ตอนที่ 80 เหตุการณ์ในท้องพระโรง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 80 เหตุการณ์ในท้องพระโรง

“เรื่องของรายละเอียดนั้นข้ามิรู้เท่าใดนัก เพียงแต่ได้ยินท่านแม่พูดอยู่บ่อย ๆ ว่าชาวฮวงได้จัดเตรียมทหารและม้าจำนวนนับแสนอยู่ที่นอกด่านเยี่ยนซาน คาดว่าบัดนี้คงมาถึงเมืองหลวงแล้ว”

“เสด็จพ่อต้องส่งกองทัพออกรบเป็นแน่ ท่านอัครเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีและเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าก็สนับสนุนให้ทำการรบเช่นกัน เพียงแต่…บางเสียงก็เสนอให้เกิดการแต่งงาน เหตุผลคือชาวฮวงและแคว้นอี๋ร่วมมือกันแล้ว หากสงครามทางเหนือของเราราบรื่น การคุ้มกันชายแดนฝั่งตะวันออกที่ติดกับแคว้นอี๋คงไม่เกิดปัญหา แต่ถ้าหากแพ้สงครามทางเหนือละก็ ชาวฮวงจะฝ่าด่านเยี่ยนซานมาได้ มิรู้ว่าทหารจำนวนสามแสนที่คุ้มครองทางเหนือจะสามารถปกป้องไว้ได้หรือไม่ มิฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องระดมพลจากฝั่งตะวันออกมาเสริมกำลังให้กับทางเหนือ หากเป็นเยี่ยงนั้น ถ้าแคว้นอี๋ฉวยโอกาสกรีฑาทัพบุกเข้ามาล่ะ แบบนี้มิดีแน่”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่เข้าใจเสียจริงว่าในสามแสนคนนั้นมีทหารม้าเท่าไร แต่ฝ่ายพวกเราก็สามารถไหว้วานขอความช่วยเหลือเมืองสงเฉิงแห่งซินโจวให้ออกรบ คาดว่าคงจะได้รับชัยชนะเป็นแน่

ยิ่งกว่านั้นบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ทางเหนือคาดว่าคงส่งทหารจำนวนมากไปคุ้มครองด่านเยี่ยนซานแล้ว

ในเมื่อได้ชื่อว่าด่านคุ้มกัน แน่นอนว่าคงต้องรักษาไว้ให้แข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าทหารม้าจะมีบทบาทในการโจมตีมากน้อยเพียงใด ตราบใดที่ไม่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน เพียงแค่ปิดตายด่านเยี่ยนซาน ก็สามารถป้องกันชาวฮวงที่อยู่ด้านนอกได้แล้ว

มองดูแล้วด้านการเงินของชาวฮวงก็ไม่สามารถเทียบได้กับราชวงศ์หยู สงครามจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นโอกาสที่ชาวฮวงจะชนะจึงมีไม่มากนัก

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความหมายที่หยูเวิ่นหวินกล่าวว่าถ้าหากต้องการลอบสังหารก็ควรเป็นองค์หญิงสาม

หากองค์หญิงที่สามสิ้นพระชนม์ลง การแต่งงานนั้นก็มิสามารถเป็นไปได้  เช่นนั้นสงครามนี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้จำเป็นต้องทำ

แต่สิ่งนี้ก็อธิบายค่อนข้างยากนัก เนื่องจากองค์ฮ่องเต้เองก็มีพระประสงค์ที่จะทำสงครามอยู่แล้ว

นอกเสียจากพระองค์มิประสงค์จะทำสงคราม และมิยินยอมให้องค์หญิงสามแต่งงาน  หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ การลอบสังหารองค์หญิงสามจึงจะมีความเป็นไปได้

“เรื่องนี้ข้าลองคิดทบทวนดูแล้วน่าจะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายมายังหยูเวิ่นหวิน ประการแรกมันไม่มีความจำเป็น ประกายที่สองหากต้องการลอบสังหารหยูเวิ่นหวินคงไม่ส่งคนพวกนี้มา ข้าคิดว่า……อาจจะเป็นผู้ประสบภัย ? พวกเขามีทักษะการต่อสู้ และตอนนี้พวกเขาก็ได้รับความยากลำบาก ส่วนที่เรือนซีซานนั้นมีเงินและอาหารมากมาย พวกเขาอาจเพียงต้องการเข้ามาลักลอบขโมยแต่บังเอิญพบกับท่านทั้งสองเข้า ?”

คนอื่นก็คิดว่ามีเหตุผล ดังนั้นเรื่องนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนจะสืบหาต่อไปหรือไม่ก็แล้วแต่เขา

หลังจากรับประทานทังหยวนเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นมาต้อนรับเช้าวันใหม่ เสียงไก่ขันดังขึ้นแข่งกับเสียงนกที่กำลังบินออกจากรัง

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงออกกำลังกายตามปกติ อีกทั้งบัดนี้ยังได้ชักชวนให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินร่วมออกกำลังกายกับเขาด้วย

“ร่างกายนั้นต้องการการออกกำลังกาย เช่นนี้จึงจะมีภูมิคุ้มกันที่ดี วิธีที่ง่ายที่สุดนั่นก็คือการวิ่ง ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว วิ่งช้า ๆ เป็นพอ แต่ต้องขยับร่างกายเสียบ้าง”

ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เป็นชุดขาสั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนออกแบบมา ค่อนข้างแปลกตา สตรีทั้งสองนางทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นอีกมุมหนึ่งของพวกนาง

แน่นอนว่าเขามิได้ออกไปวิ่งนอกเรือน แต่วิ่งอยู่ในเรือนไปมา หนึ่งรอบประมาณหกเจ็ดร้อยเมตรเห็นจะได้

แรกเริ่มทั้งสองนางวิ่งได้เพียงสองสามรอบ หลังจากนั้นก็วิ่งได้เพิ่มอีกสองรอบ ร่างกายของหยูเวิ่นหวินแข็งแรงกว่าต่งชูหลานมากนัก ต่งชูหลานวิ่งเสร็จก็เหนื่อยเสียจนยืนแทบไม่ไหว แต่หยูเวิ่นหวินกลับยังกระโดดโลดเต้นได้

เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำอยู่นี้ สตรียอดฝีมือผู้นั้นไม่ได้เข้าไปห้าม นางยืนถือดาบไว้ในมือแล้วมองลงมาจากชั้นสอง ไม่ทราบว่าในใจกำลังคิดการใดอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนต่อยเพียงสองหมัดก็สามารถปลิดชีพชาวลวี่หลินนั้นได้ สิ่งนี้เขาไม่คาดคิดมาก่อน ในยามคับขันนั้นเขาคล้ายกับใช้แรงทั้งหมดส่งไปยังหมัด และมุ่งเป้าหมายไปยังส่วนที่อ่อนแอที่สุดในร่างกาย จากเดิมเพียงแค่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บจนไม่สามารถต่อสู้ได้ ใครจะทราบเล่าว่าอีกฝ่ายจะตาย สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจในคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมากขึ้น ดังนั้นหลังจากที่เขาออกกำลังกายเสร็จก็จะไปนั่งสมาธิเพื่อฝึกสมาธิ

สตรีผู้นั้นเดินมายังข้างกายซูม่อแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “สำนักเต๋า ? ”

“ใช่ ป่ากระบี่ ? ”

“ถูกต้องแล้ว”

“ประลองสักเล็กน้อยหรือไม่ ? ”

ซูม่อส่ายหัว “ข้ามิสามารถเอาชนะเจ้าได้”

“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“ซูม่อ”

สตรีนางนั้นคล้ายกับกำลังรอซูม่อถามกลับว่านางชื่ออะไร แต่ซูม่อกลับนิ่งเงียบ

“หงจวง”

ซูม่อจึงหันหลังกลับมามองนางแล้วขมวดคิ้ว ถามกลับว่า “หงจวงแห่งป่ากระบี่ ? ”

“ใช่ ! ”

หงจวงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจและเดินกลับไป ซูม่อมองตามหลังนางไปอยู่ครู่หนึ่ง

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่เดือนเก้าวันที่หนึ่ง การประชุมใหญ่ราชวงศ์ ณ พระราชวังจินหลิงเมืองหลวง

ขุนนางฝ่ายพลเรือนและขุนนางฝ่ายทหารหลายร้อยคนยืนอย่างเคร่งขรึม ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน ขันทีเจี่ยกงกงได้นำทางเชิญองค์ฮ่องเต้หยูยิ่น เข้าไปยังท้องพระโรง และประทับ ณ ที่บัลลังก์มังกร

ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม สง่างาม น่าเกรงขามยิ่งนัก

“ในวันนี้ข้าจะจัดการเพียงเรื่องเดียว !”

ไม่รอให้เจี่ยกงกงกล่าวนำ องค์ฮ่องเต้ทรงเอ่ยขึ้นด้วยตนเอง

“ทูลฝ่าบาท ทูตแคว้นฮวงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

ขันทีเฝ้าหน้าประตูผู้หนึ่งประกาศดังจากด้านนอก “องค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้ ! ”

ทูตที่แคว้นฮวงส่งมาเจรจาในครานี้ก็คือท่าป๋าชิว พระปิตุลาคนที่สามของท่าป๋าเฟิง มีตำแหน่งเทียบได้กับชินอ๋องในราชวงศ์หยู เขาผู้นี้เมื่อครั้นเยาว์วัยเคยเดินทางมาขอฝึกฝนวิชาในเมืองหลวง เมื่อกลับไปยังแคว้นฮวงนั้นเขาได้พยายามศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์หยู เขามีความเข้าใจในวัฒนธรรมและประเพณีของราชวงศ์หยูเป็นอย่างดี และคอยสนับสนุนท่าป๋าเฟิงอยู่เบื้องหลังตลอดมา

การแต่งงานครั้งนี้เป็นแผนการณ์ที่เขาคิดขึ้น ส่วนความหมายที่แท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจ

บัดนี้ เขาเดินทางมาด้วยตนเอง ในใจเขาหาได้มีความกลัวไม่

เขาย่างก้าวเข้ามายังท้องพระโรง ในใจคิดว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเช่นนี้ บัดนี้ได้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแล้ว

สำหรับชาวฮวงนั้น ราชวงศ์หยูช่างสูงส่งยิ่งนัก ที่แห่งนี้มีผืนดินอุมดมสมบูรณ์ มีสถานที่อาศัยสวยงาม มีวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังมีสตรีผู้งดงาม

รัชสมัยฉินเหอปีที่สิบสาม ชาวฮวงบุกรุกเข้ามาทางทิศใต้ ผลก็คือแพ้อย่างราบคาบ

นับจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ชาวฮวงอดทนอดกลั้นมา 47 ปี แคว้นฮวงเปลี่ยนผู้นำปกครองมาถึงสองสมัย บัดนี้ชาวฮวงมีท่าป๋าเฟิงเป็นผู้นำ ทุ่งหญ้าสงบสุขในทุกทิศทาง และมีความแข็งแกร่งของชาติเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกองทัพ !

ท่าป๋าชิวเชื่อมั่นว่าหากทั้งสองแคว้นก่อสงครามกัน ราชวงศ์หยูจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่ชาวฮวงเป็นแน่

อย่ามองแต่ภายนอกว่ามีความสำราญรุ่งเรือง แต่แท้จริงแล้วกลับมีปัญหาวุ่นวาย นี่คือภาพที่แท้จริงของราชวงศ์หยู ท่าป๋าชิวเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเป็นเวลากว่าหลายปีแล้วนำมาวิเคราะห์ ไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่

“ข้าน้อย ท่าป๋าชิว ขอถวายบังคมฝ่าบาท !” ท่าป๋าชิวเอ่ยด้วยความนอบน้อม

“ลุกขึ้นเถิด”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท !”

“เจ้ามิต้องขอบใจเราหรอก เงยหน้ามาให้ข้าได้ยลโฉมเจ้ายามมีชีวิตเสียหน่อย”

ท่าป๋าชิวตื่นตระหนกในใจเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น

“ก็มิได้มีสิ่งใดพิเศษกว่าผู้อื่น ข้าได้สั่งให้ลงโทษท่าป๋าเฟิงแล้ว แต่คาดมิถึงเลยว่าเขาจะมิยอมถอดใจ องค์หญิงสามเป็นบุตรสาวของข้า ท่าป๋าเฟิงคิดว่ามันเป็นผู้ใดกัน ! ”

หยูยิ่นลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยตะคอกด้วยความโมโหว่า “ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับเขา สงครามนี้ถ้าหากว่าพวกเจ้าต้องการข้าก็จักตอบสนองเป็นแน่ ข้าเองก็อยากเห็นเสียจริงว่าหัวของท่าป๋าเฟิงจะแข็งเพียงใด !”

ท่าป๋าชิวไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนก สีหน้าเขานิ่งเรียบเนื่องจากกำลังรอใครบางคนเดินทางมา

“ให้ข้าเข้าไป ! ” นอกท้องพระโรงมีเสียงดังเข้ามา เป็นเสียงของสตรี หยูยิ่นและบรรดาขุนนางหันไปทางเดียวกัน ท่าป๋าชิวเผยรอยยิ้มออกมา

ผู้นั้นคือองค์หญิงสาม หยูชิงหลาน !