“ฮุ่ยเอ๋อร์ แม่นมผู้นั้นปกติก็คอยรับใช้แต่งตัวทำผมอยู่แล้วหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ลองกล่าวขึ้นมา “ข้างกายฮูหยินใหญ่มีแม่นมที่มีฝีมือเยี่ยมยอดไม่น้อยเลยจริงๆ!”
“เออ…อ๋อ ใช่เจ้าค่ะ!” ฮุ่ยเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าจู่ๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะถามถึงแม่นมผู้ที่คล้ายจะไม่สนใจนางตั้งแต่แรกหลังจากตะลึงไปเล็กน้อย ก็พูดเออออไป
“นางดูเหมือนจะอายุไม่แก่มาก น่าจะประมาณหกสิบแล้วกระมัง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับสงสัยในอายุของแม่นมเฒ่าเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “แม่นมฉินข้างกายข้าเทียบกับนางแล้ว ดูจะมีอายุมากกว่าเสียอีก”
“เจ้าค่ะ” ฮุ่ยเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิดก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อายุครบหกสิบปีพอดีเจ้าค่ะ ปีที่แล้วเพิ่งจะจัดงานวันเกิดครบรอบหกสิบปีไป”
แม่นมผู้หนึ่งก็สามารถจัดงานครบรอบหกสิบปีได้? อีกทั้งยังเป็นคนที่ดูคล้ายกับอายุห้าสิบ ดูแลบำรุงตนเองเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเป็นแม่นมที่มีความอยู่ดีกินดี? เพียงแต่เหตุใดนางจึงตั้งใจเข้ามาหาตน ทั้งมาพูดคุยกับตนเล่า? นางมีฐานะอย่างไรกันแน่?
จู่ๆ ฮุ่ยเอ๋อร์ก็พบว่าตนเองกล่าวผิดไป รีบกล่าวเสริม “แม่นมที่มีอายุยืนเช่นนี้นับว่าพบได้น้อย พวกเจ้านายล้วนแต่เคารพรักและเมตตา ดังนั้นจึงมอบพวกเหล้าสุราให้สาวใช้นำไปอวยพรให้แก่นาง”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มราบเรียบ “ปีก่อนในยามที่แม่นมฉินอายุครบหกสิบปี พวกเราก็อวยพรวันเกิดให้นางอย่างคึกคักเช่นกัน นางนั้นดีใจจนยิ้มไม่หยุดเสียทีเดียว!”
“สะใภ้ใหญ่ ถึงห้องโถงหลักแล้วเจ้าค่ะ” ฮุ่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างโล่งใจทันที “พวกบ่าวไม่อาจเข้าไปในห้องโถงหลักได้ ขอสะใภ้ใหญ่เข้าไปเพียงลำพังนะเจ้าคะ”
ห้องโถงหลัก? ในที่สุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เข้าใจว่าเหตุใดจึงได้มีชื่อที่แปลกประหลาดขนาดนี้ นั่นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนกำแพงกลางห้องนั้นเขียนตัวอักษรคำว่า ‘จง’ (ซื่อสัตย์) และ ‘อี้’ (ชอบธรรม) ซั่งกวนฮ่าวนั่งอยู่ตรงกลาง ส่วนซั่งกวนเจวี๋ยนั่งอยู่ด้านขวาของเขา ที่นั่งเป็นแถวทางขวาคือเหล่าผู้อาวุโสสิบสองคนที่มีอายุประมาณหกสิบปี บ้างก็ดูอ่อนโยนอบอุ่น บ้างก็ดูหนักแน่นภูมิฐาน บ้างก็แข็งกร้าวหยาบกระด้าง…มีลักษณะโดดเด่นแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือความน่าเกรงขามที่ทำให้คนรู้สึกหวั่นเกรง เพียงแต่บางคนก็เป็นดั่งคมในฝัก บางคนก็เผยออกมาให้เห็นชัดเจนเลยเท่านั้น ช่างคล้ายกับสามศาลชั้นสูง[1]ที่ร่วมกันสืบคดีอย่างไรอย่างนั้น
ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ลอบเต้นตึกตักอย่างเงียบเชียบ แต่ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือแววตาก็ล้วนเผยความนอบน้อมและอ่อนโยนออกมา ก่อนจะทำความเคารพซั่งกวนฮ่าวที่อยู่กลางห้องโถงด้วยความนับถือเป็นอันดับแรก จากนั้นก็คำนับเหล่าผู้อาวุโสทั้งสิบสองที่ใช้สายตาลอบมองตนอย่างพินิจ
“ดูท่าแล้วจะเป็นคนที่รู้ความและอ่อนโยนผู้หนึ่ง แต่ว่าหากมีเพียงความอ่อนโยนและรู้ความนั้นย่อมใช้ไม่ได้ ผู้ที่จะมาเป็นนายหญิงตระกูลซั่งกวนไม่อาจเป็นคนที่บอบบางรังแกได้ง่าย ยามที่ควรจะแข็งกร้าวก็ควรจะแข็งกร้าวจึงจะถูก” ผู้อาวุโสที่นั่งในแถวคนที่สี่เป็นคนกล่าวขึ้นก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ชอบใจเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถึงขนาดนั้น
“ข้าน้อมรับคำสั่งสอนของผู้อาวุโส!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบกลับไปอย่างนอบน้อม ท่าทีไม่เปลี่ยนไปจากเดิมแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสสี่ ไม่อาจพูดเช่นนี้ได้!” ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนๆ นั้นเอ่ยปากขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงดังก้อง คล้ายกับเป็นคนเสียงดังโดยธรรมชาติ กล่าวทั้งเผยยิ้ม “เป็นหญิงสาวต้องนุ่มนวลอ่อนหวานเสียหน่อยจึงจะดี ไม่อาจจะเหมือนหลานสาวของเจ้าที่ดื้อรั้นไร้กฎเกณฑ์ผู้นั้น เอาแต่ดุดันตีฟันเก่ง เป็นผู้หญิงห้าวหาญเช่นนั้น ใครจะกล้าไปสู่ขอนาง”
“ผู้หญิงนั้นต้องดุดันหน่อยจึงจะไม่เสียเปรียบ ข้าว่าเจ้าสี่นั้นพูดถูก” ผู้ที่นั่งอยู่รองสุดท้ายเอ่ยคัดค้านความคิดเห็น เพียงแต่เมื่อมองรูปร่างของเขา ก็ยากจะพูดได้ว่าในบ้านก็มีหลานสาวลิงป่าที่แต่งไม่ออกอยู่เช่นกัน
“เจ้ามีความเห็นกับปัญหานี้อย่างไร สะใภ้ใหญ่?” ผู้อาวุโสใหญ่ที่นั่งอยู่ลำดับที่หนึ่งเอ่ยปากทั้งยิ้มๆ เผยท่าทีใจดีเปี่ยมด้วยเมตตา เพียงแต่…เมื่อเห็นเขายิ้มขึ้นมา รอยย่นที่คล้ายกับจิ้งจอกนั้นก็ทำให้รู้แล้วว่าเป็นคนที่ไม่ได้ธรรมดาดั่งที่ตาเห็น
“ผู้หญิงนั้นอ่อนโยนจึงจะดี!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าอย่างไรตนก็ไม่อาจเผยภาพที่ดุดันและแข็งกร้าวออกไปได้ ทั้งยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสร้งแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา กล่าวอย่างเยือกเย็น “ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ชายทำงานนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลงานในตระกูล ผู้ชายอยู่ด้านนอกต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค เรื่องที่ต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกันก็ย่อมประสบพบเจอมามาก หากกลับไปที่บ้าน เจอกับภรรยาที่หลักแหลมและเก่งกาจ ไม่อาจผ่อนคลายได้สักวินาทีเดียว แล้วการแต่งงานจะมีประโยชน์อันใด!”
“เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือผู้หญิงควรจะอ่อนแอบอบบาง?” ผู้อาวุโสใหญ่จงใจพูดตีความบิดเบือน กล่าวยิ้มๆ “ข้าก็ชอบผู้หญิงที่นุ่มนวลอ่อนโยน เจอสถานการณ์แบบใดก็ปรับตัวเองให้โอนอ่อนไปตามนั้น ไม่อาจจะแข็งกร้าวเกินไป!”
“หญิงสาวนั้นอ่อนโยนโดยธรรมชาติ ย่อมไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งแบบผู้ชาย ขอเพียงแค่ไม่อ่อนแอก็เพียงพอแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับเห็นด้วย และก็คล้ายกับอธิบายด้วยเช่นกัน
“อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ!” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะลั่น “เพียงแต่ไม่รู้ว่าสะใภ้ใหญ่จะสามารถทำถึงจุดนี้ได้มากสักเท่าใด?”
“ทางไกลทำให้รู้กำลังม้า กาลเวลาทำให้รู้ใจคน หากผู้อาวุโสใหญ่อยากจะรู้ถึงจุดนี้ ก็ต้องค่อยๆ เฝ้าดูแล้ว” น้ำเสียงของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังคงนุ่มนวล ทว่ากลับไม่มีท่าทีโอนอ่อนและหลบหลีกแม้แต่น้อย
“ไม่เลว! ไม่เลว!” ผู้อาวุโสหกกล่าวชม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจวี๋ยเอ๋อร์มีวาสนาดี สามารถแต่งภรรยาที่รูปลักษณ์งดงามและพูดเก่งเช่นนี้ได้! ผู้อาวุโสใหญ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้ตระกูลเยี่ยนหรอกหรือ ใช้โอกาสนี้ ให้สะใภ้ของเจวี๋ยเอ๋อร์แสดงความประสงค์ออกมา ดูว่านางมีอะไรที่ขาดเหลือหรือไม่!”
“ใช่แล้ว!” ผู้อาวุโสสิบกล่าวรับ “ข้าว่าของขวัญที่เจ้าเตรียมไว้ยังดูขี้เหนียวไปอยู่บ้าง ควรจะเพิ่มให้มากขึ้นหน่อย มิเช่นนั้นก็จะขายหน้าเจวี๋ยเอ๋อร์แล้ว”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มบาง คล้ายกับไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดคุยอะไร ทั้งยังทำราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับนางแม้แต่น้อย เหมือนนางเป็นเพียงผู้ที่รับชมอยู่ด้านข้างคนหนึ่งเท่านั้น
“ก็ใช่!” ผู้อาวุโสใหญ่คล้ายกับถูกพวกเขาพูดกล่อมจนสำเร็จ “ข้ากับผู้อาวุโสทุกท่านได้ปรึกษากัน เตรียมของขวัญให้ตระกูลเยี่ยน เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าเข้ามาเอาไปให้สะใภ้ใหญ่ ดูว่ามีอะไรขาดเหลือหรือไม่!”
“อย่าเลยดีกว่า” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ขอผู้อาวุโสตัดสินใจตามสมควรเถิด”
“ทำไมเล่า? เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าของขวัญที่มอบให้ตระกูลเยี่ยนคืออะไร?” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
คงอยากจะเห็นท่าทีของนางสินะ! เยี่ยนมี่เอ๋อร์คลี่ยิ้มเล็กน้อย เผยท่าทีสดใส “เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดจากด้านใด ข้าล้วนไม่ควรสอดมือยุ่งให้มากเรื่อง สำหรับตระกูลเยี่ยน ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูห้าแห่งตระกูลเยี่ยนอีกต่อไปแล้ว ผู้หญิงที่แต่งงานก็คล้ายกับน้ำที่ถูกสาดออกไป เพียงแต่ข้านั้นเป็นเพียงสะใภ้ที่เพิ่งจะแต่งเข้าตระกูลมา ยังไม่อาจมีฐานะหรือตำแหน่งที่จะสอดมือยุ่งเกี่ยวได้ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ตระกูลเยี่ยนและตระกูลซั่งกวนยังคงมีความห่างชั้นกันอยู่มาก แม้ว่าข้าจะคุ้นชินกับการใช้ชีวิตในตระกูลซั่งกวนแล้ว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีความสามารถและสายตาที่กว้างไกลดั่งเช่นที่ฐานะสะใภ้ใหญ่พึงมีได้ หากยุ่งไม่เข้าเรื่อง ก็อาจจะเป็นการเหยียบเรือสองแคม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากจะเพิ่มเรื่องให้ยุ่งยากมิสู้ลดเรื่องให้น้อยลง เก็บไว้ในใจไม่ดีกว่าหรือ”
“ได้ยินว่าความสัมพันธ์ของสะใภ้และคนในตระกูลเยี่ยนล้วนไม่ดี ดูท่าแล้วเรื่องนี้จะเป็นความจริง” ผู้อาวุโสลำดับที่เก้าเผยท่าทีมืดมนอยู่บ้าง เปิดปากออกมาก็ไม่ใช่คำพูดที่น่าฟังเท่าไร “พอได้แต่งออกไป ก็ไม่สนใจเรื่องของพ่อแม่ตัวเองแล้ว ไม่กลัวว่าจะทำให้พ่อแม่พี่น้องผิดหวังหรืออย่างไร?”
“ลูกสาวเมื่ออยู่บ้านต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานออกไปก็ต้องเชื่อฟังสามี ข้าเพียงแต่ปฏิบัติตามหลักสามเชื่อฟังคุณธรรมสี่ประการ[2]เท่านั้น! เป็นสิ่งที่ท่านพ่อท่านแม่คอยพร่ำสอนในตระกูลอยู่ตลอด หากไม่เชื่อฟังจะทำให้ท่านพ่อเสียหน้าได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขบขันอยู่ในใจ พวกเขาล้วนกังวลว่าได้แต่งหนูตะเภาตัวหนึ่งเข้ามาในตระกูลอย่างนั้นหรือ ผู้ที่คอยพยายามกอบโกยผลประโยชน์ให้ตระกูลตนเอง ดังนั้นไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ ล้วนต้องลองหยั่งเชิงก่อนค่อยว่ากัน?
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าไม่คำนึงถึงตระกูลตนเอง นึกถึงแต่ตระกูลของสามีเท่านั้น? ถ้าหากตระกูลเยี่ยนและตระกูลซั่งกวนเกิดความบาดหมางกันก็จะคำนึงถึงประโยชน์ของตระกูลซั่งกวนก่อนอย่างนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสอันดับที่เก้ากล่าวอย่างดุดัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขา หรือว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์คิดไปเอง มักจะรู้สึกว่าในยามที่เขาพูด ทั่วทั้งห้องโถงล้วนแต่แผ่บรรยากาศที่เยือกเย็นออกมาอยู่บ้าง
“ผู้อาวุโสเก้า คำพูดนี้กล่าวผิดแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบนิ่ง ย้อนถามกลับ “ผู้อาวุโสเก้าคงทราบว่าตระกูลเยี่ยนเป็นตระกูลพ่อค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งในอู๋โจวเท่านั้น แม้แต่ตำแหน่งตระกูลเก่าแก่อันดับล่างที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้ แล้วตระกูลเยี่ยนนี้จะมีความบาดหมางกับตระกูลซั่งกวนได้อย่างไร? ข้าคิดว่าผลประโยชน์ที่มหาศาลในสายตาตระกูลเยี่ยน สำหรับตระกูลซั่งกวนแล้วก็คงเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น! คนของตระกูลซั่งกวนจะเกิดความบาดหมางกับตระกูลเยี่ยนเพราะเรื่องผลประโยชน์เล็กๆ ที่ไม่สลักสำคัญเช่นนั้นได้เชียวหรือ?”
ผู้อาวุโสเก้าพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ใบหน้าที่เดิมทีก็มืดมนอยู่แล้ว ยิ่งมืดมนขึ้นไปอีกจนทำให้คนอยากจะพากันปลีกตัวถอยห่าง แต่เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับทำคล้ายกับว่ามองไม่เห็นเสียอย่างนั้น เผยท่าทีสงบเยือกเย็น แม้แต่หนังตาก็ไม่กระตุกสักนิด
“สะใภ้ใหญ่ช่างกล้าหาญเสียจริง!” ผู้อาวุโสห้าหัวเราะลั่น “ยามที่เพิ่งเข้าตระกูลมาได้ยินมาว่าสะใภ้ใหญ่นั้นอ่อนโยน แม้แต่ตอนยกน้ำชาก็ล้วนกลัวจนตัวสั่น คาดไม่ถึงว่าเวลาไม่ถึงสองเดือน จะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้!”
“ก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้วจริงๆ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ต่อบทสนทนาทั้งเผยยิ้ม “ในยามที่เพิ่งเข้าตระกูล เข้ามาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย พบเจอกับผู้คนที่แปลกหน้า จะไม่หวาดหวั่นเหมือนกำลังเหยียบอยู่บนน้ำแข็งบางๆ ได้อย่างไร? ยามนี้ได้ผ่านมา แล้ว เวลาที่ยาวนานเช่นนั้น ได้รู้ถึงความเมตตาของแม่สามี ความใจกว้างของพ่อสามี ความเอาใจใส่ของสามี การปกป้องจากน้องๆ และความเคารพนับถือจากท่านลุง หากยังคงใช้ท่าทีราวกับพบเจอกับศัตรูนั้น จะไม่น่าขันไปหน่อยหรือ? และอีกอย่าง หากเป็นคนเช่นนั้น จะยังคู่ควรกับตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนอย่างนั้นหรือ?”
ช่างเป็นคนที่มีฝีปากคล่องแคล่วเสียจริง! แววตาของผู้อาวุโสใหญ่ประกายความชื่นชมและใจชื้นขึ้นมาบ้าง พยักหน้าทั้งเผยยิ้ม “ดูท่าพวกเราคงจะกังวลมากไป เอาแต่เป็นห่วงว่าสะใภ้ใหญ่จะรับหน้าที่นี้ได้หรือไม่!”
“มี่เอ๋อร์นั้นฉลาดเหนือคน ทั้งยังเป็นคนที่เห็นประโยชน์ของส่วนรวม พวกท่านอาวุโสก็วางใจเสียเถิด!” ซั่งกวนฮ่าว
กล่าวรับช่วงต่อคำชมของผู้อาวุโสใหญ่ จากนั้นก็กล่าวทั้งยิ้มๆ “มี่เอ๋อร์ ผู้อาวุโสใหญ่เป็นผู้ที่มีความอาวุโสที่สุดในตระกูลซั่งกวน ทั้งยังเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุด ทั่วทั้งตระกูลซั่งกวนล้วนนับเป็นผู้น้อยต่อผู้อาวุโสใหญ่ หากจะพูดถึงลำดับอาวุโส แม้แต่ข้าที่พบผู้อาวุโสใหญ่ล้วนต้องเรียกว่าท่านปู่!”
“นอกจากรุ่นที่สามของตระกูลไปก็จะไม่พูดลำดับอาวุโสแล้ว มิเช่นนั้น หลังจากเจ้าที่เป็นผู้ดูแลตระกูลไปถึงเรือนพำนักอวี้ฉิง พบเจอกับพวกคนหนุ่มสาวมากมายก็ยังต้องเรียกว่าท่านลุง จะมีความน่าเกรงขามอีกได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเสียงดัง ในคำพูดก็ยังคงแนะนำเป็นนัยอยู่
“ฮ่าวเอ๋อร์ เจวี๋ยเอ๋อร์!” ผู้อาวุโสแปดเรียกทั้งเผยยิ้ม “ข้าเอาแต่คาดหวังลูกชายที่ไม่เอาไหนพวกนั้นมอบหลานสาวให้ข้า ให้แต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์ เสียดายที่ไม่อาจทำให้ข้าสมหวังได้เลย ข้าเห็นว่าสะใภ้ของเจวี๋ยเอ๋อร์นั้นคล่องแคล่วเสียทีเดียว หน้าตากิริยาก็งดงาม หลังจากจบเรื่องวันนี้แล้ว ถือเอาข้าเป็นปู่บุญธรรม ก็นับว่าทำให้ข้าสมปรารถนา พวกเจ้าว่าอย่างไร?”
“ผู้อาวุโสแปด เรื่องนี้ยังต้องค่อยๆ ปรึกษากันภายหลัง!” ผู้อาวุโสใหญ่ถลึงตามองเขาไปที ดึงท่าทีที่ยินดีปรีดาของเขากลับไป
ท่านนี้ก็คือปู่เถาที่เคยได้ยินมาจากซั่งกวนเจวี๋ย? ดาวมารแห่งยุทธภพที่มีชื่อเสียงผู้นั้นหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์เบนสายตามองไปยังซั่งกวนเจวี๋ย เมื่อเห็นเขาผงกศีรษะเล็กน้อย ก็รู้ว่าบางทีอาจจะเป็นตอนที่นางอาบน้ำ ซั่งกวนเจวี๋ยก็ได้ทักทายกับปู่เถาคนนี้จึงได้เกิดเรื่องนี้ออกมากระมัง!
“ข้าไม่ได้พูดว่าจะรับตอนนี้เสียหน่อย!” ผู้อาวุโสแปดกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร
“เอาเถิด ใช้เวลาไปไม่น้อยแล้ว พวกเราก็ควรออกเดินทางไปศาลบรรพชนได้แล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ถลึงตามองเขาไปอีกครั้ง “เจวี๋ยเอ๋อร์ พวกเจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถิด เจ้าบอกธรรมเนียมการเซ่นไหว้กับสะใภ้ใหญ่เสีย อย่าให้มีเรื่องผิดพลาด”
“เข้าใจแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยหยัดกายขึ้นด้วยความนอบน้อม ผู้อาวุโสใหญ่เป็นฝ่ายเดินจากไปคนแรก ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เดินออกไปเช่นกัน ไม่นานทั่วทั้งห้องโถงก็เหลือเพียงคนสามคนเท่านั้น
“มี่เอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีมาก พยายามอย่างถึงที่สุดจริงๆ!” ซั่งกวนฮ่าวผงกศีรษะอย่างชื่นชม กล่าวให้กำลังใจก่อนจะเดินรั้งท้ายจากไป ทิ้งเพียงสองสามีภรรยาให้อยู่ด้วยกัน
—————————————
[1] สามศาลชั้นสูง สามหน่วยงานในสมัยโบราณที่ร่วมกันสืบสวนในคดีที่สำคัญ ประกอบด้วย กรมอาญา ศาลต้าหลี่ และสำนักตรวจการ
[2] หลักสามเชื่อฟังคุณธรรมสี่ประการ หลักจริยธรรมที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของสตรีในสมัยโบราณ หลักสามเชื่อฟังได้แก่ หนึ่ง หญิงที่ยังไม่แต่งงานต้องเชื่อฟังบิดา สอง หญิงที่แต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี สาม หญิงที่สามีเสียชีวิตให้เชื่อฟังบุตรชาย คุณธรรมสี่ประการ ได้แก่ หนึ่ง ประพฤติตนให้อยู่ในกรอบระเบียบที่ดีงาม สอง มีวาจางดงาม สาม มีรูปลักษณ์หน้าตาสะอาดสะอ้าน สี่ เชี่ยวชาญในงานบ้านงานเรือน