ตอนที่ 139 ค่าตอบแทน

แม่สาวเข็มเงิน

“ผ้าเช็ดหน้านี้…” เจียงป่าวชิงมองผ้าเช็ดหน้าที่นางเพิ่งใช้เช็ดน้ำลาย “ให้ข้าซักเสร็จแล้วคืนให้เจ้าหรือว่าอย่างไรรึ ?”

เจียงป่าวชิงรู้ว่ากงจี้เป็นคนรักความสะอาดจนเกินไป ของที่นางเคยใช้แล้ว กงจี้แทบจะไม่เคยสนใจมันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกะอีแค่ผ้าเช็ดหน้าเพียงผืนเดียว

และเป็นอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ กงจี้หลุบตาลงต่ำแล้วพลิกเอกสารบนตักเพื่ออ่าน น้ำเสียงของเขามีความขี้เกียจผสมอยู่ “เจ้าทิ้งไปเลยก็ได้”

เจียงป่าวชิงเบะปาก นางรู้ท่าทางของกงจี้อยู่แล้ว

เนื่องจากตอนนี้บรรยากาศภายในรถม้าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่นัก เจียงป่าวชิงจึงเลิกม่านรถและแสร้งทำเป็นดูวิวทิวทัศน์ภายนอกหน้าต่าง แต่นางไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าตัวเองจะถูกมันดึงดูดได้มากเช่นนี้

เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ ก็เป็นเพราะสามารถกล่าวได้ว่านอกจากอำเภอฉือเจียแล้ว นางยังไม่เคยไปสถานที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลที่อื่นเลยน่ะสิ

รถม้าวิ่งไปตามถนนใหญ่ ห่างออกไปไม่ไกล มีแม่น้ำที่ราวกับมาจากบนฟ้าไหลหลั่งลงสู่โลกมนุษย์ ดูทรงพลังและยิ่งใหญ่มาก ทว่าเมื่อมองได้ไม่เท่าไหร่ เจียงป่าวชิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คุณชายกง นี่คือแม่น้ำอะไรรึ ?” เจียงป่าวชิงเกาะหน้าต่างรถและหันหน้ามาถามกงจี้

กงจี้ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “แม่น้ำฮุ่ย แม่น้ำสายนี้กับแม่น้ำชิงจะไหลผ่านจังหวัดหยูเฟิงไปทางซ้ายและขวา”

เจียงป่าวชิงรู้ว่าแม่น้ำชิงเป็นชื่อทางการของแม่น้ำคราดที่ไหลผ่านหมู่บ้านของพวกนาง

เจียงป่าวชิงพูดพึมพำอย่างครุ่นคิด “แม่น้ำทั้งสองเข้าสู่ช่วงเวลาที่น้ำขึ้นแล้ว”

กงจี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ารู้เยอะดีนี่”

เจียงป่าวชิงมองกงจี้แล้วพูดขึ้น “คุณชายกง สิ่งที่ข้ารู้ยังมีอีกมาก ข้าไม่ได้ขาดความรู้ขนาดนั้นสักหน่อย”

กงจี้สงเสียงหัวเราะ จากนั้นเขาก็ยืดตัวตรง “ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าแสดงให้ข้าดูหน่อยสิ ทำให้ข้ารับรู้หน่อยว่าเจ้ายังรู้อะไรอีก”

เจียงป่าวชิงตอบกลับเขาด้วยการหันท้ายทอยใส่เขา จากนั้นก็ดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างต่อ แต่ทว่าทิวทัศน์นอกหน้าต่างส่วนใหญ่ก็เหมือน ๆ กันหมด เจียงป่าวชิงผู้ซึ่งไม่ได้ออกไปข้างนอกตั้งแต่เกิดจึงดูแล้วเกิดความเบื่ออย่างรวดเร็ว นางปล่อยม่านหน้าต่าง จากนั้นก็ยืดตัวตรงพลางรู้สึกเบื่อเล็กน้อย

แต่กงจี้นั้น เวลานี้ดูเหมือนจะคุ้นชินกับความรู้สึกเบื่อเช่นนี้แล้ว เขาพลิกเอกสารที่วางอยู่บนตักด้วยสีหน้าราบเรียบ บางครั้งนิ้วเรียวก็จะเคาะลงไปบนหน้าเอกสาร สีหน้าของเขาก็เหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงรู้สึกเบื่ออย่างยิ่ง จนนางต้องคุยกับกงจี้ “คุณชายกง เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่รึ ?”

กงจี้ให้รางวัลนางด้วยสายตาประมาณว่า ‘เจ้าลองเดาสิ’

เห็นท่าทางของกงจี้ เจียงป่าวชิงก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คงจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับอะไร ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยของกงจี้ เกรงว่าเขาจะบอกนางตรง ๆ ไปแล้วว่า ‘เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้’ ทำนองนั้น

เจียงป่าวชิงจึงขยับตัวไปตรงหน้าเอกสารนั้นเสียเลย ทว่าเมื่อนางเห็นตัวอักษรเล็ก ๆ ที่ละเอียดและแน่นหนานั้นก็รู้สึกเวียนหัวจนต้องถอยกลับมาอย่างพ่ายแพ้

หางคิ้วของกงจี้เลิกขึ้นเล็กน้อย เขาอารมณ์ดีจึงพูดอธิบายให้เจียงป่าวชิงฟังด้วยความเมตตา “นี่เป็นประวัติส่วนตัวของซุนจงอี้ผู้เป็นเจ้าเมืองหยูเฟิงที่พวกเขาส่งมาให้ มีหลายจุดที่น่าสนใจมาก”

เจียงป่าวชิงชะงักไปทันที

รู้อยู่แล้วว่าเบื้องหลังของกงจี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่การที่เขาออกความเห็นเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวของผู้เป็นข้าหลวงอย่างสบาย ๆ เช่นนี้…

เจียงป่าวชิงพยักหน้า “ดูเหมือนท่านซุนหรือว่าซุนจงอี้ผู้นี้คงจะไม่ใช่ขุนนางที่ดีอะไรนะ”

กงจี้ไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะยืนยันโดยที่นางยังไม่แม้แต่จะดูประวัติส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ เขาจึงเกิดความสนใจอยู่เล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”

“ข้าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องอื่น เพียงแค่รู้ว่าในฐานะขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ปล่อยให้ขุนนางท้องถิ่นภายใต้เขตอำนาจของเขาใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกประชาชน ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้ข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่ไม่เรียกว่าสมรู้ร่วมคิดแล้วจะเรียกว่าอะไรได้อีกล่ะ จริงไหม ?” เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนพูดต่อ “การทำให้คลี่คลาย แม้ว่าเขาจะถูกปิดบังจริง ๆ และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการกระทำของขุนนางอำเภอฉือ แต่ถือว่าเขายังมีความผิดที่ตรวจสอบบกพร่อง เพราะเขาบกพร่องจนทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องได้รับความทุกข์ เช่นนี้แล้วเหตุใดถึงยังเรียกขุนนางที่ดีได้อีกล่ะ ? …อย่าว่าแต่ข้าหลวงเลย แม้แต่องค์จักรพรรดิในปัจจุบัน หากว่าเขาไม่รู้จักสันดานคนและใช้งานคนไม่เป็น จนก่อให้เกิดเสียงประณามว่ากล่าวของประชาชนและประชาชนไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้ แม้ว่าเขาจะใจกว้างมากเพียงใด แต่หนังสือประวัติศาสตร์จะวิจารณ์ว่าเขาเป็นแค่ทรราชคนหนึ่งเท่านั้น”

กงจี้มองเจียงป่าวชิงอย่างมีความหมาย “เจ้ากล้ามากนะที่กล้าพูด แล้วยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์ได้แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิในปัจจุบัน”

เจียงป่าวชิงผู้ซึ่งแท้ที่จริงเป็นคนจากยุคสมัยใหม่  อันที่จริงนางไม่ได้รู้สึกเคารพอะไรเป็นพิเศษต่อกษัตริย์ภายใต้ระบบศักดินาศักดินานี้ และไม่มีภาระทางจิตใจที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน นางมองกงจี้เล็กน้อย “แน่นอน ข้าไม่กล้าพูดหรอกหากว่าอยู่ข้างนอกน่ะ แต่ตอนนี้มีแค่เจ้าไม่ใช่หรือ ?” นางชะงักไปเล็กน้อย “อ้อ ใช่ ด้านนอกยังมีไป๋จีอีกคน”

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นเสียงสูง “ไป๋จี เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดเมื่อสักครู่หรือเปล่า ? เจ้าคงจะไม่ไปรายงานข้าต่อทางการใช่ไหม ?”

น้ำเสียงจนปัญญาของไป๋จีดังมาจากนอกรถม้า “แม่นางเจียง เจ้าสามารถทำเหมือนว่าข้าไม่ได้ยินอะไรเลยก็ได้เลยนะ”

เจียงป่าวชิงผายมือให้กงจี้เล็กน้อย “เห็นไหมเล่า นี่ไม่เกี่ยวกับความกล้าอะไรเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างไร เจ้ากับไป๋จีก็ไม่ไปกล่าวโทษข้าอยู่แล้ว”

สำหรับความไว้วางใจของเจียงป่าวชิง กงจี้รู้สึกว่าตัวเองได้ประโยชน์มากทีเดียว เขาพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี และยอมพูดอีกสองสามคำ “อืม… ซุนจงอี้ผู้นี้ไม่ถือว่าเป็นขุนนางที่ดีจริง ๆ อย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ สถานที่ที่เราไปในครั้งนี้ก็คือจวนของซุนจงอี้ เขาฉลองวันเกิดปีที่ห้าสิบของเขาและเชิญคนไปร่วมงานจำนวนมาก การเดินทางครั้งนี้ถือว่าเราจะไปอวยพรวันเกิดให้เขา”

พูดถึงคำว่า อวยพรวันเกิด กงจี้ก็ยิ้มเยาะหยันเล็กน้อย

เจียงป่าวชิงตกใจทันที “ห๊ะ! นี่ข้าก็ต้องไปอวยพรวันเกิดให้กับซุนจงอี้อะไรนั่นด้วยรึ ?”

นางคิดว่าตัวเองเป็นเพียงหมอติดตามการเดินทางที่มีหน้าที่ฝังเข็มให้กงจี้เท่านั้น

กงจี้มองเจียงป่าวชิง “เจ้าไม่เห็นว่าข้าไม่ได้พาฝูฉูมาหรอกรึ ?”

ความหมายชัดเจนมาก นั่นก็คือเขาขาดสาวใช้

เจียงป่าวชิงปฏิเสธทันที “ไม่… ความเป็นมืออาชีพของข้าไม่ดีพอ เจ้าหาคนอื่นเถอะ”

“หือ ?” กงจี้หรี่ตาลงอย่างอันตราย เขายกปลายเสียงขึ้นสูงเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าพาเจ้ามาแค่คนเดียว ถึงตอนนั้นเจ้าก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นให้ข้าซะสิ”

เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “พอแล้ว ทราบแล้วเจ้าค่ะคุณชายกง”

เฮ้อ… การแสดงเป็นสาวใช้คือการทำงานล่วงเวลา แล้วมีค่าทำงานล่วงเวลาหรือเปล่าล่ะ ?

เห็นได้ชัดว่าไม่มีค่าทำงานล่วงเวลา ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจจะมีได้ แต่กงจี้รู้สึกพึงพอใจกับการที่เจียงป่าวชิงเชื่อฟังเขา เขาจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “ประเดี๋ยวพอถึงจุดพักม้า ข้ามีของจะให้เจ้าด้วย”

คุณชายกงออกมือเองทั้งที จะเป็นของธรรมดาได้อย่างไร  ดังนั้น เมื่อมาถึงจุดพักม้าระหว่างทาง กงจี้ก็สั่งให้ไป๋จีหยิบกล่องไม้จันทน์ออกมา

เจียงป่าวชิงมองกล่องไม้จันทน์ที่งดงามพลางนึกสงสัยว่ามีอะไรบรรจุอยู่ข้างในกันแน่ แต่หลังจากที่เปิดกล่องแล้ว นางก็ตาค้างทันที ในกล่องนี้มีเข็มเงินวาววับวางอยู่ข้างใน และบนเข็มเงินมีบางอย่างที่เหมือนกับสายรัดข้อมือวางอยู่

เจียงป่าวชิงหยิบขึ้นมาดูอย่างนึกสงสัย นางพบว่ามีการทำเป็นชั้นสีเข้ม ๆ ในสายรัดข้อมือ ตารางขนาดเล็กและแน่นหนาที่เห็นในชั้นสีเข้มนี้ทำให้เจียงป่าวชิงแทบจะเข้าใจประโยชน์ใช้สอยของมันได้ในทันที

กงจี้พูดขึ้นอย่างคร่าว ๆ “ชุดนี้ให้เจ้าไว้สำหรับป้องกันตัว และถือว่าเป็นค่าตอบแทนในครั้งนี้เช่นกัน”

อันที่จริงทำมาได้หลายวันแล้ว แต่กงจี้ครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะมอบของสิ่งนี้ให้กับเจียงป่าวชิงอย่างไร โดยที่เขาจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาทางสีหน้า

นางจะได้ไม่ต้องเก็บเข็มเงินไว้ที่เอวอย่างระมัดระวังอีกแล้ว ต่อจากนี้นางสามารถเก็บเข็มเงินไว้ในสายรัดข้อมือที่มีความกว้างไม่กี่นิ้วที่อำพรางสายตาได้ดี ทั้งยังสะดวกและจุของได้มากอีกด้วย นี่แทบจะเป็นอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับการป้องกันตัวที่ปรับแต่งมาเพื่อนางโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงพูดไม่ออก

ไม่ว่าจะเป็นสายรัดข้อมือหรือเข็มเงินชุดนี้ นางดูออกว่ามันถูกออกแบบมานานแล้วอย่างแน่นอน  และดูจากรูปแบบนี้แล้ว กงจี้คงจะให้คนทำขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ

หัวใจของเจียงป่าวชิงเต้นรัวเร็วหลายพันครั้ง สุดท้ายนางก็เงยหน้าขึ้น อารมณ์ทั้งหมดได้กลายเป็นรอยยิ้มที่สดใสงามตา “คุณชายกง ข้าขอขอบคุณเจ้ามากนะ”

ไม่รู้ทำไมเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวแล้ว กงจี้ถึงรู้สึกว่าเหมือนมีคนกำลังใช้มือบีบหัวใจของเขาทำนองนั้น

เขาจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

.