“ไม่นึกเลยว่ามี่เอ๋อร์จะมีฝีมือชงชาเก่งขนาดนี้ ข้าคิดว่าสาวใช้อย่างจื่ออวิ๋นทำเป็นอยู่คนเดียวเสียแล้ว?” ซั่งกวนเจวี๋ย กึ่งเอนนอนอยู่บนเก้าอี้อย่างพึงพอใจ นั่งดูเยี่ยนมี่เอ๋อร์ชงชาอย่างคล่องแคล่ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางลงมือทำเองกับมือ ดูท่าเขาจะยังไม่รู้จักภรรยาตัวน้อยของตัวเองมากพอ
“ข้าชอบดื่มชา ถ้าไม่มีสาวใช้อย่างจื่ออวิ๋นอยู่ข้างกายก็ยังไม่ต้องทำเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่จื่อหลัวกับลู่หลัวก็ชงชาได้ดีเช่นกัน ทว่าหลังจากมีจื่ออวิ๋น ทุกคนจึงไม่คุ้นเคยกับการทำเองเสียแล้ว” หากพูดถึงการชงชา เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชงชาเก่งมาก เพียงแต่นางถนัดชงชาสองชนิดที่ตนชื่นชอบที่สุดเท่านั้น ไม่เหมือนจื่ออวิ๋นที่เกือบจะชงชาได้ทุกชนิดซึ่งส่งกลิ่นหอมและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
“เจ้าไม่ต้องไปทำเองก็ได้ แต่ไม่ทำก็ไม่ได้อีกใช่หรือไม่?” ซั่งกวนเจวี๋ยอยากรู้มากว่า ภรรยาตัวน้อยของเขายังมีอะไรที่ทำไม่ได้อีกบ้าง นางมักจะรอคอยพวกสาวใช้มาปรนนิบัติอย่างใจเย็น ไม่ว่าเรื่องจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ล้วนมีสาวใช้ตระเตรียมไว้ให้นางอย่างเหมาะสม ขอเพียงนางรอที่จะสนุกก็พอ…แน่นอนว่า ถ้ามีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเพียงเล็กน้อย นางจะเป็นคนจู้จี้จุกจิกมากอย่างไม่เกรงใจ แต่การคอยจับผิดของนางจะได้ดั่งใจเสมออยู่ร่ำไป
“ใช่แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดื่มชาอย่างสบายใจแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าทำเองไม่ได้ คนอื่นทำได้ดีหรือไม่อาจจะไม่รู้ ข้าไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเอง แต่ก็ทำไม่ได้ที่จะปล่อยให้คนเล่นตลกต่อหน้าข้าโดยไม่รู้ตัว”
“เจ้าฉลาดเยี่ยงนี้ ร่ำเรียนมาจากใครกัน?” ซั่งกวนเจวี๋ยมองนางอย่างขำขัน ชอบเห็นท่าทางขี้เกียจแกมสบายๆ อย่างนี้ของนาง วันนี้จงใจหาเรื่องทั้งวัน ทำให้นางลำบากจริงๆ
“ข้ามีท่านแม่ที่ชอบให้ข้าเรียนรู้ทุกอย่าง และมีท่านพ่อที่ต้องพิถีพิถัน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ข้าไม่ค่อยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงพ่อแม่ของเจ้า” ซั่งกวนเจวี๋ยเพียงแต่พูดค่อยๆ ถึงข้อเท็จจริงที่ไม่สลักสำคัญ เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าแม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กับนายท่านเยี่ยนไม่ได้บอกว่าจะตายไม่เผาผีกัน แต่จะไปมาหาสู่กันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ท่านแม่เป็นคนปราดเปรื่องมาก ในใจของข้าดูเหมือนนางจะรู้ทุกอย่าง นางจึงเข้มงวดกับข้ามาก ตอนข้ายังเยาว์วัยนั้นทุกการกระทำของข้าจะถูกท่านแม่ใช้ไม้บรรทัดมากำราบ ส่วนท่านพ่อแทบจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับข้าเลย ในช่วงหนึ่งเดือนมีโอกาสไม่ถึงสามหรือห้าครั้งที่จะได้พบปะพูดคุยกับท่านพ่อ จึงไม่มีความผูกพันใดๆ แม้แต่น้อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดแผ่วเบา ทุกคนคิดว่านางและนายท่านเยี่ยนไม่มีอะไรนอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดกันไม่ขาด นางไม่จำเป็นต้องโต้แย้งอะไร บางทีอาจจะเร็วที่สุดเท่าที่นางเพิ่งเกิด ท่านแม่ได้เจรจากับท่านพ่อ ให้เขาเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังคนสุดท้ายของนาง เพราะอย่างนี้เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกสนิทสนมกับนางเองสักเท่าใด
“พวกเขาเข้ากันได้อย่างไร?” ทันใดนั้นซั่งกวนเจวี๋ยก็เริ่มสนใจ อยากรู้มากว่าสาวสวยสะคราญ ที่ทำให้เขาตั้งปณิธานองอาจพูดว่าจะแต่งงานเมื่อโตขึ้นทั้งที่อายุยังน้อยไม่ประสีประสาอะไรผู้นี้ จะอยู่กับนายท่านเยี่ยนที่ร่ำรวยสันหลังยาวและเป็นพ่อค้าหน้าเลือดอย่างยิ่งได้อย่างไรกัน เหตุการณ์นี้ถูกแกล้งซ้ำๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำ โดยเฉพาะท่านปู่เถาซึ่งส่งเสียงหัวเราะแทบจะทำให้บ้านแตก
“ตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันข้าคิดว่ามันแปลกๆ ดูไม่ค่อยเข้ากัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จำจดหมายฉบับนั้นของมารดาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นได้ แล้วยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ชอบดอกไม้ โดยเฉพาะชอบดอกกล้วยไม้ ท่านพ่อบอกว่าเห็นดอกไม้เป็นของผู้หญิง จึงไม่เข้าใจความคิดของท่านแม่ ที่บอกว่ากล้วยไม้เป็นดอกไม้เล็กๆ ใบไม้ก็ไม่ต่างจากวัชพืช ข้าไม่เข้าใจ ข้าจำได้ว่าเป็นปีนั้นที่ท่านแม่ป่วยหนัก ท่านพ่อจะเอาใจท่านแม่ ขุดดอกกล้วยไม้จากในสวนของท่านแม่ออก แล้วปลูกดอกโบตั๋นสีแดง พูดทำนองว่าเสริมบรรยากาศให้ชื่นมื่น จะดีต่ออาการป่วยของท่านแม่ จำได้ว่าในยามนั้นข้าโกรธมาก จึงไล่ท่านพ่อออกไป แต่เมื่อกลับมาได้เห็นใบหน้าของท่านแม่ที่เต็มไปด้วยน้ำตาและเสียงหัวเราะ บัดนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ท่านแม่ดูเหมือนจะไม่ได้โมโห และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจางๆ แต่ในเวลานั้นข้าเกลียดท่านพ่อมาก รู้สึกว่าเขาจงใจยั่วโมโหท่านแม่ ท่านแม่มีเหตุผลเกินไป ท่านพ่อก็หน้าเลือดเกินไป พวกเขาทั้งสองคนพูดคุยอยู่ด้วยกันได้เพียงเพราะหารายได้และทำกิจการ ข้าไม่เข้าใจว่าพวกเขาเข้ากันได้อย่างไรหรอก”
“ที่แท้ก็มีหลายสิ่งที่มี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ” ซั่งกวนเจวี๋ยนึกถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกแปลกใจ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเคยเล่าว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์และจงเสวี่ยฉิงแทบจะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ส่วนนายท่านเยี่ยนก็ดูมียศศักดิ์ จึงไม่กล้าให้คำแนะนำจริงๆ จำได้ว่าก่อนแต่งงาน มีคนตั้งใจมาพบนายท่านเยี่ยนเป็นพิเศษ แล้วบอกว่าถ้าคลอดลูกสาวจะเหมือนพ่อ จะว่าไปซั่งกวนเจวี๋ยนั้นโชคดีที่ได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่ได้เค็มเป็นเกลือ เพราะกลัวว่าหญิงสาวที่ไม่ได้เค็มเป็นเกลือจะยังมีเค้าเดิมของพ่ออยู่ เพียงแต่ข่าวลือประเภทนี้ถูกหลิงหลงกับจิงอิ๋งตอบโต้กลับไปแล้ว
“ข้าคิดว่ามีหลายสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาไปมาพลางกล่าวว่า “ตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสที่เป็นท่านซินแสพูดอย่างชัดเจนว่ามีตำแหน่งที่ตั้งป้ายวิญญาณของเจ้านายเพียงสามร้อยยี่สิบหกอันในศาลบรรพชน เหตุใดท่านพี่กลับเป็นลูกชายคนโตของรุ่นที่สามร้อยยี่สิบเก้าเล่า? สามีคนนี้จะช่วยมี่เอ๋อร์ไขข้อสงสัยได้หรือไม่?”
ซั่งกวนเจวี๋ยหยุดนิ่ง ไม่คาดคิดว่าท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดอย่างยิ่งเช่นนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์จะยังสามารถเข้าใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ได้ นับประสาอะไรกับเขาที่จะถามออกมาตรงๆ
“ผู้อาวุโสไม่ได้นับรวมท่านปู่” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่รีรอ เขารู้อยู่ลึกๆ ว่าตราบใดที่มีบางอย่างผิดปกติในสีหน้าท่าทางของเขา ก็จะถูกมี่เอ๋อร์ที่ชาญฉลาดมองออก จึงเล่าคร่าวๆ ว่า “นี่เป็นกฎของตระกูลซั่งกวนมาหลายพันปีเช่นกัน ห้องฝังศพของเจ้านายไม่ได้ทำจากหินศิลาจารึก แต่เป็นแผ่นไม้จารึก เมื่อแผ่นไม้จารึกโดนลมฝน ก็ทรุดโทรมจนสุดจะทนได้ จากนั้นเปลี่ยนมาใช้ที่ตั้งป้ายวิญญาณก่อนจะเข้าสู่ศาลบรรพชน การกราบไหว้ท่านปู่จึงไม่สามารถทำในศาลบรรพชนได้ แต่ต้องไปไหว้สักการะที่หน้าหลุมฝังศพของเขาแทน ท่านแม่ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเจ้าหรือ?”
หวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็รู้หรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตกตะลึงเล็กน้อย แต่คิดๆ แล้วก็รู้สึกโล่งใจ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมักจะมีโอกาสเข้าร่วมการเซ่นไหว้ทุกๆ สามปี ถ้ามีอะไร นางควรจะรู้อยู่ก่อนแล้วกระมัง
“แล้วทำไมนามของท่านลุงผู้ร้ายกาจเหล่านั้นถึงเป็นเช่นนี้? ทั้งซั่งกวนอี ซั่งกวนเอ้อ ซั่งกวนซาน ซั่งกวนซื่อ…ยังมีซั่งกวนซ่าอีกคน ในเรื่องนี้มีอะไรที่ต้องเล่าให้ฟังอีกบ้างหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มิอาจลืมฉากอันน่าอกสั่นขวัญผวาที่เพิ่งได้ยินมาพวกนั้นได้ มีการแนะนำเรียงจากหนึ่งสองสามและสี่ตามลำดับ เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลซั่งกวนจะตั้งชื่อไม่เป็น จะใช้ตามตัวเลขทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ?
“นั่นคือชื่อที่พวกเขาได้รับตอนอายุสามสิบปี หลังจากที่ได้รับการยอมรับจากวงศ์ตระกูลและบรรดาผู้อาวุโส หากข้าถึงวัยครบสามสิบ ชื่อเหล่านี้จะได้รับการสืบทอดจากคนที่ดีที่สุดของห้าสิบคนในวงศ์ตระกูล และคนที่สืบทอดยังมีชื่อที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ด้วย” ซั่งกวนเจวี๋ยรู้ว่านางจะถามสิ่งนี้ ก็เตรียมใจไว้ตั้งนานแล้วพลางกล่าวต่อ “ครั้นถึงเวลานั้น พวกเขาจะเรียกคืนชื่อเดิมเมื่อครั้งก่อนได้ ซึ่งหมายความว่าในหมู่พวกเขาบางคนอาจจะมีสิทธิ์ชิงความเป็นใหญ่ในตำแหน่งผู้อาวุโสได้อีกด้วย”
กล่าวอีกนัยหนึ่งตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงชนชั้นสูงของตระกูลซั่งกวน? เยี่ยนมี่เอ๋อร์หรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วไฉนพวกเขาเองถึงดูใบหน้ายิ้มแย้ม? เหตุใดบรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นจึงสุภาพมากในงานเลี้ยงอาหารค่ำ? แววตาที่ซั่งกวนฮ่าวมองเขาดูสนิทสนมและชื่นชมมากขึ้นกว่าเดิม เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้ท่าทีของพวกเขาแตกต่างออกไป?
“ยังมีอะไรอีกหรือไม่ที่จะให้สามีช่วยขจัดความคลางแคลงใจ?” ซั่งกวนเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เขามั่นใจว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ยังมีอีกคำถามหนึ่งอยู่ในใจ ซึ่งเป็นปริศนาที่เขาสับสนเช่นกัน ความแตกต่างคือเขาเคยถามปัญหานี้กับซั่งกวนฮ่าวมาก่อน และได้รับคำตอบแล้ว
“ดูเหมือนจะไม่มีแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ราวกับว่าข้าไม่ได้ถาม แล้วเจ้าจะอัดอั้นจนตาย ทำให้ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะเย้ากัดนางเล่น แต่…ดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ ไม่รู้ว่ามีผู้เฒ่าคนหนึ่งหรือสองคนที่ฉลาดล้ำเลิศจนเขาไม่อาจสังเกตทัน คนแก่ที่ไร้มารยาท มาซ่อนตัวอยู่ในความมืดแอบดูว่าทั้งคู่เข้ากันได้หรือไม่อย่างไร เขาถอนหายใจอย่างผิดหวัง ต้องปล่อยนางไปอีกคราสินะ
“ไม่มีจริงหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยถามอีกคำอย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่มีแน่นอน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รีบทำใบหน้าที่ยิ้มแย้มแล้วพูดด้วยรอยยิ้มครึ้มใจว่า “ยังมีอีกคำถามหนึ่งที่สำคัญมากจะถามท่านพี่”
“เจ้าถามสิ!” ซั่งกวนเจวี๋ยพอใจ ดูท่ามี่เอ๋อร์ยังกังวลมากกับปัญหานั้นที่รบกวนจิตใจเขา
“ท่านพี่อยากจะดื่มอีกหน่อยหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มพลางชี้ไปที่กาน้ำชา
“ไม่ต้องแล้ว” ซั่งกวนเจวี๋ยส่ายศีรษะเชิงปฏิเสธแล้วพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามเสียที?”
“ถ้าข้าถาม ท่านพี่ก็ตอบแล้วกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างจริงจัง มองดูซั่งกวนเจวี๋ยจงใจเบิกตากว้างด้วยความโกรธ จึงอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นเรากลับห้องไปพักผ่อนกันเถอะ” ซั่งกวนเจวี๋ยตัดสินใจครู่หนึ่งว่าจะต้องเล่นงานหญิงสาวคนนี้ที่นับวันยิ่งไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นต่ำขึ้นเรื่อยๆ หากนางไม่ร้องไห้ขอความเมตตาก็จะไม่ปล่อยนางไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจก็ร้อนฉ่า แววตากรุ้มกริ่มลุกโชนร้อนแรง
“ท่านพี่…” เมื่อเห็นแววตาเช่นนั้นของซั่งกวนเจวี๋ย เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็แอบอุทานออกมา แม้จะร่วมห้องเพียงสองสามวัน แต่นางรู้ดีถึงความหมายของประกายตาคู่นั้น นางถึงตายก็ไม่ต้องการซาบซ่านใจกับซั่งกวนเจวี๋ยในสภาพแวดล้อมที่แปลกไม่คุ้นเคยนี้ ถ้าพรุ่งนี้ลุกไม่ขึ้นก็จะน่าอายเหลือเกิน นางจึงร้องเรียกออกมาเบาๆ ในยามนี้
“ทำไม? มี่เอ๋อร์ยังไม่อยากเข้านอนหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยลดเสียงลง ล้อเล่นด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้ยินชัดเจนว่า “มี่เอ๋อร์วางใจได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้านอนดึกขนาดนั้น”
สีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์แดงเป็นลูกตำลึง นางปรับตัวไม่ได้ใจจริงๆ กับการเกี้ยวพาราสีแบบใกล้ชิดของซั่งกวนเจวี๋ยนี้ แต่รู้ว่าถ้าตนไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ก็จะโดนแน่ๆ จึงส่งสายตาเชิงขอร้องให้ซั่งกวนเจวี๋ยแล้วพูดว่า “ท่านพี่ มี่เอ๋อร์ยังมีคำถามที่สำคัญมากจะถามท่านพี่ ขอให้ท่านพี่ช่วยไขความกระจ่างให้มี่เอ๋อร์ด้วย”
“ไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วหรือ?” ซั่งกวนเจวี๋ยชอบเล่นเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ในการพูดคุยระหว่างสามีภรรยาอย่างสนุกสนาน มี่เอ๋อร์ของเขามิใช่สตรีที่ได้รับการศึกษาด้านจริยธรรมแล้วจะตายด้านและน่าเบื่อ
“มี่เอ๋อร์โง่เขลา คิดปุบปับไม่ออกเท่านั้นเอง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างมีเสน่ห์ว่า “มี่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ ไม่ได้หมายความว่าหลังจากงานเลี้ยงแล้วถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกราบไหว้หรือ เราควรจะออกจากภูเขากลับเข้าเมืองได้แล้วหรือไม่? ทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงให้เราพักหนึ่งคืนเล่า?”
“นี่คือความกรุณาของบรรดาผู้อาวุโส พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาชอบเจ้ามากเพียงใด” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นธรรมเนียมและเป็นเกียรติที่มีเพียงไม่กี่คนจะได้รับ ในงานครั้งนี้ไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนกังขากับตัวตนของเจ้าอีกต่อไป”
มีการพูดเช่นนี้ด้วยหรือ? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องดีงามอย่างนี้เกิดขึ้น นางก็ยิ่งสับสนมากขึ้น เหตุใดถึงมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เล่า?
“ข้าไม่เข้าใจว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสรู้สึกประทับใจ เพียงพบเจ้าแค่สองสามครั้ง แต่ก็เป็นเรื่องมงคล แสดงให้เห็นว่ามี่เอ๋อร์ของข้าเป็นคนดีมากจริงๆ” ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ค่อยทราบแน่ชัดเช่นกันว่ามี่เอ๋อร์ไปทำอะไรถึงทำให้บรรดาผู้อาวุโสชื่นชมขนาดนั้น แต่เขาก็มีความสุขมากกับผลลัพธ์ที่ได้
เขาไม่เข้าใจ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่ออารมณ์ดีของนาง ทว่า…จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากพบทั่วป๋าซู่เยวี่ย ถ้านางรู้ว่าตนได้เข้าตาของเหล่าผู้อาวุโสแล้วจริงๆ และมีการปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน นางจะแสดงท่าทีอย่างไร?
————————-