ตอนที่ 126 พิธีกราบไหว้

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

ศาลบรรพชนของตระกูลซั่งกวนตั้งอยู่ใจกลางเรือนพำนักอวี้ฉิง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่แน่ใจว่าที่นี่ก่อตั้งศาลบรรพชนก่อน แล้วจึงค่อยก่อสร้างเรือนพำนักอวี้ฉิงล้อมรอบ หรือว่าในยามที่สร้างเรือนพำนักอวี้ฉิง ก็ตั้งใจเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้สร้างศาลบรรพชนอยู่แล้ว

ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพาเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาถึงศาลบรรพชน ท่านซินแส ผู้อาวุโสทั้งสิบสองท่าน ซั่งกวนฮ่าว รวมถึงสมาชิกตระกูลซั่งกวนที่มีคุณสมบัติพอในการเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ก็ได้มาถึงอยู่ก่อนแล้ว รอเพียงคนทั้งสองที่มาใหม่เท่านั้น ซินแสเป็นชายชราที่หัวหงอกผมขาวผู้หนึ่ง ดูไม่ออกว่าอายุเท่าไรกันแน่ แต่บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยเหี่ยวย่น ทั้งเผยให้เห็นกระด่างดำของผู้สูงอายุอยู่เต็มผิวหนัง ดวงตาพร่ามัว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขามีอายุค่อนข้างมาก บนร่างของเขาสวมชุดพิธีการที่มีสีสันฉูดฉาดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยืนอยู่ทางด้านซ้ายของศาลบรรพชน ส่วนซั่งกวนฮ่าวและผู้อาวุโสทั้งสิบสองยืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าของศาลบรรพชน สิ่งที่ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แปลกใจก็คือ นอกจากซั่งกวนฮ่าวแล้ว ผู้อาวุโสทั้งหมดก็ล้วนแต่ใส่หน้ากากปีศาจที่ทำมาจากไม้ซึ่งมีรูปแบบเหมือนกันทั้งหมด

“จิตวิญญาณของผู้นำตระกูลรุ่นแรกจนถึงผู้นำคนที่สามร้อยยี่สิบหกล้วนสถิตอยู่ในศาลบรรพชนแห่งนี้ กฎของตระกูลซั่งกวน ไม่อาจให้ผู้หญิงเข้ามาในศาลบรรพชนได้ สะใภ้ใหญ่น้อมกราบตรงพรมวงกลมหน้าประตูนี้จะเหมาะสมที่สุด!” เขามองซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไปที นับว่าได้อธิบายทั้งชี้แนะไปด้วยเช่นกัน

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ไม่ได้กล่าวอะไร ในใจรู้สึกยินดีเสียยิ่งกว่ากระไร ผู้นำตระกูลสามร้อยยี่สิบหกคน หากต้องให้นางเข้าไป ก้มกราบทีละคนล่ะก็ วันนี้นอกจากโขกหัวกราบแล้ว นางก็อย่าหวังว่าจะได้ทำอะไรอีกเลย

“ซั่งกวนเจวี๋ย บุตรชายภรรยาเอกคนโตของผู้นำตระกูลซั่งกวนรุ่นที่สามร้อยยี่สิบเก้าพาภรรยาเอกเยี่ยนซื่อ[1] มากราบไหว้บรรพชนตระกูลซั่งกวน…” ซินแสกล่าวคำบูชาออกมาเสียงดัง “เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มกราบหนึ่งครั้ง ไหว้บรรพบุรุษ ขอวิญญาณบรรพบุรุษวีรชนจงต้อนรับลูกหลาน!”

ซั่งกวนเจวี๋ยเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว หลังจากก้มกราบยาวแล้วก็คุกเข่านั่งลงบนพรมวงกลมอย่างคล่องแคล่ว เยี่ยนมี่เอ๋อร์เคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อย ไม่ได้เดินไปพร้อมกับซั่งกวนเจวี๋ย แต่เว้นระยะห่างกว่าครึ่งตัว ก่อนจะคุกเข่าลงไปนั่งบนพรมวงกลมอย่างนอบน้อม การกระทำของนางทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างก็พากันผงกศีรษะกับตนเองอย่างเงียบเชียบ รู้สึกว่านางนั้นวางตัวได้อย่างเหมาะสมเป็นอย่างมาก “ลุกขึ้น…ถอยหลังหนึ่งก้าว คำนับ…ขอวิญญาณบรรพบุรุษวีรชนจงสถิตอยู่ณ ที่แห่งนี้!”

“ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มกราบสองครั้ง ไหว้บรรพบุรุษ บรรพชนที่อยู่ด้านบน โปรดมองเยี่ยนซื่อ ผู้หญิงคนนี้คือภรรยาเอกของลูกชายตระกูลซั่งกวนรุ่นที่สามร้อยยี่สิบเก้า วันนี้แต่งงานได้ครบหกสิบห้าวัน ลูกชายภรรยาเอกคนโตเจวี๋ยตั้งใจพาภรรยามากราบไหว้บรรพบุรุษ ทั้งสองเงยหน้า ให้บรรพบุรุษได้ชื่นชม!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เงยหน้าตรงไปด้านหน้า นั่นเป็นป้ายวิญญาณที่เรียงรายจนคล้ายกับมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ดูเย็นยะเยือก มืดครึ้มน่าสะพรึง ไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย นางลอบสั่นไหวอยู่ในใจ ทว่าใบหน้านอกจากเผยความนอบน้อมแล้ว ก็มีเพียงความยำเกรงเท่านั้น

“ลุกขึ้น…ถอยหลังหนึ่งก้าว คำนับ…” คล้ายกับรู้สึกว่าบรรพบุรุษที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่นั้นได้พินิจเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ซินแสให้ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก

‘ผัวะ!’ ป้ายวิญญาณอันหนึ่งร่วงตกลงมา เกิดเสียงดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดที่จะตัวเย็นเฉียบไปทั่วร่างไม่ได้ แม้นางจะมองไม่ออกว่ามีคนเล่นลูกไม้อะไรหรือไม่ แต่ก็ไม่เชื่อว่าป้ายวิญญาณอันนั้นจะตกลงมาเองอย่างไม่มีเหตุผลได้ นี่เป็นลางบอกเหตุอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?

“บรรพชนสำแดงฤทธิ์ ยอมรับเยี่ยนซื่อเป็นภรรยาเอกของลูกชายตระกูลซั่งกวน ชื่อของเยี่ยนซื่อนับตั้งแต่วันนี้สามารถจารึกไว้ในลำดับวงศ์ตระกูล!” คำพูดของซินแสทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ค่อยๆ สงบลง ดูเหมือนว่าจะยอมรับในตำแหน่งและฐานะของตนแล้ว

“เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ก้มกราบสามครั้ง ไหว้บรรพบุรุษ ขอบคุณบรรพบุรุษที่ยอมรับฐานะของเยี่ยนซื่อ! ขอวิญญาณบรรพชนบนสรวงสวรรค์โปรดอวยพรให้ลูกหลานมีความสุขพูนเพิ่ม สามารถแตกกิ่งก้านสืบลูกลืบหลานให้ตระกูลซั่งกวนได้ในเร็ววัน…” คำอวยพรที่หลุดออกมาจากปากอย่างไม่ขาดสาย ทำให้คนอดกังวลใจไม่ได้ว่าซินแสที่แก่ชรานี้จะหายใจทันหรือไม่

“ลุกขึ้น…คำนับ…เสร็จพิธี…” คำพูดของซินแสทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่อยู่ในความผ่อนคลายแปลกประหลาดใจขึ้นมาบ้าง พิธีของตระกูลซั่งกวนจะเรียบง่ายเกินไปหน่อยแล้ว เท่านี้ก็นับว่าจบการกราบไหว้แล้ว?

“เยี่ยนซื่อเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กราบเก้าครั้งคำนับเก้าครั้งต่อบรรพบุรุษ!” ยังไม่ทันได้ส่งสายตาถามเป็นนัยให้ซั่งกวนเจวี๋ย ซินแสก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้เคลื่อนไหวอันใด มีเพียงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ก้าวไปด้านหน้าก้มกราบเก้าครั้งคำนับเก้าครั้งอยู่คนเดียว

“เยี่ยนซื่อเสร็จพิธี! ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยและเยี่ยนซื่อจุดธูปให้บรรพชน!”  ซินแสกล่าวเพิ่งจะจบ ซั่งกวนฮ่าวกับผู้อาวุโสท่านหนึ่งก็กล่าวขึ้นมาข้างหน้า จุดธูปสามดอกที่ยาวประมาณสองเมตร ขนาดเท่ากับแขนเด็กทารกส่งให้ทั้งสองคน ทั้งสองคำนับก่อนจะรับธูปมา ถอยหลังไปถึงกระถางธูปก็ปักธูปลงไปตรงกลางกระถางธูปอันใหญ่

“พิธีกราบไหว้บรรพบุรุษเป็นอันเสร็จสิ้น! ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยพาเยี่ยนซื่อไปกราบไหว้หอสักการะวีรชน!” คำพูดของซินแสไม่ทันจบดี แววตาของผู้อาวุโสทั้งสิบสองก็มีความประหลาดใจวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคนก็ยังส่งสายตาเป็นนัยให้กัน สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยผิดแผกไปจากยามปกติเล็กน้อย ส่วนซั่งกวนฮ่าวนั้นกลับหลากหลาย ตื่นตะลึง ประหลาดใจ ดีใจผสมปนเปไป ทำให้ใจของเยี่ยนมี่เอ๋อร์เต้นตึกตักเช่นกัน หอสักการะวีรชนตั้งอยู่ด้านขวาของศาลบรรพชน สร้างขนานกันโดยมีขนาดต่ำไปกว่าศาลบรรพชนเล็กน้อย ศาลบรรพชนมีประตูรวมทั้งหมดเก้าบานซึ่งมีธรณีประตูสูงประมาณสามสิบเซนติเมตร ด้านหน้ามีบันไดหินสามขั้น ส่วนหอสักการะวีรชน แม้ว่าจะมีประตูเก้าบาน แต่ธรณีประตูกลับสูงไม่เกินยี่สิบเซนติเมตร ด้านหน้าก็มีบันไดหินเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น

“หอสักการะวีรชนประดิษฐานป้ายวิญญาณผู้อาวุโสนอกตระกูลของตระกูลซั่งกวนแต่ละรุ่นในอดีต ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยและเยี่ยนซื่อก้าวมาด้านหน้ากราบสามครั้งคำนับสามครั้ง!” ครั้งนี้นับว่าง่ายมาก ซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก้าวขึ้นไปกราบไหว้พร้อมกัน

“เพื่อจุดธูปให้กับผู้อาวุโสนอกตระกูลแต่ละรุ่นในอดีต ขอผู้อาวุโสนอกตระกูลเป็นผู้จุดธูป!” ซินแสกล่าวจบ ผู้อาวุโสสองท่านก็จุดธูปด้วยตนเอง ธูปนั้นมีรูปร่างเหมือนธูปก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน หลังจากจุดแล้ว ก็ส่งให้กับทั้งสองคน ทั้งสองคำนับรับธูปมา ก่อนจะปักธูปลงไปในกระถาง

“พิธีกราบไหว้หอสักการะวีรชนเป็นอันเสร็จสิ้น! ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยพาเยี่ยนซื่อกราบไหว้หอวีรบุรุษผู้วายชนม์!”

หอวีรบุรุษผู้วายชนม์อยู่ทางด้านซ้ายของศาลบรรพชน รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับหอสักการะวีรชนโดยสิ้นเชิง

“หอวีรบุรุษผู้วายชนม์มีไว้เพื่อสักการะผู้อาวุโสต้นตระกูลของตระกูลซั่งกวนและลูกหลานที่อุทิศตนให้กับตระกูล ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยและเยี่ยนซื่อก้าวไปด้านหน้ากราบสามครั้งคำนับสามครั้ง!” รูปแบบการกราบไหว้ก็เหมือนเช่นเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนผู้อาวุโสต้นตระกูลสองท่านเป็นคนจุดธูปให้เท่านั้น

“พิธีกราบไหว้เป็นอันเสร็จสิ้น ลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยพาเยี่ยนซื่อกลับไปพักผ่อนได้ ยามเหม่า[2] มาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ห้องจัดเลี้ยง วันนี้พักชั่วคราวที่เรือนเจวี๋ย พรุ่งนี้จึงจะเดินทางลงจากเขา!” ครั้งนี้ผู้ที่เหนือความคาดหมายมีเพียงซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์เท่านั้น ในยามที่พวกเขากำลังกราบไหว้หอสักการะวีรชน คนอื่นๆ ต่างก็รู้ถึงผลลัพธ์นี้กันหมดแล้ว

“เชิญคุณชายเจวี๋ย สะใภ้ใหญ่กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” คล้อยหลังซินแส ชายวัยกลางคนที่ไม่เคยได้ปริปากพูดตั้งแต่แรกก็กล่าวด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่ง ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า เขาก็ค่อยๆ นำทางทั้งสองคนเดินออกไป

“ท่านอาจารย์ นี่เพื่ออะไรกัน?” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งก้าวขึ้นมาด้านหน้า ถามด้วยน้ำเสียงที่เคารพนอบน้อม คล้ายกับถูกการกระทำอะไรบางอย่างของซินแสรบกวนเข้าก็มิปาน ซั่งกวนฮ่าวได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าคือผู้อาวุโสใหญ่

“พวกเจ้าตามข้ามา!” เห็นได้ชัดว่าฐานะของซินแสนั้นไม่ธรรมดา เขาแทบไม่มีความยำเกรงหรือเกรงใจผู้อาวุโสที่สามารถตัดสินความอยู่รอดของตระกูลซั่งกวนหรือซั่งกวนฮ่าวที่เป็นผู้นำตระกูลแม้แต่น้อย ซินแสเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในศาลบรรพชนก่อน คนทั้งหมดก็ค่อยๆ เดินตามท้ายเข้าไป

“ในพวกเจ้ามีใครรู้บ้างว่านี่เป็นป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษคนใด?” ซินแสประคองป้ายวิญญาณที่ตกหล่นไปขึ้นมา ค่อยๆ เช็ดป้ายวิญญาณที่เดิมก็ไม่มีฝุ่นด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะนำไปวางไว้ที่เดิม

“เป็นของท่านบรรพชนเหอหลิงกง!” ผู้อาวุโสใหญ่มั่นใจอย่างมากว่าเป็นป้ายวิญญาณของใคร ซั่งกวนเหอหลิงเป็นบุคคลหนึ่งที่กอบกู้สถานการณ์ ดึงตระกูลซั่งกวนที่เกือบจะล่วงสู่จุดตกต่ำให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ถ้าหากไม่มีเขา บางทีตระกูลซั่งกวนก็อาจจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ ถูกเขียนไปในบันทึกเล่มเก่าไปตั้งนานแล้ว

“เหอหลิงกงเคยพูดยามที่ใกล้ตายว่า ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชั่วชีวิตของเขาไม่ใช่การที่พลิกเปลี่ยนตระกูลกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง แต่เป็นการที่แต่งภรรยาที่มีคุณธรรม ให้ความเคารพยำเกรงและไม่ทำให้ช่วงชีวิตของเขามีเภทภัยอันใด และเขาก็เป็นผู้นำตระกูลเพียงรุ่นเดียวที่มีภรรยาเอกเพียงแค่คนเดียว และภรรยาของเขา แม้จะเพราะว่าคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ไม่อาจเข้าไปประดิษฐานในศาลบรรพชนได้ แต่กลับถูกตั้งไว้ในตำแหน่งที่สูงที่สุดเป็นอันดับแรกในหอสักการะวีรชน” ซินแสไม่ได้หันหน้ากลับไป เอาแต่มองดูป้ายวิญญาณที่เพิ่งวางลงไปใหม่นั้น “บางทีพวกเจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่ข้าเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าวิญญาณของบรรพชนตระกูลซั่งกวนล้วนอยู่ที่นี่ คอยมองความรุ่งเรืองร่วงโรย ความทุกข์และความสุข รวมถึงมองดูลูก หลานแต่ละคนของตระกูลซั่งกวนด้วย เยี่ยนซื่อคนนี้ต้องตาเหอหลิงกงเข้า ทำให้เขาสนใจเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงได้สำแดงฤทธิ์ออกมา”

“เยี่ยนซื่อเป็นเพียงคนที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย แม้ว่าจะรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม แต่ยังมิสู้…” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งคล้ายกับยังคงไม่พอใจกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก กล่าวอย่างชิงชังอยู่บ้าง

“ชาติกำเนิด? สิ่งที่ตระกูลซั่งกวนขาดไม่ได้ที่สุดคือชาติกำเนิดที่สูงส่ง กระนั้นภรรยาและบุตรกลับไร้ซึ่งความสามารถ หากเป็นอย่างนั้น ชาติกำเนิดเช่นนั้นก็อย่ามีเลยเสียดีกว่า!” ซินแสกล่าวมองคนผู้นั้นด้วยสายตาเย็น เยียบ จากนั้นก็เหลียวหลังกลับไป “จุดนี้ ผู้อาวุโสสี่ควรจะเข้าใจมากที่สุด!”

“มิผิด!” ผู้อาวุโสสี่ตอบรับเสียงต่ำ ใบหน้าของซั่งกวนฮ่าวเผยท่าทีที่ไม่ธรรมชาติอยู่บ้าง ดูไม่เป็นตัวเองเป็นอย่างมาก

“หากเยี่ยนซื่อสามารถเป็นดั่งฮูหยินของเหอหลิงกงได้ นั่นก็นับว่าเป็นวาสนาและความโชคดีของตระกูลซั่งกวน” ซินแสถอยตัวออกมาจากศาลบรรพชน มองผู้อาวุโสทั้งสิบสองและซั่งกวนฮ่าว “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดสอดมือไปยุ่งเกี่ยวเรื่องระหว่างลูกชายคนโตภรรยาเอกเจวี๋ยและเยี่ยนซื่อ หากพวกเขาสองสามีภรรยามีเรื่องอันใด ปล่อยให้พวกเขาจัดการกันเองก็พอแล้ว ผู้ที่ยังมีความคิดอะไรอย่างอื่นนั้น เก็บกลับไปให้สิ้นเสีย ถ้าหากถูกข้าล่วงรู้เข้า ก็อย่ามาโทษที่ตาแก่ไม่รู้จักตายอย่างข้าสำแดงฤทธิ์เดชก็แล้วกัน”

“เข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์!” ทุกคนกล่าวสัญญาอย่างพร้อมเพรียง ล้วนไม่กล้ากล่าวให้มากความ

“ในเวลางานเลี้ยง ข้าไม่ต้องการพบหน้าคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะไม่ควร โดยเฉพาะคนที่ตัดสินใจทำโดยพลการผู้นั้น เยี่ยนซื่อเพิ่งจะขึ้นเขามา ก็อดไม่ไหววิ่งโร่ไปปรากฏตัวในที่ที่ไม่ควรปรากฏตัว ในปีนั้นนางรู้ดีว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับอะไรจึงได้เข้าตระกูลซั่งกวน แต่ภายหลังล่ะ? หลงลืมหน้าที่ที่พึงกระทำไปเสียสิ้น ถึงขนาดยังคิดเพ้อฝันควบคุมในเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ให้นางคิดใคร่ครวญอยู่กับกำแพงหนึ่งร้อยวันเสีย!” ซินแสนับว่าไม่พอใจกับหญิงแก่ที่ตัดสินใจวิ่งโร่ไปเจอกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์โดยพลการผู้นั้น และความไม่พอใจนี้ก็มีมาอย่างยาวนานแล้ว

“เข้าใจแล้ว ท่านอาจารย์!” ผู้อาวุโสที่ถูกดึงเข้าไปพัวพันอย่างน่าสงสารโค้งกายคำนับ

“อีกอย่างซ่าเอ๋อร์และบุตรสาวบุตรชายของเขาพวกนั้น ควบคุมสักหน่อย อย่าให้พวกเขาพูดอะไรที่ไม่เข้าหู หรือสร้างความลำบากใจให้เยี่ยนซื่อได้! แน่นอนว่าพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องหลบหน้า ซ่าเอ๋อร์ก็เป็นคนที่มีหน้ามีตาในเรือนพำนัก

อวี้ฉิงเช่นกัน หากเขาไม่ปรากฏตัวก็ย่อมไม่เหมาะสม” ในขณะที่ซินแสพูดอีก ผู้อาวุโสคนนั้นก็ขานรับอีกครั้ง

“ผู้นำ สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีเพียงเรื่องพวกนี้ หลังจากนี้เยี่ยนซื่อต้องใช้ชีวิตอยู่ในตระกูล เรื่องทั้งหมดของนางยังคงต้องการความดูแลเอาใจใส่จากเจ้า” ซินแสหันไปทางซั่งกวนฮ่าว น้ำเสียงยังนับว่าเป็นมิตรอยู่บ้าง

“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ข้านั้นพอใจลูกสะใภ้คนนี้เป็นอย่างมาก แม้ไม่แน่ว่าจะดูแลทุกเรื่องได้ แต่ย่อมไม่ทำให้ลำบากอย่างแน่นอน!” ซั่งกวนฮ่าวค้อมกายคารวะ “ข้าย่อมจะทำเพียงเฝ้าสังเกต พยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของสองสามีภรรยา และในยามที่จำเป็นก็จะปกป้องเยี่ยนซื่อ ควบคุมคนของตนไว้”

“ดีมาก!” ซินแสผงกศีรษะ ในที่สุดก็พึงพอใจ “ในเวลาสามปี ก็ต้องคอยดูแล้วว่า นางจะสามารถแสดงฝีมือให้พวกเราเห็นได้หรือไม่…”

———————————-

[1] ซื่อ หมายถึงนามสกุล ในสมัยโบราณคนจีนมักจะเรียกขานผู้หญิงที่แต่งงานแล้วโดยนำคำว่าซื่อมาวางต่อท้ายนามสกุลเดิม

[2] ยามเหม่า ช่วงเวลาประมาณ 05:00 – 06:59