สุดมันก็เริ่มขึ้นจนได้

โรคที่ร่างกายซีกหนึ่งไม่ฟังคำสั่ง ก่อนที่มันจะเริ่มลุกลามไปทั่วร่าง จนสุดท้ายร่างกายก็สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว

สุดท้ายอาการชาก็จะลามขึ้นมาจนถึงหน้าอก จนเหลือเพียงแค่นัยน์ตาเท่านั้นที่ยังขยับได้เป็นปกติ โรคที่จะทำให้ตายไปอย่างทรมานเพราะเริ่มค่อยๆ หายใจไม่ออก

โรคร้ายเทรนด์บลูที่เคยฆ่าท่านพ่อในชีวิตก่อน