บทที่ 62

พวกเราขึ้นรถม้าเดินทางกลับมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียในทันที

จักรพรรดิโยบาเนสกล่าวว่าให้เรียกแพทย์หลวงมาน่าจะดีกว่า แต่ท่านพ่อกลับปฏิเสธ

ข้างในรถม้าระหว่างทางกลับคฤหาสน์ ถึงแม้ท่านพ่อจะยิ้มบอกเธอว่าไม่ต้องเป็นกังวล แต่ใบหน้าของท่านก็ยังคงเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย

“เรื่องภายในลอมบาร์เดีย จะปล่อยให้ราชวงศ์ล่วงรู้ไม่ได้”

ถึงแม้จะเกิดเรื่องผิดปกติกับร่างกายของตัวเอง ก็ยังต้องเป็นห่วงเรื่องของตระกูลก่อนสิ่งใด

โล่งอกที่ท่านปู่ส่งคนกลับไปแจ้งที่คฤหาสน์ล่วงหน้าแล้ว ทุกอย่างจึงถูกเตรียมการด้วยความรวดเร็ว

ทันทีที่พวกเราเดินทางกลับมาถึง เหล่าผู้ดูแลก็กำลังถือเปลหามรอคอยอยู่ก่อนแล้ว แต่พวกเขาเองก็ไม่ทราบเหตุผลโดยละเอียด ดังนั้นเมื่อเปิดประตูรถม้าออก แล้วเห็นท่านพ่อนอนเอนกายอยู่ พวกเขาต่างก็มีสีหน้านิ่งเกร็งขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง

“อ่า ขอโทษทีนะ”

ท่านพ่อยิ้มเล็กน้อยในขณะที่ขยับกายนอนลงบนเปลหาม

“…อย่าพูดอะไรไร้สาระ”

ท่านปู่กล่าวกับท่านพ่อเสียงทุ้มต่ำ

กระทั่งห้องนอนเองก็ถูกเตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อรอต้อนรับท่านพ่อ

พอเปิดประตูที่พักของพวกเราเข้าไป ลอรีลกับเครย์ลีบันก็กำลังรออยู่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

“ดึกป่านนี้ยังมาอีกหรือครับ คุณเครย์ลีบัน”

“เวลามันใช่ปัญหาที่ไหนล่ะครับ”

ถึงแม้จะคอยอยู่ข้างกายร่วมงานกันมาได้หลายปีแล้ว แต่ท่านพ่อกับเครย์ลีบันต่างก็ยังคงใช้คำพูดสุภาพให้เกียรติกันและกันอยู่เสมอ

“หมอล่ะ”

ท่านปู่ถามพ่อบ้าน

“ติดต่อดอกเตอร์โอมัลลี่ไปแล้วครับ”

เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันมากเกินไป

ทั้งท่านพ่อที่กำลังนอนนวดขาข้างขวาของตัวเองอยู่บนเตียง ทั้งท่านปู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ทั้งเหล่าผู้คนที่มารวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือพวกเรา

มันกะทันหันเกินกว่าจะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้

ไม่มีใครรู้สาเหตุที่ท่านพ่อล้มลง

นอกจากเธอ

ท่ามกลางผู้คนที่กำลังขยับกายเคลื่อนไหวกันอย่างวุ่นวาย ฟีเรนเทียพยายามจัดการกับสีหน้าของตัวเองอย่างสุดความสามารถ

เพื่อท่านพ่อที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคอะไรกันแน่ เธอได้แต่แสร้งทำหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เพื่อที่จะไม่เผลอแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกไป

แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเธอจะไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านพ่อ

“เทีย”

ท่านพ่อเอ่ยเรียกเธอ

เสียงภายในห้องนอนพลันเงียบลงทันที

ผู้คนที่กำลังขยับตัวกันอย่างวุ่นวายต่างก็หยุดชะงักในพริบตา แล้วหันมามองเธอ

ดูเหมือนทุกคนจะลืมไปแล้วว่าเธอยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้

“พ่อไม่เป็นอะไรหรอก”

ท่านพ่อเอ่ยพูด

“ทราบค่ะ”

ฟีเรนเทียเอ่ยตอบในขณะที่พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกปั่นป่วนในใจเอาไว้

“อืม เทียของพ่อฉลาดอยู่แล้วนี่เนอะ”

ถึงแม้จะมองใบหน้าที่ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ แต่เธอก็ยังไม่อาจยิ้มตอบกลับไปแบบที่ท่านพ่อทำได้อยู่ดี

“ไม่ต้องกลัวนะ”

ตอบอะไรไม่ออก

ต้องกลัวสิ

โรคที่ท่านพ่อเป็นน่ะ มันเป็นโรคที่น่ากลัวมากเลยนะ

และโรคนั้น มันเป็นโรคที่แย่งท่านพ่อไปจากเธอในชีวิตก่อน

คำพูดพวกนั้นมันค้างเติ่งอยู่ที่ริมฝีปาก

เธอก้มหน้านิ่งแทนที่จะพูดอะไรพวกนั้นออกไป

“เทีย…?”

ท่านพ่อเบิกตากว้าง ตกใจกับปฏิกิริยาแบบนั้นของเธอ

อา เธอควรที่จะทำให้ท่านรู้สึกสบายใจแท้ๆ

แต่ภาพของท่านพ่อที่นอนอยู่บนเตียงมันซ้อนทับกับภาพของท่านพ่อที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ในความทรงจำของเธอมากเหลือเกิน

ฟีเรนเทียจึงทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น

ท่านพ่อคงจะคิดได้ว่าอาการของเธอมันไม่ปกติ

ถึงแม้ร่างกายจะลุกไม่ค่อยได้ แต่ท่านก็ยังพยายามหยัดกายลุกขึ้นจากเตียง พยายามที่จะลุกมาหาเธอ

“ดอกเตอร์โอมัลลี่มาแล้วครับ”

โล่งอกที่เสียงของพ่อบ้านดังขึ้น พร้อมกับการมาถึงของดอกเตอร์โอมัลลี่ที่หอบหิ้วกระเป๋าแพทย์เคลื่อนที่มาด้วย

“หลบออกไปกันก่อนเถอะ”

ท่านปู่เอ่ยพูดกับทุกคน

ผ่านไปไม่นานภายในห้องนอนจึงเหลือเพียงแค่ท่านพ่อ เธอ ท่านปู่ และดอกเตอร์โอมัลลี่

“อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“ก่อนอื่นขาข้างขวามัน…”

ท่านพ่ออธิบายอาการของตัวเองอย่างสงบ

ไม่ต้องฟังก็รู้

ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอรู้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งว่าต่อไปจะเกิดอาการอะไรขึ้นบ้าง

มันเริ่มจากการเสียประสาทความรู้สึกที่ขาข้างขวา หลังจากนั้นในหนึ่งสัปดาห์ มันก็จะค่อยๆ ลุกลามจนเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ

ดอกเตอร์โอมัลลี่เองก็ช่วยจัดเตรียมยาให้อย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ยังไม่ได้ผลอะไรมากนัก

มันทำได้เพียงแค่ช่วยลดความอึดอัดจากอาการชาที่ลุกลามเท่านั้นเอง

ภายในหนึ่งเดือน ขาอีกข้างหนึ่งก็จะเริ่มรู้สึกชาขึ้นมา

อีกหนึ่งเดือน จู่ๆ แขนข้างขวาก็จะขยับใช้การไม่ได้

และอีกหนึ่งเดือนมือข้างขวาก็จะใช้การไม่ได้

เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าวันเกิดของเธอ ท่านพ่อก็ไม่อาจขยับกายได้ตั้งแต่ช่วงล่างลำคอลงไป และต้องเผชิญกับความทรมานที่แม้กระทั่งจะหายใจก็ยังทำได้ยาก

ฟีเรนเทียไม่อาจทนมองท่านพ่อทรมานมากขนาดนั้นไหว ตอนนั้นเธอได้แต่ภาวนาทุกคืน คืนแล้วคืนเล่า หากเป็นเช่นนี้สู้ปล่อยให้ท่านพ่อจากไปเร็วๆ ยังดีเสียกว่า

สามวันก่อนหน้าวันเกิดของเธอ

ท่านพ่อก็หลับตาลงพร้อมกับลมหายใจสุดท้าย

ความทรงจำต่างๆ นานาหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด