ตอนที่ 125 ผู้ที่มีฐานะไม่ชัดเจน

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“มี่เอ๋อร์ เจ้าทำได้ดีจริงๆ!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มขยับเข้าไปใกล้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ยื่นมือเข้าไปกุมมือเล็กนั้นไว้ ทว่ากลับพบว่ามือนางนั้นเปียกชื้นไปหมด ที่แท้ท่าทีสบายๆ ของนางก็คงเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น

“ผ่านไปอีกด่านแล้วใช่หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หากพูดว่าไม่ตื่นเต้นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ สิบสองคนนั้นล้วนเป็นบุคคลที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว กุมอำนาจในสถานการณ์สำคัญมามากมาย แม้ว่าจะวางมือแล้ว แต่ความน่าเกรงขามและบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวพวกเขากลับไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับได้ หากไม่ใช่ว่าบีบมือไว้ตลอดเวลา พยายามเรียกขวัญกำลังใจให้กับตนเอง รวมถึงความห่วงใยจากซั่งกวนเจวี๋ย แม้ว่านางจะสามารถยืดหยัดไว้ได้ แต่ก็คงจะผ่านไปไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

“ใช่ ผ่านไปอีกด่านแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยมองใบหน้าที่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างสงสาร “อีกเดี๋ยวพวกเราต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่ศาลบรรพชน มี่เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้กังวล ในยามที่เซ่นไหว้จะมีผู้ที่ดำเนินพิธีคอยกล่าวขั้นตอนต่างๆ พวกเราก็เพียงทำตามคำพูดของเขาก็พอแล้ว ใช้เวลาไม่นานนักก็เสร็จสิ้นแล้ว!”

“อื้ม!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ พยายามฟื้นฟูท่าทีของตนเองให้กลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด นางไม่อาจมาล้มกลางคันในด่านสุดท้าย ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงจึงจะถูก

“หลังจากกราบไหว้เสร็จแล้วก็จะทานอาหารที่เรือนพำนัก พอทานอาหารกลางวันเสร็จแล้วพักผ่อนสักหน่อยพวกเราก็เดินทางกลับเมืองกัน” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวอย่างง่ายๆ “ในเรือนพำนักยังมีคนในตระกูลอีกมากมาย พวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายเข้ามาทำความรู้จักกับเจ้า เจ้าก็อย่าได้ตกใจกลัวพวกเขาไป”

“พวกเขาน่ากลัวมากหรือว่าข้าเป็นคนขี้ขลาดกัน?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามยิ้มๆ แต่จู่ๆ ในใจก็ปรากฏภาพแม่นมที่เพิ่งพบเจอผู้นั้นขึ้นมา นางชะงักไปเล็กน้อย ใคร่ครวญว่าควรจะถามซั่งกวนเจวี๋ยดีหรือไม่

“เป็นอะไรไป?” ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นพุ่งความสนใจทั้งหมดไว้ที่ตัวของภรรยา จึงพบถึงความผิดปกติของนางได้อย่างทันที กล่าวอย่างกังวล “เหนื่อยมากใช่หรือไม่?”

“เหนื่อยมาก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบอย่างราบเรียบ “เหนื่อยทั้งกายและใจจริงๆ สามี เรือนพำนักอวี้ฉิงนั้นมีฮูหยินคนหนึ่งที่เพิ่งครบรอบหกสิบปีในปีที่แล้วไปใช่หรือไม่?”

ซั่งกวนเจวี๋ยตะลึงไป นึกถึงบุคคลที่มีฐานะพิเศษผู้หนึ่งขึ้นมา ใบหน้านั้นปรากฏความประหลาดใจและกังวลวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว “เจ้ารู้ได้อย่างไร? เป็นสาวใช้คนไหนที่พูดหรือทำให้เจ้าได้พบกัน?”

“หลังจากข้าอาบน้ำเสร็จ ในตอนที่กำลังหวีเผ้าสางผม ก็มีแม่นมผู้หนึ่งกล่าวอ้างว่าเข้ามาหวีผมให้ข้า ข้าดูจากลักษณะของนางแล้วย่อมเป็นฮูหยินผู้หนึ่งที่มีความอยู่ดีกินดี จึงปฏิเสธความปรารถนาดีของนางไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างรวบรัด “นางเอาแต่ใช้สายตาแปลกๆ มองพินิจข้า ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดใจ จึงลองถามฮุ่ยเอ๋อร์ดู ฮุ่ยเอ๋อร์บอกว่าเป็นแม่นมธรรมดาผู้หนึ่ง ปีที่แล้วเพิ่งจัดงานเลี้ยงวันเกิดครบรอบหกสิบปีไป ข้าจึงคิดว่า บางทีท่านอาจจะล่วงรู้ถึงฐานะของนาง”

“นางเป็นฮูหยินคนหนึ่งจริงๆ แต่ไม่ได้มีตำแหน่งหรือคุณสมบัติอันใดที่จะมามองพินิจ จับผิดเจ้าได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจนาง” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวทั้งขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ข้าจะคุยกับท่านพ่อ เขาจะจัดการเอง”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเรือนพำนักอวี้ฉิงนี้ดูลึกลับไปหมดทุกหนทุกแห่ง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างหยอกล้อ แม้ว่าจะไม่กระจ่างถึงฐานะของแม่นมเฒ่าผู้นั้นอย่างแน่ชัด แต่ก็รู้แล้วว่า คนผู้นั้นย่อมมีฐานะที่น่าลำบากใจจนทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยยากที่จะเปิดปากพูดเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างไรนางอย่าได้เค้นหาคำตอบจึงจะดีที่สุด

“แน่นอน ที่นี่คือเรือนพำนักอวี้ฉิงนะ” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มตอบ จากนั้นก็ครุ่นคิดอีกครั้ง ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ยังกังวลอยู่บ้าง “ลูกหลานของคนผู้นั้นอาจจะปรากฏตัวออกมา บางทีอาจจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังอยู่บ้าง เจ้าอย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็อย่าได้อ่อนข้อให้พวกเขาเช่นกัน!”

“ข้าเข้าใจแล้ว!”เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเข้าใจ “คนมากมายขนาดนี้ คนที่ยากจะหลีกเลี่ยงย่อมมีอยู่แล้ว ข้าจะรับมืออย่างระมัดระวัง ไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ แต่ก็จะไม่ให้พวกเขาฉกฉวยประโยชน์หรือเอาเปรียบอันใดได้เช่นกัน”

“ว่ากันตามนี้แหละ!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มทั้งพยักหน้า จากนั้นก็กล่าว “ปู่เถา ก็คือผู้อาวุโสแปด ข้าเคยได้พูดคุยกับเขาอย่างส่วนตัว เขาบอกว่าเพียงพบหน้าเจ้าก็รู้สึกโปรดปราณ เช่นนั้นย่อมต้องปกป้องเจ้า แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนที่คอยปกป้องให้ท้ายลูกหลานตนเอง หลังจากเสร็จพิธีกราบไหว้ เจ้ากับข้าก็เปลี่ยนคำเรียกขานเสีย ไม่ต้องใช้คำว่าผู้อาวุโสมาเรียกเขาอีกแล้ว”

“ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้ว่าซั่งกวนเจวี๋ยกำลังหาที่พึ่งพิงให้กับนาง ในใจรู้สึกยินดีกับการกระทำที่ใส่ใจนี้ของเขาเป็นอย่างมาก แต่เพราะเหตุนี้ก็ยังหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย ดูท่าแล้วเรือนพำนักอวี้ฉิงคงจะมีอะไรที่ซับซ้อนจริงๆ แม้แต่ซั่งกวนฮ่าวที่ป็นผู้นำตระกูลและคุณชายใหญ่ซั่งกวนเจวี๋ยล้วนไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เหล่าผู้อาวุโสย่อมมีความสามารถที่จะค้ำคอพวกเขาเป็นแน่

“อีกอย่าง ผู้อาวุโสสี่ เป็นคนที่นับว่าสนิมสนมกับพวกเรามากที่สุด รอพิธีกราบไหว้เสร็จแล้ว ท่านพ่อจะจัดการให้เจ้าไปเข้าพบเขาเพียงลำพัง คำนับยกน้ำชาให้เขา เรียกเขาว่าปู่สี่ก็พอแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค เยี่ยนมี่เอ๋อร์นึกไปถึงผู้เฒ่าที่ดูภูมิฐาน ทว่ากลับแผ่ความเกรงขามอย่างเรียบง่ายที่ทำให้คนไม่อาจมองข้ามไปได้ออกมา เขาและซั่งกวนฮ่าวยังมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน คาดว่าเขาคงจะเป็นพี่น้องกับปู่ของซั่งกวนเจวี๋ยคนนั้นที่ได้ล่วงลับไปแล้วกระมัง! คิดอย่างละเอียดอีกที ก็ดูเหมือนว่าจะมีผู้อาวุโสสามสี่คนที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงกัน ดูท่าแล้วคงล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสต้นตระกูลของตระกูลซั่งกวน และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพี่น้องกับปู่ของซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน

“ดีขึ้นมาไม่น้อยแล้วกระมัง?” ซั่งกวนเจวี๋ยเอาแต่มองดูท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาโดยตลอด เมื่อเห็นนางค่อยๆ ฟื้นคืนท่าทีจนกลับมาเป็นปกติ ก็กล่าวทั้งเผยยิ้ม “ถ้าหากไหวแล้ว พวกเราก็เข้าไปกันเถิด!”

———————————-

“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เหตุใดจึงเข้าไปพบสะใภ้ใหญ่?” เสียงคำรามที่ข่มความโมโหดังก้องสะท้อนไปในเรือนเล็กๆ แม้ว่าจะโมโหเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างระมัดระวัง

“ได้ยินว่านางงามล้ำเหนือผู้ใด ข้าจึงพลั้งบุ่มบ่ามไปพบ ไม่ได้มีความหมายอื่นใด!” หดเกร็งไปเล็กน้อย คล้ายกับคาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หญิงแก่รู้สึกเสียใจที่ตนเองหุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่อยู่บ้าง

“ไม่ได้มีความหมายอื่นใด? เจ้าคงจะไม่พึงพอใจเสียมากกว่า!” เขากระจ่างใจดีว่านางคิดจะทำอะไร พูดให้ถึงที่สุดแล้วก็คือไม่พอใจเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นตอนนี้ ล้วนไม่ยอมละทิ้งความรู้สึกไม่ยินยอมนั้นออกไป

“ข้าไม่พึงพอใจแล้วมันอย่างไรเล่า?” หญิงแก่ส่ายหัวอย่างมืดมน “ข้าล้วนเป็นคนที่อายุครบหกสิบปีแล้ว ไม่พอใจแล้วจะยังสามารถทำอะไรได้อย่างนั้นรึ? แม้อยากจะทำอะไร ข้าจะสามารถทำ…ข้าคิดว่านางไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร อย่างไรเจ้าก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้าไปดูพิธีกราบไหว้ที่ศาลบรรพชนเสียดีกว่า!”

“หากเจ้าสามารถทำได้ก็คิดอยากจะทำใช่หรือไม่?” คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาทั้งชีวิต คิดไปเองว่านางเป็นคนที่ใจดีมีเมตตามาโดยตลอด แต่เพราะว่าความน้อยเนื้อต่ำใจที่อยู่ลึกในกระดูก ทำให้นางจำต้องใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวเผชิญกับผู้คน แต่ว่า รอจนห่างไกลจากเรื่องราวและผู้คนที่กระทบกับทั้งสองคนแล้ว เขาจึงได้พบว่า ความน้อยเนื้อต่ำใจของนาง ได้กลายเป็นความคาดหวังที่สูงเกินเอื้อมและเจ็บปวดปเสียแล้ว แม้ว่าจะห่างออกมาไกลแล้ว กลับไม่อาจละทิ้งความชิงชังในใจไปได้

“ข้าในยามนี้เป็นเพียงคนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างก็เท่านั้น ยังจะสามารถคิดทำอันใดได้? คนอื่นอย่างน้อยที่สุดยังอาจจะมีความสุขกับการหยอกล้อลูกหลานได้ แต่ชั่วชีวิตของข้าไม่อาจสัมผัสถึงมันได้ ข้ายังจะสามารถทำอะไรได้อีก?” หญิงแก่ย้อนถามอย่างเจ็บปวด กลายเป็นคนที่อายุครบหกสิบปีแล้ว ครั้งหนึ่งความรักที่ร้อนแรงนั้นได้จืดจางลงไปราวกับสายน้ำที่ถูกชะล้างตามกาลเวลา ครั้งหนึ่งการกระทำต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่างที่ผ่านมาหลายปีนั้นได้สร้างบาดแผลให้กับหญิงสาวที่มีรอยยิ้มงดงามดั่งดอกไม้ ทำให้ไม่อาจยิ้มได้อย่างสุดหัวใจอีกตลอดกาล ครั้งหนึ่งทิวทัศน์นั้นเทียบไม่ได้กับความเงียบเหงาในยามชราเลย หากว่ายังมีโอกาสย้อนชีวิตกลับไปได้อีกครั้ง สิ่งที่นางปรารถนาก็เป็นแค่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ซ่าเอ๋อร์มีลูกสี่คน ไม่ใช่ว่าเจ้าเกลียดที่พวกเขาเสียงดัง จึงไม่ยอมจะเข้าใกล้พวกเขาหรอกรึ?” น้ำเสียงของชายชราอบอุ่นลงมาเล็กน้อย เขารู้ถึงความขื่นขมในใจนางดี ดังนั้นจึงได้ให้นางรับลูกบุตรธรรมผู้นั้นมาเลี้ยงภายใต้ชื่อของนาง

“สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เด็กของตระกูลซั่งกวน แต่เป็นเด็กที่สามารถสืบทอดเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าได้!” ฮูหยินเฒ่าสั่นศีรษะ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นที่ผ่านไปตามกาลเวลา “พวกเขาไม่อาจทำให้ข้าสัมผัสถึงความสุขระหว่างลูกหลานเช่นนั้นได้ ข้าไม่สามารถค้นพบเงาของลูกหลานในตัวของพวกเขาได้”

“เจ้า…” ชายชราถอดหายใจ เขาไหนเลยจะไม่รู้ว่าสิ่งที่นางเสียใจมากที่สุดคืออะไร นั่นก็เป็นความเสียใจของเขาเช่นกัน แต่บางเรื่องนั้นไม่อาจสมยอมได้ ความทะเยอทะยานและความปรารถนาของมนุษย์ล้วนไม่อาจเติมเต็มได้ตลอดกาล ถ้าหากเติมเต็มความปรารถนา ‘เล็กๆ’ ของนาง เช่นนั้นก็จะมีความปรารถนา ‘เล็กๆ’ ที่นับไม่ถ้วน หรือความปรารถนาที่ ‘ใหญ่ขึ้นมา’ อีกหน่อยเกิดขึ้นมา แทนที่จะให้เรื่องไปถึงขั้นไร้ทางที่จะจัดการ มิสู้ตัดขาดมันตั้งแต่ต้นเสีย

“นายท่าน ผู้อาวุโสใหญ่ได้เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงแผ่วเบาดังเข้ามาจากด้านนอก เห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวคนทั้งสองในห้องเป็นอย่างมาก

“เข้าใจแล้ว!” ชายชราตอบเสียงดังกลับไป แม้ว่าจะแก่จนหัวขาว แต่ก็ยังคงเปลี่ยนเสื้อผ้าได้อย่างคล่องแคล่ว มองหญิงแก่ที่ยังคงเศร้าสร้อยอยู่ ก็ใจอ่อนเล็กน้อย กล่าวปลอบใจ “ผ่านมาหลายปีแล้ว เจ้าก็อย่าได้คิดมากนักเลย!”

“ข้าอยู่เงียบๆ เดี๋ยวก็ดีเอง!” หญิงแก่ทอดถอนหายใจ

“ข้าไปล่ะ!” ชายชราส่ายหัว หมุนกายจากไป บางเรื่องก็มีเพียงตัวเองเท่านั้นที่จะสามารถดึงตัวเองให้หลุดพ้นออกมาได้ คนอื่นจะพูดมากมายเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี

—————————-