ตอนที่ 79 ข้ามีศัตรูได้เยี่ยงไร

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 79 ข้ามีศัตรูได้เยี่ยงไร

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้ตื่นขึ้นมาในเวลานี้

หลังจากนั้นก็เห็นแขนขาและหัวของศพที่ถูกตัดทิ้งกลิ้งไปทั่วพื้นที่ หัวใจบีบรัด ก่อนจะวิ่งแหวกทางไปยังมุมกำแพงและอาเจียนออกมาทั้งหมด

พวกนางไหนเลยจะเคยได้เห็นฉากเยี่ยงนี้ !

อย่าได้ว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่การฆ่าไก่ พวกนางก็มิเคยได้เห็นมาก่อน

ฟู่เสี่ยวกวนทำราวกับมิมีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินไปดูหวางเอ้อและหวางเฉียง ทั้งสองต่างหวาดกลัว แต่โชคยังดีที่มิได้รับบาดเจ็บ

หลังจากนั้นเขาก็แสดงความซาบซึ้งใจกับซูม่อและยอดฝีมือสาวผู้นั้น แต่ทั้งสองคนมิได้สนใจเขา และเดินจากไปในทันที พวกเขาทั้งสองคนสังหารคนพวกนั้นราวกับสังหารหมาสังหารแมว

ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ นี่คือท่าทางของยอดฝีมือ หลังจากที่เรื่องราวจบลง ก็ยังปิดบังชื่อเสียงและบุญคุณ

ภายในเรือนถูกเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว จิตใจของเหล่าชาวนาหวาดกลัวอย่างแท้จริง ชีวิตทั้งชีวิตชาวนาอย่างพวกเขา มิเคยสังหารผู้ใดและมิเคยพบเห็นการสังหารผู้คนมาก่อน !

ภายในเวลาสั้น ๆ ภายในเรือนของคุณชายก็มีคนตายถึง 22 คน มารดามันเถอะ เรือนแห่งนี้ของคุณชายคือพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบชัด ๆ !

ในมุมมองของชาวนาเหล่านี้ ผู้ร้ายพวกนี้สมควรตายอย่างยิ่ง หากพวกเขามิตาย คุณชายก็คงสิ้น หากมิมีคุณชาย นายท่านย่อมเดือดดาลเป็นแน่ พวกเขายังอยู่ที่เรือนซีซาน หากยังปกป้องมิได้แม้แต่คุณชาย นายท่านย่อมขับไล่พวกเขาออกไปเป็นแน่

ครุ่นคิดแล้วก็นึกกลัว โจรสมควรตายเหล่านี้ รนหาที่ตายอย่างแท้จริง ! ดังนั้นจึงถึงขั้นมีคนนำมีดไปแทงอีกคราสองครา

……

…..

ชีหยวนหมิงได้เห็นแสงไฟในเรือนซีซานสว่างขึ้นมาจากไกลๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

การสังหารมิใช่ว่าต้องกระทำการในคืนเดือนมืดลมลอยสูงรึ ?

เหตุใดจึงต้องจุดตะเกียงกัน

ภาพเหมือนของฟู่เสี่ยวกวนเขาได้มอบให้คนพวกนั้นดูนานแล้ว และภายในเรือนนั้นนอกจากฟู่เสี่ยวกวนและสาวรับใช้ของเขาแล้วยังมีคนนอกอยู่อีกเยี่ยงนั้นรึ ช่างเถอะ สังหารหนึ่งก็คือการสังหาร สังหารไปสองก็คือการสังหาร พวกเขาสังหารคนที่อยู่ข้างในนั้นทั้งหมดก็ถือเป็นเรื่องดีมิใช่รึ?

แต่พวกเจ้าจุดตะเกียงขึ้นมาเพื่อการใดกัน ?

หรือว่าหลังจากที่พวกเจ้าสังหารคนได้ก็จะวางเพลิงต่อกัน ?

ชีหยวนหมิงหัวเราะขึ้นมา ทำได้ดียิ่ง ! เยี่ยงนี้ก็เยี่ยมยิ่งนัก เผาร้านสุราของเขาให้ราบ เหยาเซียงของข้าก็จะได้โด่งดังขึ้นมาอีกครา

เขาหยิบเทียนฉุนออกมาหนึ่งขวด แกะห่านย่างออกหนึ่งห่อ และนั่งอยู่ที่พื้นโดยทานห่านย่างและดื่มเทียนฉุนไปด้วย รู้สึกได้ถึงก้อนหินที่กดทับใจนั้นได้แหลกสลายเป็นผุยผงทันพลัน

เขารู้สึกว่าตนเองนั้นผ่อนคลายขึ้นมาก หมอกที่ปกคลุมเขามาเนิ่นนานหลายวันได้จางหายไปจนสิ้น นึกถึงวันพรุ่งนี้ที่แจ่มใส แสงอาทิตย์สาดส่อง

และเขาก็ยังรู้สึกว่าแรงบันดาลใจของตนนั้นเริ่มมีมากมาย

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น บุตรชายตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลิงเจียง ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วมันเยี่ยงไรเล่า ?

คนตายไปแล้ว ทุกอย่างก็ว่างเปล่า เงินจำนวนนับมิถ้วนเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับเขา บทกวีและความฝันในหอแดงเหล่านั้นคงถูกขับขานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เขาก็มิอาจได้สัมผัสถึงความรุ่งโรจน์และคำชมเหล่านั้นได้อีกต่อไป

ดังนั้นคนผู้นี้ ชีวิตนั้นจึงสำคัญที่สุด

ในยามนี้ ความอัปยศที่เขาถูกครอบครัวขับไล่ออกมาก็เหมือนจะเจือจางลงไป มิมีอันใดสำคัญอีกต่อไป เขากัดขาห่านและฉีกเนื้อคำโต เคี้ยวและหัวเราะไปในคราเดียวกัน

ใต้หล้านี้ไร้เซียงเฉวียนและเทียนฉุนแล้ว ความลับของเหยาเซียงก็อยู่ในมือข้า คนโง่จวนชีเหล่านั้น ในไม่ช้าก็เร็วข้าจักทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิด และจะคว้าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของข้ากลับมาให้ได้โดยเร็ว !

เขาหยิบขวดขึ้นมาดื่มสุราหนึ่งอึก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นในป่า เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นโจรทั้งสองคนประคองกันเดินตรงมาทางเขา

เขาสับสนเล็กน้อย ขยี้ตาเบา ๆ ทันใดนั้นโจรผู้หนึ่งก็ยกมีดขึ้นมา และคำรามลั่น “ข้าจักฆ่าเจ้า เจ้าคนโกหก ! ”

ชีหยวนหมิงรีบลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างร้อนรน หันหลังและออกตัววิ่ง เมื่อออกห่างมาได้ไกล จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “นี่มันเป็นเรื่องอันใดกันแน่ ? ”

โจรผู้นั้นถือมีดพร้อมไล่ตามมา “เจ้ายังกล้าถามอีกรึว่าคือเรื่องอันใด ? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่ามันคือเรื่องอันใดกัน เหตุใดในนั้นจึงมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ถึง 2 คน พี่น้องของข้าล้วนอยู่ที่นั่นตลอดกาล เจ้าจงหยุดอยู่ตรงนั้นให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”

ครานี้ชีหยวนหมิงวิ่งได้รวดเร็วยิ่ง เขามิแม้แต่จะหันกลับไปมอง

เสียงตะโกนดังไล่หลังขึ้นมาว่า “เจ้าคนแซ่ชี ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าทั้งโคตร ! ”

ชีหยวนหมิงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต นี่มิใช่จุดจบที่เขาคาดคิดไว้ เรื่องนี้ทำให้ในหัวของเขายุ่งเหยิงไปหมด

เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ ?

เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ได้กัน ?

เขาป้องกันได้เยี่ยงไรกัน ?

หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่เขาวางเอาไว้ ?

เป็นไปมิได้ !

เป็นไปมิได้ !

ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ามันปีศาจ!

……

…..

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพ่นน้ำหอมอยู่ในลาน

กลิ่นโลหิตยังคงมิจางหายไป เขาย่อมมิใส่ใจอยู่แล้ว แต่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานทั้งสองคนนั้นกลับไม่สามารถแบกรับได้แล้ว

เขามิได้รู้สึกว่าทั้งสองคนเสแสร้งอันใด เพราะทั้งสองนั้นบอบบางแต่เดิมอยู่แล้ว

หนึ่งคือธิดาขององค์ฮ่องเต้รัชสมัยปัจจุบัน หนึ่งคือบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง หากพวกนางมิบอบบาง สตรีใต้หล้านี้คงจักสามารถยึดท้องฟ้าไปได้เสียครึ่งแล้ว

สายลมยามค่ำคืนพัดพากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ชะล้างพื้นดินไปนับสิบครั้ง คาดว่าจะมีเพียงเฉพาะตรงมุมเท่านั้นที่ยังมีคราบโลหิตหลงเหลืออยู่

ฟู่เสี่ยวกวนให้คนนำศพของผู้ร้ายเหล่านั้นไปยังหลินเจียงจวนโจว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องแจ้งต่อทางการ ส่วนทางการจะจัดการเยี่ยงไรนั้น นั่นมิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องใส่ใจ

ตอนนี้เป็นยามหยิน สตรีทั้งสองยังมิมีอาการง่วงงุน ทั้งสามคนนั่งอยู่ที่ลาน ชุนซิ่วไปยังห้องครัวเพื่อต้มไข่ลวกและทังหยวน

ยามที่ชุนซิ่วตื่นขึ้นมาในเรือนก็ถูกทำความสะอาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกละอายอย่างยิ่ง ที่ตนเองหลับลึกถึงเพียงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจอันใด

ซูม่อได้ไปอาบน้ำมาแล้ว ในยามนี้ก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน มีสตรีทั้งสองอยู่ด้วย เขาจึงมิได้นั่งลงร่วมกับฟู่เสี่ยวกวน

“เจ้ามีศัตรูหรือไม่ ? ” ซูม่อเอ่ยถาม

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดโดยถี่ถ้วน หลายเดือนมานี้ หากมีศัตรูอย่างแท้จริง เกรงว่าจะมีเพียงจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ต้องการจะฆ่าเขา แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว หรือว่าจวนจางต้องการแก้แค้นกัน ?

มิใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ เพียงแต่มันมีความเป็นไปได้ที่เล็กน้อยยิ่ง

จวนจางคือพ่อค้าผ้าแนวหน้าของหลินเจียง จะเต็มใจตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนฟู่เพื่อบุตรีเยี่ยงนั้นรึ ?

เยี่ยงไรก็ตามการตายของจางเพ่ยเอ๋อร์ก็หาใช่การควบคุมของเขาไม่ กล่าวเยี่ยงไรก็เป็นเพราะสมรู้ร่วมคิดกับชีชื่อ เรื่องราวจึงถูกเปิดเผย นางจึงตัดสินใจโดดลงแม่น้ำไปเพื่อชื่อเสียง

ดังนั้นหลังจากที่ได้ครุ่นคิดไปมา เขาก็ส่ายหน้า

ยามนั้นยอดฝีมือสาวก็เดินเข้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านกำลังจะหมายความว่ามีคนปองร้ายองค์หญิงเก้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”

หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เรื่องราวคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

นี่มิใช่การสังหารเพื่อมุ่งร้าย แต่เป็นการต่อสู้ภายในวัง

ดังนั้นหยูเวิ่นหวินจึงปฏิเสธถ้อยคำนี้ไปก่อน “สังหารข้ามีประโยชน์เยี่ยงไร ? หากต้องการสังหารจริงต้องสังหารเสด็จพี่สามสิจึงจะถูก”

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักนิ่ง แล้วเอ่ยถาม “หมายความเยี่ยงไร ?”

“ข้ามิมีศัตรู พวกเขาสังหารข้าไปก็ไร้ความหมาย แต่กับเสด็จพี่สามมิเหมือนกัน ทางเหนือต้องการสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เจาะจงมาว่าต้องเป็นเสด็จพี่สาม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทางราชสำนักถกเถียงกันมาอย่างเนิ่นนาน มีคนคิดว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับต้าหยูเป็นเรื่องน่าอาย ควรใช้กำลังต่อต้านประเทศฮวง แต่ก็มีขุนนางจำนวนมิน้อยที่คิดถึงในส่วนที่ต้าหยูมิได้ทำการรบมานับสิบกว่าปี ในวันนี้ก็มิรู้ว่ากองทหารจะต่อกรกับกองทหารม้าเหล็กชาวฮวงได้หรือไม่ มิสู้สมรสกันไป แล้วปรองดองทั้งสองประเทศไว้อย่างสันติ เยี่ยงนั้นมิดีกว่าหรือ”

เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็เคยได้ยินมาจากอาจารย์ฉิน แน่นอนว่าเขาชื่นชอบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กองทหารม้าเหล็กชาวฮวงแท้จริงแล้วเก่งกาจถึงเพียงไหนก็ต้องลงสนามแล้วจึงจะได้รู้ พลทหารของราชวงศ์หยูจะสู้รบได้หรือไม่นั้น ก็ต้องลงสนามแล้วถึงจะได้รู้

เขาเองก็เข้าใจว่าความรุ่งเรืองและสันติภาพคือสิ่งจำเป็นสำหรับการล้างบาปของสงคราม แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่กลัวสงครามก็มีมิน้อยเช่นกัน

เรื่องนี้ห่างไกลจากเขานัก เขาจึงมิได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้ได้ยินหยูเวิ่นหวินพูดขึ้นมา จึงได้เอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นราชสำนักในตอนนี้กำลังวางแผนอันใด ? ”