ตอนที่ 123 ขึ้นภูเขา

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เมื่อนั่งอยู่บนรถม้าคนเดียว ยามมองทิวทัศน์ภายนอกผ่านม่านหน้าต่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็รู้สึกเหม่อลอยเล็กน้อย นี่ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการไปสักการะศาลบรรพชนด้วยหรือไม่? นางรู้สึกราวกับได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านเลย 

 

 

ซั่งกวนฮ่าวและลูกชายมีเด็กรับใช้อยู่เคียงข้างติดตามพวกเขาด้วยสี่คน มีซั่งกวนจิ่นและพ่อบ้านสองคนที่อยู่ข้างๆ เขา ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์พาม่านเหอกับม่านเหลียนและรถม้ามาสองคัน เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งตามลำพังคันหนึ่ง สาวใช้ใหญ่สองคนนั่งรถมาด้วยกัน ซึ่งถือได้ว่าสะดวกและคล่องตัว ไม่ว่าจะเป็นทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ชอบยิ้มจอมปลอมเสแสร้งแกมความอิจฉาและในดวงตาเผยความบ้าคลั่งถึงสุดขีด หรือหวงฝู่เยวี่ยเอ้อซึ่งดวงตามีความสุขเปี่ยมล้นก็ไม่ได้ร่วมเดินทางมาด้วย ในเวลานั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงรู้ว่า หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมาภรรยาคนแรกของลูกชายคนโตจะไปกราบไหว้ศาลบรรพชนหลังแต่งงาน แต่บางคนสักการะได้เพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตของพวกนาง…ครั้งแรกหลังแต่งงาน นั่นหมายความว่ากลายเป็นภรรยาเอกของตระกูลซั่งกวน ให้กำเนิดลูกชายคนโต ลูกชายคนโตอายุครบขวบ ก็จะมากราบไหว้อีกครั้ง หมายความว่าได้ทำหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของภรรยาเอกเสร็จแล้ว สามีเสียชีวิต เป็นการกราบไหว้ครั้งสุดท้าย ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเสร็จสิ้นการกราบไหว้ที่สำคัญทั้งสามอย่าง นางจึงไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าไปในศาลบรรพชนได้อีก ครั้งที่สี่ที่ก้าวเข้ามาจะเป็นหลังจากที่นางตายแล้ว 

 

 

กระนั้น ภรรยาเอกที่บรรดาผู้อาวุโสเห็นชอบกลับมาปรากฏตัวในศาลบรรพชนยามเซ่นไหว้บรรพบุรุษประจำปีได้ หลังจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อคลอดซั่งกวนอิงจึงมีโอกาสเข้าร่วมงานเซ่นไหว้ทุกๆ สามปี นี่คือหนึ่งในสาเหตุที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเกลียดหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมากขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นเหตุผลที่นางถือว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเป็นของแสลง 

 

 

“มี่เอ๋อร์ เราจะเข้าไปในภูเขา” เสียงของซั่งกวนเจวี๋ยดังขึ้นจากด้านนอกรถ เตือนเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างแผ่วเบา หลังจากเข้าสู่ภูเขา อากัปกิริยาของนางล้วนจะตกอยู่ในสายตาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลซั่งกวนรวมถึงผู้คนในตระกูลซั่งกวนที่แทบไม่เคยเผยโฉมหน้าให้เห็นด้วย นางต้องรวบรวมสมาธิอย่างยิ่ง จัดการกับทุกห่วงปัญหา 

 

 

“อื้ม…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า บ่งบอกว่าตนรู้แล้ว และในขณะนี้ รถม้าหยุดลงอย่างเงียบๆ 

 

 

เมื่อพูดถึงการเข้าสู่ภูเขา จะหมายถึงการมาเยือนประตูวัดวาอารามของเขาอวี้ฉิง ซึ่งเป็นเพียงซุ้มประตูหินอ่อนสีขาว เรียบง่ายและเก่าโบราณ ซุ้มประตูเขียนจารึกว่า ‘อวี้ฉิงโยวจิ่ง’ ด้วยอักขระที่แข็งแกร่งและทรงพลังสี่ตัว มีสิงโตหินสองตัวตั้งอยู่ข้างซุ้มประตู ไม่ทราบว่าผ่านลมฝนมาช้านานกี่ปี จึงเต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่างตามเนื้อตัว 

 

 

“สะใภ้ใหญ่เชิญลงรถม้าขอรับ” ซั่งกวนจิ่นพูดเสียงดังจากนอกรถม้า ม่านเหอและม่านเหลียนรีบมาช่วย มีคนหนึ่งเปิดม่าน ส่วนอีกคนยืนรับใช้อยู่ข้างคนขับรถม้าซึ่งก้มลงคุกเข่าที่พื้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยื่นมือออกมาจับมือของม่านเหอไว้ แล้วเหยียบหลังของคนขับรถม้า ก้าวออกจากรถม้าเบาๆ 

 

 

“มี่เอ๋อร์ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้ามากราบไหว้บนภูเขา ต้องเดินขึ้นไป จากที่นี่เข้าไปจะอยู่ห่างจากเรือนเขาอวี้ฉิงสิบลี้” ซั่งกวนฮ่าวลงจากหลังม้าแล้วพูดสั้นๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ลงจากหลังม้าและตามไป ซั่งกวนจิ่นยังอยู่บนม้า ไม่ได้ตั้งใจจะลงจากหลังม้า 

 

 

“เจ้าค่ะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะขานรับ ไม่พูดอะไรสักคำ แค่ห่างออกไปเพียงสิบลี้เท่านั้น ไม่ถือว่ามากนัก 

 

 

“เราไปกันเถอะ” ซั่งกวนฮ่าวพอใจกับความเงียบสุขุมของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เขาพยักหน้า ก้าวไปข้างหน้า ย่างสามขุมไปยังซุ้มประตู จากนั้นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งสังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้วถนนสายนั้นปูด้วยหินสีคราม ซั่งกวนจิ่นก็เป่านกหวีดพาคนที่เหลือไป โดยขี่ม้าออกไปจากถนนอีกเส้นหนึ่ง มันเป็นถนนลูกรัง รถม้าทั้งสองคันก็จากไป รวมถึงพวกม่านเหออีกสองคนด้วย…นั่นคือมีเพียงซั่งกวนฮ่าวกับลูกชายและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่จำเป็นต้องเดินขึ้นเขา 

 

 

ไม่เตือนก่อนเลยสักนิด เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองค้อนให้ซั่งกวนเจวี๋ยขวับหนึ่ง วันนี้นางอยู่ในอาภรณ์สีแดงที่แขนเสื้อปักดอกโบตั๋นขนาดใหญ่และกระโปรงลายดอกไม้สีเดียวกัน ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ก็เทอะทะเล็กน้อย แม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะแต่งตัวแบบนี้ก็เดินเหินบนหลังคาบินข้ามกำแพงได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว แต่ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รู้ เช่นนั้นจึงผิดที่เขาไม่ได้เตือน 

 

 

ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มตอบแหยๆ เขาไม่รู้ว่ามีกฎเช่นนี้ แต่ครั้นเห็นมี่เอ๋อร์เพียงแค่ไม่พอใจที่เขาไม่ได้เตือนทำให้นางแต่งตัวลำลองสบายๆ เข้าป่า กระนั้นนางก็ไม่ได้บ่นตัดพ้อว่าต้องเดินเข้าไปในภูเขา เขาก็โล่งใจเช่นกัน 

 

 

“ถนนสู่ภูเขาแห่งนี้ลูกหลานของตระกูลซั่งกวนช่วยกันปูถมเองใช้เวลาถึงสามปีโดยไม่ได้ใช้คนนอกสกุลแม้แต่คนเดียว” ซั่งกวนฮ่าวเดินไปหน้าซุ้มประตูพลางเล่าว่า “ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เพื่อจะสร้างซุ้มประตูและสิงโตหินนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง บรรพบุรุษผู้หนึ่งของตระกูลซั่งกวนใช้เวลาร่วมทศวรรษ ติดตามร่ำเรียนกับช่างแกะสลักหิน จนสร้างซุ้มประตูและสิงโตหินนี้ได้ด้วยฝีมือตัวเอง ซึ่งยืนตระหง่านอยู่ที่นี่มาหลายสหัสวรรษแล้ว” 

 

 

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังอย่างเงียบเชียบ มิได้เอ่ยพูด เพราะรู้ว่าซั่งกวนฮ่าวกำลังเล่าประวัติและธรรมเนียมของตระกูลซั่งกวนให้ตนฟัง 

 

 

“ยังมีหินศิลาจารึกที่ไม่มีตัวอักษรใดๆ บนแผ่นนี้ เป็นศิลาจารึกที่ไร้ตัวอักษร บรรพชนแต่โบราณของตระกูลซั่งกวนสร้างขึ้นไว้ที่นี่กับมือ ว่ากันว่าในตอนนั้นเขากล่าวมาคำหนึ่งว่า ‘ถ้าต้องการยืนเป็นพันปี อนุชนรุ่นหลังจะตัดสินเอง’ เราจึงขนานนามมันว่าศิลาจารึกบรรพบุรุษ เมื่อได้เห็นศิลาจารึกก็ประหนึ่งได้พบบรรพบุรุษ” ครั้นก้าวเข้าไปในซุ้มประตู เดินเข้าไประยะหนึ่ง ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีหินศิลาจารึกแบนๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง หลังจากซั่งกวนฮ่าวโค้งคำนับต่อหินศิลาจารึกอย่างเคารพนบนอบแล้วก็กล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสีหน้าท่าทางตามปกติ 

 

 

เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง คุกเข่าลงตรงหน้าศิลาจารึก น้อมคำนับแล้วเอ่ยว่า “ตระกูลเยี่ยนขอคารวะบรรพบุรุษ” 

 

 

เมื่อนางคารวะเสร็จสรรพ จึงลุกขึ้นไม่ได้พูดจา แต่กลับไปหาซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยด้วยรอยยิ้มพรายบนใบหน้า สองพ่อลูกสบตากัน แล้วค่อยๆ เดินต่อไป 

 

 

ถนนสายนี้เต็มไปด้วยทัศนียภาพแปลกตาไปทุกหนทุกแห่ง นี่คือต้นแปะก๊วยที่บรรพชนบางท่านปลูกไว้ด้วยมือตัวเอง ส่วนนั่นคือคำจารึกที่บรรพบุรุษบางท่านสร้างทิ้งไว้ ศาลาของที่นี่เคยเป็นที่พำนักของบรรพชนบางท่านไว้พักผ่อน แท่นหินตรงนั้นก็มีการระลึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรของบรรพบุรุษบางท่านไว้ด้วย…ทุกๆ สามถึงห้าร้อยเมตร จะมีสิ่งของบางอย่างที่มีความหมายแตกต่างกันออกไปตั้งอยู่ ซั่งกวนฮ่าวอธิบายแจกแจงทีละอย่าง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังด้วยความเคารพ แล้วพบกับที่แห่งหนึ่งซึ่งซั่งกวนฮ่าวและซั่งกวนเจวี๋ยแสดงการคำนับก้มลงกราบด้วยความนอบน้อมอย่างไม่อิดออดแม้แต่น้อย 

 

 

ในขณะนี้มีกระต่ายป่าโผล่ขึ้นมาจากพงหญ้าเป็นครั้งคราว ไก่ฟ้ากระพือปีกบินไปมา ฝูงวิหคเหินร่อนฉวัดเฉวียนในป่าอย่างกะทันหัน ต้นสนพลิ้วไหวไปมาระหว่างกิ่งก้านของต้นไม้ นั่นหมายความว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ได้รับการอนุรักษ์ดูแลอย่างดีเยี่ยม และ…เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบหัวเราะ สงสัยว่าจะมีคนซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้? 

 

 

หลังจากเดินมาได้หนึ่งชั่วยามครึ่ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็มองเห็นเรือนพำนักบนภูเขาอยู่ตรงหน้าท่ามกลางหมู่แมกไม้อยู่รำไร แม้จะไม่เหนื่อยมาก แต่ก็ทำให้นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกยกใหญ่ ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง 

 

 

ตรงหน้าเรือนพำนัก นอกจากซั่งกวนจิ่นแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนอีกสองคนที่อายุไล่เลี่ยกับเขา อยู่ในชุดคล้ายกัน อาจเป็นพ่อบ้านของเรือนพำนักอวี้ฉิงแห่งนี้ แน่นอนว่าซั่งกวนเจวี๋ยแนะนำสั้นๆ ว่าชื่อซั่งกวนอี้ ส่วนอีกคนหนึ่งชื่อซั่งกวนซื่อล้วนเป็นพ่อบ้านใหญ่ของเรือนพำนักอวี้ฉิง เยี่ยนมี่เอ๋อร์เรียกให้เกียรติว่าท่านลุงด้วยความเคารพ 

 

 

“สะใภ้ใหญ่เดินขึ้นมาตลอดทาง ลำบากหน่อยนะขอรับ” ซั่งกวนอี้ต้อนรับทั้งสามคนเข้าไปในเรือนพำนัก ท่าทางดูสงบเสงี่ยมและสุภาพ แต่เจือด้วยความภาคภูมิใจบางๆ พลางกล่าวว่า “เชิญสะใภ้ใหญ่พักผ่อนตามสบาย เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยเข้าไปกราบไหว้ศาลบรรพชนนะขอรับ” 

 

 

“รบกวนท่านลุงอี้แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างสุภาพ นางเต็มไปด้วยคราบสกปรกและเหงื่อไหลไคลย้อยทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งกระเซิงเล็กน้อยจึงควรทำความสะอาดให้เรียบร้อย 

 

 

“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้ากับสาวใช้ข้างกายสะใภ้ใหญ่ช่วยกันปรนนิบัติรับใช้” ซั่งกวนอี้สั่งการสาวใช้คนหนึ่ง เป็นสาวใช้ใหญ่อายุสิบห้าสิบหกปีที่ดูฉลาดและเอาการเอางานดี 

 

 

ม่านเหอกับม่านเหลียนพยุงเยี่ยนมี่เอ๋อร์เล็กน้อย ด้วยคำแนะนำของฮุ่ยเอ๋อร์ จึงหันเดินไปในทิศทางเรือนหลังเล็ก มีสาวใช้อยู่ในนั้นแล้วสี่ห้าคน เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้ามา ต่างก็น้อมคารวะทักทายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความนอบน้อม 

 

 

“สะใภ้ใหญ่ สิ่งของจำเป็นทั้งหมดตระเตรียมไว้พร้อมสรรพแล้ว เชิญสะใภ้ใหญ่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเอ๋อร์พูดด้วยความเคารพหลังจากถามสาวใช้หลายคนจนแน่ใจว่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว 

 

 

“อื้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ด้วยการดูแลของม่านเหอกับม่านเหลียน หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ไปที่ห้องนอนในเรือนเล็ก 

 

 

ที่นี่ตกแต่งค่อนข้างเรียบง่ายทว่าไม่ได้ธรรมดาสามัญเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเผยให้เห็นเสน่ห์และความหรูหราสุดจะพรรณนาออกมาได้อีกด้วย 

 

 

“สะใภ้ใหญ่ บ่าวได้รับคำสั่งแต่งตัวให้กับสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” แม่นมเฒ่าในวัยประมาณห้าสิบต้นๆ ที่ดูมั่งคั่งได้รออยู่ในห้องนอน หลังจากพบเยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้วก็โค้งคำนับน้อยๆ อธิบายจุดประสงค์ที่มาของนาง 

 

 

“แต่งตัวให้ข้า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองนางอย่างค่อนข้างสงสัย เหลือบมองมือทั้งคู่ที่ได้รับการดูแลอย่างดี มี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ใครส่งเจ้ามา?” 

 

 

“พ่อบ้านอี้เจ้าค่ะ” ในดวงตาของแม่นมเฒ่าเป็นประกายด้วยความพินิจพิเคราะห์ ไม่ได้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพอย่างที่บ่าวรับใช้ควรจะพึงมีเลย 

 

 

“แม่นมโปรดกลับไปหาพ่อบ้าน บอกว่าข้าได้รับน้ำใจของเขาแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเบาๆ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีเช่นนี้ ในวัยห้าสิบหกสิบปูนนี้ยังมีมือที่เรียบเนียนดุจหยกจะเป็นแม่นมที่มารับใช้คนอื่นได้อย่างไร? จะหาคนมาหยั่งเชิงก็ไม่มองหาคนที่น่าเชื่อถือกว่านี้หน่อย พวกเขาออกจะดูถูกตัวนางเองมากเกินไปกระมัง 

 

 

แม่นมเฒ่าตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนไม่คาดคิดว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงแล้ว จึงแต่งหน้าให้กับนางอย่างชำนาญ ม่านเหอก็เกล้าผมแบ่งเป็นมวยทั้งสองข้างชี้สูงออกไปคล้ายกับเทพเซียนที่โบยบินให้นางอย่างระมัดระวัง นางกำจัดความเหนื่อยล้าและดูมีกำลังวังชามากขึ้น 

 

 

“ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้ากลับไปรายงานนายท่านและนายน้อย บอกว่าข้าแต่งตัวเสร็จแล้ว รอคำสั่งอยู่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดกับฮุ่ยเอ๋อร์อย่างสุขุมโดยไม่สนใจแม่นมเฒ่าที่ยังคงตรวจสอบตัวนางเองอยู่ 

 

 

ครั้นชำเลืองมองแม่นมเฒ่าเล็กน้อยแวบหนึ่งก็เห็นนางพยักหน้าที่แทบจะมองไม่เห็น ฮุ่ยเอ๋อร์ยิ้มตอบแล้วออกไป จู่ๆ ในห้องก็เงียบลง ได้ยินเสียงหายใจของทั้งสองสามคนอย่างชัดเจน 

 

 

“สะใภ้ใหญ่ เหตุใดพวกท่านมาช้าอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ?” ม่านเหลียนไม่สามารถทนต่อบรรยากาศที่น่าเบื่อเยี่ยงนี้ได้ จึงเอ่ยพูดคุยด้วยรอยยิ้มแห้ง ทำลายความอุดอู้และความเงียบงันในห้อง 

 

 

“ถ้าข้าเดินเร็ว พอเดินไปได้ครึ่งทางข้าจะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าวว่า “นายท่านและนายน้อยต้องดูแลข้า จึงตั้งใจชะลอฝีเท้า เพื่อให้ข้าเดินถนนบนภูเขาแบบนี้ได้ มันเป็นเรื่องที่แย่มากพอดู เจ้าจะให้ข้าวิ่งมาหรือ?” 

 

 

“สะใภ้ใหญ่เดินขึ้นมาได้ คาดไม่ถึงจริงๆ เลยเจ้าค่ะ” แม่นมเฒ่ารับลูกพูดต่อ “มีไม่กี่คนหรอกที่สามารถเดินบนภูเขาได้ดีขนาดนี้นะเจ้าคะ” 

 

 

นางรู้มากเสียจริง เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า “ตราบใดที่มีหัวใจและความเพียรพยายาม ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ม่านเหอ เจ้าไปชงชาให้ข้าสักกา เดินมานานขนาดนี้ เหน็ดเหนื่อยและกระหายน้ำมากด้วย” 

 

 

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” ม่านเหอยิ้ม ยกกาน้ำชาที่วางไว้ข้างๆ เป็นเวลานานขึ้นมาแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “นี่คือชาหลงจิ่งที่สั่งให้ชงเมื่อเช้า มันเย็นนิดหน่อย สะใภ้ใหญ่ดื่มแล้วจะช่วยแก้กระหายน้ำที่สุดเจ้าค่ะ” 

 

 

“ก็ดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า ชาเย็นชืดเล็กน้อยจะยิ่งช่วยดับกระหาย อย่างไรก็ตาม เมื่อมองแม่นมเฒ่าที่อธิบายสีหน้าไม่ถูกนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อยากรู้มากว่านางมีสถานะอะไรกันแน่? ทำไมถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่? เหตุใดจึงมีความเป็นปรปักษ์เล็กน้อยในสายตาเสมอ? 

 

 

“สะใภ้ใหญ่ นายท่านและนายน้อยพร้อมแล้ว เชิญสะใภ้ใหญ่ไปที่ห้องโถงใหญ่ คารวะบรรดาผู้อาวุโสแล้วค่อยไปที่ศาลบรรพชนเพื่อสักการะบูชาเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเอ๋อร์เข้ามารายงานอย่างเคารพด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยัดกายขึ้น ฮุ่ยเอ๋อร์นำทางไป ขณะที่ม่านเหอกับม่านเหลียนเบียดตัวกันออกจากห้องนอน ทิ้งแม่นมเฒ่าที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับไว้ในห้องนอน 

 

 

——————–