ตอนที่ 81 ที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 81 ที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า

เพียงพริบตาก็ผ่านไปถึงหกวันแล้ว หลังจากที่สร้างเพิงริมแม่น้ำแบบง่าย ๆ จนเสร็จสิ้น ก็ได้มีม้าเร็วมาส่งข่าวว่า ผู้ประสบภัยจากอำเภอเหยาพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายแล้ว

มิได้เกิดความโกลาหลตามที่ฟู่เสี่ยวกวนคอยเป็นกังวลมาโดยตลอด แต่หลายวันมานี้จำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังมีมากกว่าร้อยคน

พวกเขาต่างเป็นตะเกียงไฟที่ไร้น้ำมัน แม้ว่าจะมีอาหารที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีหมอไปทันเวลา แต่พวกเขาก็มิสามารถมีชีวิตรอดได้

ผู้ที่เสียชีวิตนั้นถูกนำไปเผาที่ด้านใต้ภูเขาเหยาภายใต้คำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน นี่คือคำสั่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เน้นย้ำไว้อย่างหนักแน่น เขากลัวว่าคนเหล่านี้จะเพิกเฉยในจุดนี้จนก่อให้เกิดโรคระบาด

ในตอนนี้เหล่าผู้ประสบภัยได้พลังฟื้นคืนมาบางส่วนแล้ว พวกเขาได้ยินว่ามีเศรษฐีผู้หนึ่งต้องการรับพวกเขาไปทำงาน หมั่นโถวและแป้งทอดที่พวกเขาทานในตอนนี้ และพวกหมอที่มาช่วยเหลือพวกเขาในตอนนี้ต่างก็เป็นคนที่เศรษฐีผู้นั้นส่งมา ในที่สุดเหล่าผู้ประสบภัยก็มองเห็นความหวัง และมิหวาดกลัวต่อการอพยพในระยะทางสามร้อยกว่าลี้นี้อีก

จางเช่อดำเนินการได้ตามความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนและถูกใจของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก ป่าวประกาศ ต้องประกาศในหมู่ผู้ประสบภัยเท่านั้น

เผยแพร่ความสวยงามของซีซาน เผยแพร่ชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า และบอกกับพวกเขาว่าหลังจากนั้นชีวิตจะต้องดียิ่งกว่าในปัจจุบันเป็นแน่ !

ไม่เพียงแต่จะได้ทานหมั่นโถวแป้งทอด ยังจะได้ทานเนื้อ และมีบ้านให้พัก สรุปก็คือ เจ้าวาดแป้งให้กับพวกเขา เจ้าอยากจะวาดให้ใหญ่เพียงใดก็วาด จำต้องสร้างให้พวกเขาเกิดความคาดหวังขึ้นมา มนุษย์นั้นเพียงมีความหวัง พวกเขาจึงจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตต่อไป !

ดังนั้น จางเช่อจึงทำตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ เพียงแค่เขาทำโดยอุกอาจไปเสียเล็กน้อย

“คุณชายของข้าคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด ท่านได้รับข่าวความทุกข์ยากของพวกเจ้าก็ได้ส่งพวกข้าทั้งหลายมาช่วยเหลือพวกเจ้า”

“คุณชายของข้าอยู่ที่ซีซาน เขากล่าวว่า ที่พวกเจ้าได้ประสบกับหายนะครั้งใหญ่หลวง ก็เพราะอนาคตของพวกเจ้านั้นมีดวงชะตาต้องอยู่ร่วมกันที่ซีซาน”

“พวกเจ้าลองครุ่นคิดดู ราชวงศ์หยูใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดพวกเจ้าจึงมาเจียงเป่ยมิไปเจียงหนาน เหตุใดพวกเจ้าจึงมิอยู่ที่ฉีโจวแต่กลับมายังอำเภอเหยาที่เล็ก ๆ นั่น คุณชายของข้ากล่าวว่า นี่คือพรหมลิขิต ชาติที่แล้วของพวกเจ้าคือเด็กของเรือนคุณชาย และในวันนี้คุณชายได้กลับชาติมาเกิด นำทางพวกเจ้ามายังที่นี่ท่ามกลางความมืดมิด พวกเจ้า…คือคนรับใช้ของคุณชายในชาตินี้ คุณชายจะมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะอยู่ภายใต้การนำทางของคุณชาย เพื่ออุดมการณ์ของคุณชาย จงสู้จนสุดชีวิต ! ”

“…..”

นี่คือการล้างสมองอย่างแท้จริง !

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นเนื้อความที่ส่งกลับมาก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จางเช่อเป็นคนมีความสามารถยิ่ง เขาสำเร็จในการนำพาผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคนมาได้ และได้ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณชายของตนฝังแน่นอยู่ภายในใจของผู้ประสบภัยกลุ่มนี้

คนในสมัยนี้เชื่อในเรื่องผีและปีศาจ พวกเขามิแม้แต่จะสงสัยในเรื่องที่จางเช่อกล่าวมาเลยแม้แต่นิด

เพราะพวกเขานั้นมุ่งหน้ามายังอำเภอเหยาและมิได้อยู่ที่ฉีโจว ในยามที่พวกเขาคิดว่ากำลังจะตายเพราะความหิว พระโพธิสัตว์ก็ได้ลงมาจากฟากฟ้า นำอาหารมาให้พวกเขา ทั้งยังพาหมอมาให้พวกเขา เมื่อได้มาคิดในตอนนี้ก็คิดว่าเป็นโชคชะตา นี่คือพระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์ ชาตินี้ของตนนั้นย่อมมีชีวิตอยู่เพื่อพระโพธิสัตว์ผู้นี้

“ในวันนี้พวกเราจะออกเดินทาง พรุ่งนี้ พวกเจ้าจะได้พบกับคุณชายที่ช่วยพวกเจ้าท่ามกลางความทุกข์ทนนี้ คุณชายได้กล่าวว่าหวังว่าพวกเจ้าจะทำตามข้อที่กำหนดเอาไว้ ผู้แข็งแกร่งต้องคอยประคองคนชราและเด็กเล็ก พวกเรามิสามารถทิ้งผู้ใดไปได้แม้แต่คนเดียว คุณชายรอพวกเจ้าอยู่ที่ซีซาน คุณชายกล่าว เขาได้ตระเตรียมบ้านหลังใหม่ให้พวกเจ้าไว้แล้ว และได้ตระเตรียมเสบียงอาหารไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ เพื่อต้อนรับการเริ่มต้นใหม่ของพวกเจ้า ! ”

“ขอบพระคุณในบุญคุณที่พระโพธิสัตว์ช่วยชีวิตเอาไว้ ! ” ชายชราคุกเข่าลงแล้วโขกหัว

“ข้ามีเพียงแรงกายเท่านั้น หวังว่าพระโพธิสัตว์จะมิรังเกียจ ! ” ชายกลางคนภาวนาอย่างแผ่วเบา

“ชีวิตของข้าได้พระโพธิสัตว์เป็นผู้ช่วยเอาไว้ ข้าจะรับใช้เขาไปตลอดชีวิต ! ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความจงรักภักดี

“ตระกูลข้าขอเป็นข้ารับใช้พระโพธิสัตว์ไปทุกชั่วอายุขัย ขอพระโพธิสัตว์ช่วยนำทางพวกเรา…”

จางเช่อรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้มานั้นดียิ่ง ต่อจากนี้หากมีเรื่องแบบนี้อีก ก็จะใช้การเผยแพร่เยี่ยงนี้

“ออกเดินทาง ! ”

ภายใต้การนำของจางเช่อหัวทัพใหญ่และทหารยามอีก 300 นาย กลุ่มคนขนาดใหญ่ก็ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน

หยู๋เหลียนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ลูบเคราแพะที่ยาวเฟื้อย และจ้องมองเม็ดเงินที่เดินหายไป พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ “ตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้วหรือไม่” ?

“ขอรับนายท่าน ตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้ว ก่อนหน้านี้หลิวจือโจวได้มีการไปมาหาสู่กับฟู่ต้ากวนบ้าง แต่ส่วนใหญ่นั้นจะฝากผ่านอาจารย์หลิ่วซานเย่ เดือนเจ็ดพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกลับไปยังฉีโจว ได้พักอยู่ที่ซ่างหลินโจว 1 คืน งานเลี้ยงภาคค่ำก็ได้เชิญหลิวจือโจวและฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าร่วมด้วยขอรับ”

“ค่ำนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนหนึ่งบทให้แก่เสียนชินอ๋อง วันรุ่งขึ้นหลิวจือโจวก็ได้ไปเยี่ยมจวนฟู่ด้วยตนเอง ทั้งยังมอบเอกสารอนุมัติเหมืองแร่ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งฉบับ ต่อจากนั้นทั้งสองก็มิได้มีการไปมาหาสู่กันอีก หลังจากนั้นเก้าวันก่อนหน้า ฝ่าบาทได้มอบราชโองการให้ฟู่ต้ากวน ส่วนเนื้อความนั้นนายท่านคงทราบดี เป็นราชโองการให้ฟู่ต้ากวนแต่งอนุ เรื่องนี้ฝ่าบาทให้หลิวจือโจวเป็นผู้ตรวจการ ในช่วงนี้หลิวจือโจวจึงไปจวนฟู่อยู่บ่อยครั้ง จึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ส่วนจวนเสนาบดีกรมคลังไกลและสูงส่งเกินไป ข้าน้อยมิสามารถหาข้อมูลมาได้”

หยู๋เหลียนคิ้วขมวดและเงียบอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยถาม “ฉีชื่ออนุคนนั้นของฟู่ต้ากวน จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”

“จากที่ได้ความมาคือภายในสองเดือนนี้ขอรับ”

“ไปเตรียมของขวัญ… นำปะการังโลหิต ไม่ ปะการังโลหิตนั้นเก็บไว้รอยามฟู่ต้ากวนแต่งอนุ เตรียมกำไลหยกขาวนั่นแทน ทันทีที่ฉีชื่อคลอดหรือฟู่ต้ากวนตบแต่งอนุเข้า ให้รีบบอกข้า ข้าจักไปแสดงความยินดีด้วยตนเอง”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ! ”

……

…..

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้มบนท้องฟ้ามีเมฆดำหนาทึบอยู่ทั่วทั้งใต้หล้า ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างกังวลใจ อย่าให้ฝนตกลงมาแต่เช้าเลย

และเหมือนเทพเจ้าจะแสดงความเมตตา ฝนนั้นมิได้ตกลงมาจริง ๆ

โรงอาหารของเพิงพักชั่วคราวมีควันลอยออกมา มีสตรีหลายสิบคนที่วุ่นวายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำหมั่นโถวมากมายและต้มโจ๊กน้ำซุปเข้มข้นหม้อแล้วหม้อเล่า

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะทำข้าวสวยและเนื้อสัตว์เป็นอาหารให้พวกเขาเล็กน้อย แต่ซูม่อกลับขวางเขาเอาไว้ พร้อมกับกล่าวว่าหากทำเยี่ยงนั้น เหล่าผู้ประสบภัยจะทานเข้าไปมากเกิน จนร่างกายของพวกเขารับมิไหว และจะเป็นการทำร้ายพวกเขาแทน

ยามที่ท้องฟ้าค่อย ๆ ดับลง กองทัพผู้ประสบภัยอันใหญ่โตก็ได้มาถึงซีซาน

ภายใต้การสั่งการของอี้หยู่ และภายใต้การจัดการของจางเช่อและทหารยาม 300 นาย เหล่าผู้ประสบภัยก็เข้าเพิงพักชั่วคราวอย่างเป็นระเบียบ และนั่งลงอย่างสงบ

พวกเขามองเพิงพักชั่วคราวที่ใหม่เอี่ยม ถึงแม้จะมิได้ดีเท่าบ้านในอดีต แต่ก็สามารถกันลมกันฝนได้ หน้าหนาวนี้ ก็ถือว่าเพียงพอจะเอาตัวรอดได้แล้ว

หลังจากที่ทุกคนจัดหาที่พักเรียบร้อย ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิดเมฆหนาดำพร้อมจะสาดสายฝนลงมาได้ทุกเมื่อ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว

เขามาเพียงเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยเพียงเท่านั้น แต่จางเช่อกลับกล่าวกับผู้ประสบภัยเหล่านั้นว่า นี่คือคุณชายที่ช่วยชีวิตพวกเจ้า

ดังนั้นจึงมีเสียงโห่ร้องและคุกเข่าลงกันถ้วนหน้า และมีเสียงดังขึ้นมาว่าพระโพธิสัตว์ไม่ขาดสาย จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง

“หยุด ๆ  หยุด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่บนที่สูง และตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้าจงลุกขึ้น ! ”

มิมีผู้ใดยืนขึ้น น่าทึ่งยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนมิคาดคิดว่าการเคารพบูชาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นจะทรงพลังถึงเพียงนี้

“ตอนนี้ข้าขอสั่งให้เจ้าทุกคนลุกขึ้นมา ! ”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลุกขึ้นยืน ต่างหันมองพระโพธิสัตว์ที่อยู่ใต้โคมไฟ มองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ท่าทางยังดูเยาว์วัย

ในยามนี้ฝนได้ตกลงมา ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน และกล่าวกับพวกเขาเสียงดังอีกคราว่า “ที่นี่ ต่อจากนี้คือบ้านของพวกเจ้า ! ในตอนนี้ ข้าขอสั่งพวกเจ้าให้ทานข้าว ! ”