บทที่ 144 มีคนถูกใจฉินเยว่แล้ว

เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ

จางโหย่วฝูจะไปออกทีวีหรือ?

สุดยอดขนาดนี้เชียว?!

เมื่อเฉินชางคิดถึงตรงนี้ก็อดรู้สึกเปรี้ยวฝาดไม่ได้ อีกนานแค่ไหนตนจะได้ไปออกทีวีสร้างเกียรติยศให้ครอบครัวได้บ้าง

เขาคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้น เฉินต้าไห่ผู้เป็นพ่อของตนจะต้องซื้อเหล้าขาวจำนวนมากแล้วก็โทรไปหาเพื่อนเก่าทั้งหลาย จากนั้นแต่ละคนก็เอากับข้าวมาฉลองด้วยกัน!

คำโบราณพูดไว้ดีจริงๆ ครึ่งชีวิตแรกให้ความสำคัญกับลูกชายเพราะเห็นแก่หน้าพ่อ ครึ่งชีวิตหลังให้ความสำคัญกับพ่อเพราะเห็นแก่หน้าลูกชาย

ความหวังสูงสุดในชีวิตของเฉินต้าไห่ก็คือลูกชายทั้งสองคน เกียรติยศสูงสุดก็คือลูกชายทั้งสองคน

หลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว เฉินชางก็แอดวีแชทของจางโหย่วฝู ส่งไฟล์พาวเวอร์พ้อยท์ไปให้

เขาเดินอยู่บนถนนอย่างเบื่อหน่าย จึงเปิดโมเมนต์เพื่อน[1]ในวีแชทของจางโหย่วฝูดู

จากนั้นก็ต้องตื่นตะลึงไปโดยพลัน ในใจของเขา โมเมนต์เพื่อนที่เป็นหมอสมควรเป็นเช่นนี้:

คำแนะคำล่าสุดจาก xxx

การประชุม xxx จะจัดขึ้นแล้ว

กองทุน xxx บริจาคให้ xxx

แต่โมเมนต์เพื่อนของจางโหย่วฝูกลับเป็นเช่นนี้

“อิ่มแล้วกินอะไรก็ไม่อร่อยจริงๆ: รูปภาพแนบ: กุ้งมังกรจากออสเตรเลีย…”

“คนเราไม่อาจทรยศตนเอง: รูปภาพแนบ: ปูตัวใหญ่แห่งทะเลสาบเฉิงหยาง…”

“ชีวิตคนเราต้องรู้จักพอ: รูปภาพแนบ: อาหารระดับไฮเอนด์ของญี่ปุ่น…”

“วันครบรอบแต่งงานยี่สิบสองปีกับภรรยา: รูปภาพแนบ: ทะเลซานย่าไห่เจี่ยว…”

“ลูกชายเรียนขับเครื่องบินเป็นแล้ว ผมที่เป็นคนขับเก่าแก่รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ: รูปภาพแนบ: สถานอบรมการขับเครื่องบินสักแห่งในอเมริกา…”

……

……

นี่คือผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตสินะ!?

เฉินชางคิดว่าคนเป็นหมอ หากเป็นได้ถึงระดับหัวหน้าแผนกจาง สมควรเรียกว่ารู้จักใช้ชีวิตแล้ว

ในสามวันนี้อัปอวดอาหารไปสองครั้ง อัปอวดความรักไปสอง อวดลูกชายอีกครั้ง เป็นการอวดที่สุดยอดจริงๆ…

มีอะไรใหม่ๆ มาทุกวัน เฉินชางกำลังจะกดออก จู่ๆ ก็เห็นจางโหย่วฝูอัปโมเมนต์ใหม่

“โอ้ พรุ่งนี้จะไปออกทีวีแล้ว ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ ใส่เนคไทสีดำไปดีหรือเปล่า? หรือจะใส่เนคไทสีแดงดี?”

เฉินชาง “…”

จางโหย่วฝูกับหลี่เป่าซานเป็นคนคนละประเภทกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งการใช้ชีวิต ลักษณะนิสัย การจัดการเรื่องต่างๆ ล้วนแตกต่างกันมาก เหมือนกับอายุห่างกันสิบปี ทัศนคติในการใช้ชีวิตเช่นนี้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว

เมื่อเทียบกันแล้ว เฉินชางกลับอิจฉาจางโหย่วฝูมากกว่าที่ใช้ชีวิตได้อย่างใจปรารถนา ไม่ต้องคาดหวังให้ลูกพยายามสอบเข้าโรงเรียนดังให้ได้ ในช่วงที่ปกติต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังพาลูกชายออกไปหาโอกาสเรียนรู้นอกประเทศ พยายามเปิดกว้างช่องทางและความรู้ของเขา

คนในวงการการแพทย์ที่กล้าอัปโมเมนต์เพื่อนตามใจปรารถนาเช่นนี้มีไม่มากจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแอบหาเงินแอบใช้เงินเสียมากกว่า คนที่อัปโมเม้นต์เพื่อนอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนกับจางโหย่วฝูมีไม่มากเลยจริงๆ

แต่เฉินชางคิดว่านี่ไม่ใช่การอวดอ้าง แต่เป็นวิธีการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด เฉินชางรู้สึกอิจฉามากจริงๆ

จะอย่างไรคนอื่นเขาก็ไม่ได้ขโมยหรือปล้นใครมา เพียงอาศัยทักษะฝีมือหาเลี้ยงชีพ จะไม่ให้คนอื่นเขามีความสุขบ้างหรือ?

เมื่อหมอทำงานจนได้เป็นแพทย์เจ้าของไข้ที่มีอายุงานสูง จะมีรายได้ปานกลาง แต่เมื่อเป็นระดับหัวหน้าแผนกก็จะมีรายรับมากขึ้น ก็เหมือนกับจางโหย่วฝู เมื่อรวมรายได้จากการรับงานนอกแล้ว ในหนึ่งปีคงจะได้เงินประมาณหนึ่งล้านหยวน จะอย่างไรเขาก็เป็นคนโด่งดังในเรื่องการผ่าตัดปลูกถ่ายตับของมณฑลตงหยาง

หาเงินอย่างยากลำบากก็ควรใช้เงินอย่างสุขอุรา เดิมทีคนเป็นหมอก็ยุ่งมากอยู่แล้ว เหมือนกับหลายคนที่มีเงินแต่ไม่มีเวลาใช้เงิน ส่วนจางโหย่วฝูกลับรู้จักใช้ชีวิต

……

……

ตอนเที่ยง หลังจากฉินเยว่ออกไปจากโรงพยาบาลแล้วก็รีบมาที่วิทยาลัยการแพทย์ตงหยางทันที

ฉินเยว่ตั้งใจกับวิทยานิพนธ์ฉบับนี้มาก ถ้าหากเผยแพร่ใน SCI ได้จริงๆ จะต้องเป็นเรื่องดีต่อการพัฒนาของตนโดยไม่ต้องสงสัยเลย

ครอบครัวของอู๋เสวียอวี้อาศัยอยู่ที่ตึกพักสำหรับครอบครัวในวิทยาลัยแพทย์ตงหยาง เป็นเขตวิทยาลัยเก่า มีต้นไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้เบ่งบานงดงาม ท่ามกลางสวนดอกไม้มีหญิงงามเดินอยู่ด้านใน ต้นไม้ที่เติบโตอยู่สองข้างทางช่วยบังแดดได้พอดิบพอดี

ฉินเยว่ไม่รู้ว่าทำไมศาสตราจารย์อู๋จึงให้เธอไปที่บ้านตอนนี้ นี่เป็นเวลาเที่ยงแล้ว จะไปรบกวนครอบครัวเขาหรือเปล่า

เมื่อเคาะประตูแล้ว อู๋เสวียอวี้ก็มาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นฉินเยว่ก็เผยรอยยิ้มออกมา “เสี่ยวฉินมาแล้ว เข้ามากินข้าวกันเถอะ”

ฉินเยว่รู้สึกกระอักกระอ่วน ถ้าปฏิเสธจะเหมาะสมหรือไม่?

เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นไม่ปฏิเสธแล้วกัน แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่ดี

ภรรยาของอู๋เสวียอวี้เห็นฉินเยว่ก็รีบยิ้ม พูดกับลูกชายว่า “เสี่ยวอู๋ ช่วยเอารองเท้าแตะมาให้เสี่ยวฉินหน่อย”

ทั้งครอบครัวต้อนรับฉินเยว่อย่างอบอุ่น จนทำให้เธอรู้สึกลำบากใจ

เมื่อนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวแล้ว อู๋เสวียอวี้ก็พูดว่า “เสี่ยวฉิน มาที่บ้านแล้วก็ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นหรอก ตอนหนุ่มๆ ผมกับอาจารย์ของคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมากทีเดียว!”

อู๋เสวียอวี้มีลักษณะผอมบาง สวมแว่นกรอบทอง ดูแล้วภูมิฐานมากมารยาท ส่วนภรรยาก็เป็นศาสตราจารย์ของวิทยาลัยแพทย์ตงหยางเช่นกัน ทั้งยังเป็นหัวหน้าแผนกสตรีที่โรงพยาบาลตงต้าสาขาสองอีกด้วย เธอชื่อจางจิ้นเฟิน

แม้จางจิ้นเฟินจะไม่ได้หน้าตาสะสวย แต่เมื่อยิ้มขึ้นมาก็ดูอบอุ่น ม้วนผมเป็นมวย สวมชุมกระโปรงยาว เหมือนกับหัวหน้าแผนกที่ไหนกัน เหมือนแม่บ้านคนหนึ่งมากกว่า

จางจิ้นเฟินคีบอาหารให้ฉินเยว่ พูดยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวฉิน ฉันอ่านวิทยานิพนธ์ของเธอแล้ว เป็นความคิดที่พิเศษจริงๆ เป็นแนวคิดใหม่เลยทีเดียว! ยิ่งไปกว่านั้นยังนำไปใช้ได้จริง หัวข้อการศึกษานี้จะต้องคุ้มค่าต่อการวิจัยมากแน่นอน คนรุ่นใหม่เก่งกว่าคนรุ่นเก่าแล้ว!”

ฉินเยว่ยิ้มอย่างเขินอาย “ศาสตราจารย์จางอย่าชมฉันเกินไปเลยค่ะ ตัวจะลอยหมดแล้วค่ะ”

จางจิ้นเฟินหัวเราะขึ้นมา “โอ้ ยังจะเรียกศาสตราจารย์อะไรอีก เรียกฉันว่าน้าก็ได้จะ พวกเราไปมาหาสู่กับพ่อของเธอบ่อยๆ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าผู้อำนวยการฉินจะมีลูกสาวที่น่ารักขนาดนี้ ทั้งยังรู้จักเอาอกเอาใจคนด้วย น้าไม่มีลูกสาว แต่ชอบเด็กผู้หญิง ไม่เหมือนเด็กผู้ชายหรอก วันๆ ไม่ยอมแตะต้องงานบ้าน ไม่รู้จักเอาอกเอาใจเลย!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ จางจิ้นเฟินก็ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ “โธ่ ดูสิ น้าร้อนใจไปแล้ว ลืมแนะนำให้รู้จักเลย นี่คือลูกชายของน้าชื่อว่าอู๋เจ๋อ ตอนนี้เพิ่งเรียนจบระดับปริญญาเอก อาจารย์ของเขาอยากให้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย แต่น้ากับพ่อเขาอยากให้เขากลับมา จะอย่างไรก็เป็นลูกชายคนเดียว อีกอย่างที่ตงหยางของพวกเราก็ไม่เลวเลย!”

ฉินเยว่พยักหน้า “คุณอู๋เก่งจริงๆ ค่ะ!”

อู๋เจ๋อยิ้ม “เรียกผมว่าอู๋เจ๋อก็ได้ครับ คุณเองก็ไม่เลวเลย จบปริญญาโทจากเซียงหย่า ความจริงคุณก็เรียนปริญญาเอกต่อได้อย่างราบรื่นเลยนะครับ ทำไมถึงไม่ให้ศาสตราจารย์สวี่ช่วยส่งเสริมเรื่องเรียนปริญญาเอกล่ะครับ?”

ฉินเยว่หัวเราะ “ฉันไม่ค่อยมีความทะเยอทะยานน่ะค่ะ อยากกลับมาทำงานให้เร็วสักหน่อย ปล่อยให้พ่อแม่ดูแลน้องชายไป จะได้อุ้มหลานเร็วๆ”

หลังจากคุยกันพอประมาณ จางจิ้นเฟินก็ถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวฉินมีแฟนหรือยังจ๊ะ?”

ฉินเยว่ส่ายหน้า “ไม่มีหรอกค่ะ ฉันทำงานอยู่ที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอันดับสอง ยุ่งทุกวัน ไม่มีเวลาเลยค่ะ”

จางจิ้นเฟินดวงตาเปล่งประกาย “คิกๆ ใช่แล้ว เรียนแพทย์ทั้งยุ่งและเหนื่อยมากจริงๆ คนในวงการก็น้อย พอหันกลับไปมองอีกที อายุก็ไม่น้อยแล้ว”

หลังจากกินข้าวเสร็จ อู๋เสวียอวี้ก็พูดกับฉินเยว่ว่า “เสี่ยวฉิน คุณไปที่ห้องหนังสือกับผมนะครับ เมื่อวานผมแปลให้คุณเสร็จแล้ว แต่พอคิดให้ละเอียดอีกครั้ง ยังมีปัญหาอีกเล็กน้อย พวกเราจะต้องแก้กันอีก”

ฉินเยว่พยักหน้า เข้าไปที่ห้องหนังสือของอู๋เสวียอวี้จริงๆ

ส่วนจางจิ้นเฟินดึงลูกชายไว้ ยักคิ้วกระซิบถามว่า “เสี่ยวเจ๋อ? เป็นยังไง? ชอบหรือเปล่า?”

อู๋เจ๋อหน้าแดงโดยพลัน “พอแล้วครับ…แม่! นี่แม่จะเกษียณแล้วออกมาทำงานจับคู่หรือครับ?”

จางจิ้นเฟินถลึงตาใส่ “เด็กคนนี้นี่ อายุสามสิบแล้ว! ยังไม่มีแฟนอีก แม่ไม่ร้อนใจแล้วใครจะร้อนใจล่ะ!”

[1] โมเมนต์เพื่อนในวีแชท เป็นการโพสต์ถ้อยคำหรือรูปภาพของตนให้คนที่เป็นเพื่อนเข้ามาดูได้