ตอนที่ 140 ไร้ซึ่งความรู้สึก

แม่สาวเข็มเงิน

พวกเจียงป่าวชิงมาถึงเมืองในวันที่สาม

เจียงป่าวชิงผู้เคยไปไกลสุดก็เพียงแค่อำเภอฉือเจีย อีกทั้งยังไม่เคยเข้าเมือง  เวลานี้เมื่อนางได้มองกำแพงเมืองของจังหวัดหยูเฟิงที่ไกลสุดลูกหูลูกตาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอุทานออกมาอย่างตื่นตาตื่นใจ

เมื่อเทียบสิ่งนี้กับกำแพงเมืองที่ทั้งเก่าและชำรุดของอำเภอฉือเจียแล้ว สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความต่างระหว่างบ้านดินกับตึกสูงเลยก็ว่าได้

แววแห่งความสุขปรากฏในดวงตาของกงจี้ เขาชอบมองท่าทางของเจียงป่าวชิงที่เหมือนไม่เคยเห็นโลกมาก่อน เพราะเจียงป่าวชิงคนนี้… หากจะพูดให้ไพเราะคือนางบังคับตัวเองให้สุขุมและไม่เผยอารมณ์ใด ๆ ออกมาสู่สายตาคนภายนอก ทว่าถ้าพูดอย่างตรง ๆ ก็คือนางเหมือนถูกผ้าคลุมอยู่ตลอดเวลา ใจนางคิดอะไร ใครก็ไม่สามารถเห็นได้จากใบหน้าของนางเลย

แม้ว่าบางครั้งนางจะหัวเราะคิกคักและทำท่าทางน่ารักสดใส แต่ในดวงตาของนางยังดูเหมือนเหินห่างออกไปหลายร้อยก้าวพันก้าวทำนองนั้น

อย่ามองว่าตอนนี้นางจะซุกซนกับพวกเขาในบางครั้ง แต่ความเป็นจริง กงจี้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเจียงป่าวชิงระมัดระวังตัวมาก

อาจจะมีเพียงเจียงหยุนชานที่เป็นฝาแฝดกับนางที่สามารถมองเห็นตัวตนจริง ๆ ของนางได้

กงจี้เคาะนิ้วบนขอบหน้าต่างเบา ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่รู้เช่นกันว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ตอนที่พวกเจียงป่าวชิงเข้าเมืองก็ถูกขัดขวางเล็กน้อย พวกเขาถูกทหารเฝ้าเมืองขวางไว้ ไป๋จีจึงเข้าไปเจรจากับทหารพวกนั้น

เจียงป่าวชิงได้ยินผู้คนที่ต่อแถวอยู่หลังรถม้าพูดเร่งอยู่ตลอดเวลา นี่มันน่าอึดอัดจริง ๆ ทว่าผ่านไปสักพัก ไป๋จีก็กลับมาบังคับรถม้าอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็เข้าเมืองได้อย่างราบรื่น

หลังจากเข้ามาในเมืองแล้ว ไป๋จีถึงจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ดูเหมือนเพราะเรื่องวันเกิด ทั้งเมืองจึงบังคับให้ใช้กฎอัยการศึก เราเดินทางมาจากด้านนอก พวกเขาจึงต้องขึ้นรถเพื่อตรวจดู แต่ข้ากลัวว่าจะเป็นการรบกวนนายท่าน จึงทำการยัดเงิน และเอ่อ… พวกเขาถึงจะปล่อยให้เราเข้ามา”

กงจี้พยักหน้าตอบรับ

เจียงป่าวชิงไม่คิดจะสนใจเรื่องพวกนั้น นางเลิกม่านออกเพื่อสังเกตท้องถนนของจังหวัดหยูเฟิง

ต้องบอกว่าไม่ใช่เพียงแค่กำแพงเมืองของจังหวัดหยูเฟิงที่แตกต่างราวฟ้ากับดินกับของอำเภอฉือเจียแล้ว เพราะการก่อสร้างภายในเมืองก็ยิ่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ถนนหินสีเขียวที่กว้างขวางพอสมควรเชื่อมต่อประตูเมืองกับภายในตัวเมืองได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีร้านค้าริมถนนเรียงรายเป็นแถว ๆ ทั้งสองข้างทาง และมีป้ายต่าง ๆ ตั้งเรียงรายอยู่หน้าประตูร้าน สถานที่ประจำบางแห่งที่หันหน้าไปทางถนนยังมีพ่อค้าที่ตั้งแผงขายของริมถนนที่กำลังส่งเสียงร้องขายกันอย่างมีชีวิตชีวา… ทว่าแม้จะเห็นเป็นเช่นนี้ ที่นี่ก็เป็นระเบียบ เจริญรุ่งเรืองกว่าสถานที่เล็ก ๆ ทรุดโทรม ๆ อย่างอำเภอฉือเจียมาก

“ดูไม่เลวเลยนี่” เจียงป่าวชิงกลัวว่าตัวเองจะตื่นเต้นจนเกินไป จึงมองอีกเพียงครู่เดียวก็ปล่อยม่านรถลง

กงจี้หัวเราะอย่างเย็นชา “แน่นอน แม้จังหวัดหยูเฟิงจะเทียบไม่ได้กับดินแดนที่อุดมสมบูรณ์เหล่านั้น แต่ก็ยังคงเป็นดินแดนที่สำคัญสำหรับกองทัพ และการตกแต่งภายนอกยังคงทำได้อย่างที่ต้องการ”

เจียงป่าวชิงพยักหน้าเข้าใจ …หมายความว่าเป็นโครงการเอาหน้าเอาตาเสียส่วนใหญ่สินะ

รถม้าเคลื่อนที่บนถนนหินเขียวอย่างปลอดภัยไร้สิ่งกีดขวางสักพัก หลังจากที่เลี้ยวไปมาหลายรอบ มุดตรอกซอกซอยแล้วก็หลายซอย ก็มาหยุดในซอยลึกแห่งหนึ่ง

นี่เป็นบ้านที่ไม่ต่างจากบ้านข้างเคียงมากนัก  เหล็กบนที่จับประตูบ้านขึ้นสนิมเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีอายุอยู่พอสมควร แต่เป็นครอบครัวที่ธรรมดามาก

ไป๋จีลงจากรถไปเคาะประตูเบา ๆ จากนั้นเขาก็ชะงักไปและทำการเคาะอีกครั้ง

ผ่านไปสักครู่ ประตูบ้านทั้งเก่าและชำรุดนี้ก็เปิดออก  ไป๋จีจูงม้าและบังคับรถม้าเข้าไปในบ้านโดยตรงก่อนที่ประตูบ้านจะปิดลงจากด้านหลัง

ตัวบ้านเงียบเหงาและว่างเปล่าเช่นเคย นอกจากกำแพงสีขาวกับทางเดินเล็ก ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ดู ๆ ไปแล้วนี่มันเหมือนกับความสวยงามของบ้านที่ชีหลี่โวอยู่เหมือนกัน

“…” เจียงป่าวชิงไม่มีอะไรจะพูด

ภายในบ้านหลังเล็กนี้เหมือนไม่มีคนอยู่อย่างไรอย่างนั้น เจียงป่าวชิงถูกแยกไปอยู่ที่ห้องเล็กข้าง ๆ ที่ห่างจากห้องหลักเพียงหนึ่งประตูโค้ง  แต่ในห้องข้าง ๆ นี้ หลังจากที่เปิดเข้าไปแล้วก็พบว่าถึงแม้ว่าการตกแต่งภายในจะเรียบง่าย แต่ของที่จำเป็นนั้นกลับครบครัน แลดูสะดวกสบาย และยังดูออกว่ามีการเลือกมาอย่างพิถีพิถันมาก อย่างเช่นผ้านวมบนเตียงที่นุ่มจนแทบจะเคลื่อนที่เองได้อยู่แล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือหวีไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งทำมาจากไม้กฤษณา มันจึงมีความลื่นมือมาก และเมื่อหยิบมันขึ้นมาก็จะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยโชย

จากที่ได้ฟังความหมายในคำพูดของไป๋จี ก็รู้ได้ว่าบ้านลับที่ใช้พักนี้ยังมีอีกมากในหลายที่

เจียงป่าวชิงได้พบเห็นความไร้มนุษยธรรมของกงจี้อีกครั้ง นางลูบคลำสายรัดข้อมือที่สวมอยู่บนมือซ้ายอย่างไม่รู้ตัว

และในขณะนี้เอง มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก

“แม่นางเจียง” เสียงใครบางคนเรียกขึ้น ทว่านี่เป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย

เจียงป่าวชิงเดินไปเปิดประตูก็เห็นชายหนุ่มสวมชุดองครักษ์แบบเดียวกับไป๋จีที่ยืนอยู่นอกประตู

องครักษ์ผู้นี้ก้มหน้าเล็กน้อย “แม่นางเจียง นายท่านเชิญให้ไปรับประทานอาหารที่ห้องหลักขอรับ”

เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนที่พักผ่อนและรับประทานอาหารที่จุดพักม้าเมื่อสองสามวันนี้ กงจี้ทรมานนางมากอยู่พอสมควร ปากบอกว่าต้องการฝึกมารยาทและท่าทางของนาง แต่เขากลับสั่งให้นางใช้ตะเกียบในการจัดอาหารให้เขาแม้กระทั่งตอนกินข้าว

นี่เรียกว่าการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทของสาวใช้ล่วงหน้าต่างหากเล่า!

แต่คนที่หมัดใหญ่กว่าก็คือเขา

เจียงป่าวชิงลูบสายรัดข้อมือบนข้อมือซ้ายเบา ๆ พลางครุ่นคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็ยอมตกลงไปรับประทานอาหารที่ห้องหลัก

แต่สิ่งที่เจียงป่าวชิงไม่คาดคิดก็คือพวกเขาทั้งสองคนอยู่ในความสงบระหว่างมื้ออาหารนี้ มีอาหารล้ำค่าเลิศรสจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ ซึ่งกงจี้ไม่ได้สั่งให้นางจัดอาหารให้เขาแต่อย่างใด นางจึงมีความสุขกับอิสระของการได้รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากรับประทานกันเสร็จแล้ว องครักษ์สองสามคนก็เก็บอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะออกไป ตอนนี้เจียงป่าวชิงถึงจะนึกขึ้นได้ “เอ้อคุณชายกง ที่นี่ไม่มีสาวใช้เลยสักคนจริง ๆ รึ ?”

กงจี้กวาดสายตามองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย “ก็ใช่สิ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ใช้ให้เจ้ามาแสดงเป็นสาวใช้หรอก”

คำพูดนี้มัน…

เจียงป่าวชิงส่งเสียงอุทานเล็กน้อย “คุณชายกงเชิญคนอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือไง ?”

“ไม่” กงจี้พูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ข้าเห็นว่าเจ้ายังพอถู ๆ ไถ ๆ ได้”

เจียงป่าวชิงส่งเสียงออกมาอย่างไม่พอใจ  เขาพูดเหมือนนางเต็มใจมาเป็นสาวใช้ให้เขามากอย่างนั้นแหละ

กงจี้มองไป๋จี  ไป๋จีเข้าใจได้ทันที เขาไปหยิบถาดออกมา  บนถาดรองมีเสื้อผ้าวางอยู่สองสามชุด ดูจากสีแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เอามาให้พวกผู้ชายเหล่านี้ใส่อย่างแน่นอน

และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ไป๋จีเดินถือถาดมาตรงหน้าเจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง นายท่านให้คนจัดเตรียมชุดเหล่านี้ให้กับเจ้า เดี๋ยวเจ้านำกลับไปลองสวมดู หากว่ามีตรงไหนไม่พอดีกับตัว ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อเปลี่ยนให้ทันที และพรุ่งนี้ตอนวันเกิดของข้าหลวงซุนหรือท่านซุน รบกวนแม่นางเจียงช่วยใส่มันด้วยนะ”

คิดจะแสดงละครตบตาก็ต้องทำให้ถึงที่สุด เห็นทีว่ากงจี้ตั้งใจจะให้นางมาเป็นสาวใช้ข้างกายเขาจริง ๆ แล้วสิ

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร นางรับเสื้อผ้ามาแล้วกอดเสื้อผ้าเหล่านั้นกลับไปที่ห้อง

เมื่อกลับมาลองที่ห้อง นางก็พบว่าเสื้อผ้าเหล่านี้พอดีกับตัวนางมาก เหมือนกับสั่งทำมาเพื่อนางคนเดียวอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจก สาวน้อยน่ารักในกระจกก็หมุนตัวตามนางเช่นกัน

เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะพูดในใจว่าคนเรา ถ้าจะดูดีต้องพึ่งการแต่งตัว เช่นเดียวกับที่ม้าต้องพึ่งอาน และคำกล่าวนี้มันไม่ได้หลอกลวงนางเลยจริง ๆ

เวลาที่ต้องฝังเข็มให้กงจี้ เจียงป่าวชิงก็กลับไปที่ห้องหลัก เมื่อกงจี้เห็นว่านางยังคงใส่ชุดเดิมก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ชุดที่ให้ไปไม่พอดีตัวเจ้าหรือ ?”

เจียงป่าวชิงฝังเข็มเงินที่จุดฝังเข็มบนขาของกงจี้อย่างสุขุมและพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ไม่ มันพอดีตัวมากเลย”

กงจี้หรี่ตาลงเล็กน้อย “แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ใส่มา ?”

เจียงป่าวชิงค่อย ๆ ฝังเข็มเงินลงไปยังจุดซานยินเจียวบนขาของกงจี้ จากนั้นถึงจะตอบเขา “ก็ชุดนั้นเอาไว้ใส่ตอนแสดงเป็นสาวใช้ไม่ใช่รึ ?”

การถามกลับที่เต็มไปด้วยเหตุผลทำให้กงจี้โมโหจนไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว

ไป๋จีที่อยู่ด้านข้างแทบจะอยากจะปลอบใจนายท่านของเขาจริง ๆ

แสดงเป็นสาวใช้วันเดียวก็สิ้นสุดแล้ว นายท่านของเขาใช้ให้คนจัดเตรียมเสื้อผ้านางตั้งหลายชุด เหตุใดแม่นางเจียงถึงไม่คิดใคร่ครวญดูสักหน่อยล่ะว่าควรใส่ออกมา ?

แม่นางเจียงช่างไร้ซึ่งความรู้สึกเสียจริง

.