ตอนที่ 138 ติดตามการเดินทาง

แม่สาวเข็มเงิน

การกลับไปของหลิวหมิงอันเงียบเหมือนตอนที่เขามา ไม่รู้ว่าเขากลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนที่เจียงป่าวชิงไปฝังเข็มให้กงจี้ ม้ากับผู้คนที่อยู่ตรงนอกบ้านก็เหมือนไม่เคยมาปรากฏกายที่นี่อย่างไรอย่างนั้น

ดีที่เจียงป่าวชิงไม่รู้สึกสงสัยอะไรต่อเรื่องพวกนี้ ชายหนุ่มที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็นจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง ดังนั้น ตอนที่นางฝังเข็มให้กงจี้ นางก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย และท่าทางทุกอย่างของนางก็ยังคงเหมือนเดิม

ไป๋จีนับถือความรู้ความสามารถของเจียงป่าวชิงจริง ๆ ทว่าเห็นได้ชัดว่าวันนี้กงจี้ใจลอยเป็นพิเศษ เขามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยใบหน้าสุขุมลุ่มลึกแปลกพิกล ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

ตอนที่เจียงป่าวชิงเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางไม่คิดว่าตัวเองจะถูกกงจี้เรียกให้อยู่ต่อ

“หือ ?” เจียงป่าวชิงเลิกคิ้วขึ้น

สีหน้าของกงจี้ปกติดี “วันพรุ่งข้าต้องออกเดินทางไปที่ในเมือง อาจจะต้องพักที่นั่นสองสามวัน”

เจียงป่าวชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “ข้าแนะนำว่าช่วงนี้ทางที่ดีอย่าขาดการฝังเข็มจะดีกว่า อืม… ข้าจะคิดหาวิธีดูก่อน”

กงจี้มองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย “ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องติดตามไปด้วย”

“…”

เขาก็ยังเป็นเขาอยู่วันยังค่ำ วิธีนี้ช่างเรียบง่ายและป่าเถื่อนจริง ๆ แต่… จะทำอย่างไรหากว่าผู้ป่วยไม่สามารถไปรักษาได้ทันเวลา ?  การพาหมอติดตัวไปด้วยก็คงจะสามารถวางใจได้

เจียงป่าวชิงทำการไตร่ตรองอยู่สักครู่โดยที่ไม่พูดอะไร

กงจี้เห็นนางคิดนาน เขาก็เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงของเขามีความไม่พอใจเจืออยู่เล็กน้อย “ทำไม ? เจ้าไม่เต็มใจรึ ?”

ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน เจียงป่าวชิงก็ไม่กลัวกงจี้อีกแล้ว นางมองกงจี้ก่อนจะพูดว่า “คุณชายกง คำว่าติดตามไปด้วยออกจะด่วนตัดสินใจไปหน่อย… ข้าไม่มีอะไรหรอก แต่พี่ชายของข้าอยู่บ้านคนเดียว แล้วแขนของเขายังใช้การได้ไม่สะดวก ข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยวางใจ”

กงจี้กลับไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว เขาเลิกเปลือกตาขึ้นและส่งสายตาดูถูกไปให้เจียงป่าวชิง “ข้าพิจารณาเรื่องพวกนี้ให้เจ้าแล้ว ยังมีอะไรที่ไม่พอใจอีก” กงจี้หยุดพูดไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เรียกฝูฉู

ฝูฉูเลิกม่านเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นก็ถอนสายบัวให้กงจี้อย่างสง่างาม

กงจี้พูดกำชับ “ตั้งแต่วันพรุ่ง เจ้าอย่าลืมส่งอาหารทั้งสามมื้อให้กับคุณชายเจียงที่อยู่บ้านข้าง ๆ และอย่าลืมช่วยเขาในเรื่องต่าง ๆ เช่น การซักเสื้อผ้า และถ้าหากว่าบ้านข้าง ๆ มีงานอะไรที่ทำไม่สะดวกก็ให้ผู้คุ้มกันเป็นฝ่ายเข้าไปช่วย”

ฝูฉูตกตะลึงไปเล็กน้อย แต่นางยังคงคุกเข่าอย่างเชื่อฟังและตอบรับในที่สุด

เจียงป่าวชิงเห็นกงจี้พิจารณาได้อย่างเหมาะสมมาก ประกอบกับเจียงหยุนชานพี่ชายของนางเป็นคนที่พึ่งพาตนเองได้ อีกอย่าง นางออกไปเพียงแค่ไม่กี่วัน รวมถึงการดูแลของตระกูลกงด้วยแล้ว ก็คงจะไม่เป็นอะไร นางจึงพยักหน้าในที่สุด

กงจี้เห็นเจียงป่าวชิงตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าของเขาถึงจะผ่อนคลายลง

กลับมาถึงบ้าน เจียงป่าวชิงก็พูดเรื่องนี้กับเจียงหยุนชาน แต่สิ่งที่เจียงหยุนชานเป็นห่วงอันดับแรกคือความปลอดภัยของเจียงป่าวชิง เขาจึงพูดอย่างร้อนใจ “ข้าเห็นการพูดจาของคุณชายกงไม่ธรรมดา คิดว่าเขาคงจะไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป… จู่ ๆ เขาก็จะพาเจ้าไปในเมืองโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่”

แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่คิดมากเท่าพี่ชาย นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าคุณชายกงคนนั้นจะดูดุไปสักหน่อย แต่จนถึงตอนนี้เขาดูแลข้าดีมาก และเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าครั้งนี้มีอันตราย ข้าคิดว่าเขาก็คงไม่ให้ข้าตามไปด้วย ตอนนี้การฟื้นฟูขาของเขากำลังอยู่ในช่วงสำคัญ เขาจึงห่างข้าไม่ได้จริง ๆ”

เจียงหยุนชานเห็นน้องสาวเชื่อใจกงจี้มาก ก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในใจของเขาเล็กน้อย แต่ความรู้สึกประหลาดนี้เปรียบเสมือนสายลมในป่า เจียงหยุนชานยังไม่ได้ลิ้มรสอะไร มันก็หายวับไปก่อนแล้ว

ตอนที่เจียงป่าวชิงบอกว่ากงจี้จัดให้ฝูฉูเป็นคนมาส่งข้าวให้เขา เจียงหยุนชานก็ตกตะลึงไปทันที จากนั้นก็เกิดริ้วแดงขึ้นตั้งแต่ต้นคอถึงใบหู

เจียงหยุนชานติดอ่างเล็กน้อย “นี่… นี่ออกจะไม่ดีไปหน่อยหรือไม่ รบ… รบกวนคนอื่นเปล่า ๆ นา”

เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ “ข้าฝังเข็มให้เจ้านายนาง นางช่วยส่งข้าวให้พี่ชายข้า ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่เรียกว่ารบกวนตรงไหนกันเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานยังคงไม่เป็นธรรมชาติ “แต่…”

แต่อยู่สักพัก เขาก็ยังหาเหตุผลดี ๆ ไม่เจอ ดังนั้น เรื่องนี้จึงลงเอยทั้งแบบนี้

……

เช้าวันต่อมา เจียงป่าวชิงตื่นแต่เช้าตรู่ นางจัดเก็บเครื่องใช้ประจำวันและเสื้อผ้าสองชุดลงในห่อผ้าเสร็จแล้วก็ออกจากบ้าน

เจียงหยุนชานยังคงกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เล็กน้อย หนึ่งคือน้องสาวเขาไม่เคยห่างบ้านไปไกลขนาดนี้ สองคือเมื่อเขาคิดว่าฝูฉูจะมาส่งอาหารให้เขาทุกวันในอีกสองสามวันข้างหน้า นี่ก็แสดงว่าจะได้เจอหน้ากันทุกวัน…

เจียงหยุนชานตัวแข็งทื่อ สมองของเขาขาวโพลนไปหมด

มีรถม้าหน้าตาพื้น ๆ ธรรมดา ๆ จอดอยู่ตรงนอกบ้าน ไป๋จีทำหน้าที่เป็นคนขับด้วยตัวเอง และเขากำลังนั่งโบกมือให้เจียงป่าวชิงอยู่บนรถ

เจียงป่าวชิงถือห่อผ้าเล็ก ๆ ก่อนจะปีนขึ้นรถม้าอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็หันกลับไปโบกมือให้เจียงหยุนชาน “พี่หยุนชาน พี่ไม่ต้องส่งข้าหรอก กลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”

เด็กหนุ่มจึงต้องระงับความรู้สึกหมดหนทางในใจที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหนลง และโบกมือให้น้องสาวเบา ๆ

เจียงป่าวชิงเลิกม่านเข้าไปในห้องโดยสารก็เห็นคุณชายกงกำลังพิงหมอนอย่างสบายใจ เขานั่งอยู่บนพื้นที่ยกตัวในรถม้า และเลิกคิ้วมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบ  เขาอยู่ในชุดจีนสีขาวทั้งตัว มันยิ่งขับให้เขาดูงดงามหล่อเหลามากขึ้น

เจียงป่าวชิงหน้าแดงและใจสั่นไปพร้อม ๆ กัน ทว่านางรีบแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทำการสังเกตรถม้าคันนี้ทันที

ไม่สังเกตไม่รู้ พอสังเกตเท่านั้นแหละ เจียงป่าวชิงอยากจะประณามการทุจริตของชนชั้นนายทุนจริง ๆ  ด้านนอกรถม้านี้ดูเหมือนหน้าตาพื้น ๆ ธรรมดา แต่การตกแต่งข้างในกลับหรูหรามากเสียจนไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่วัสดุผ้าไหมที่ใช้สำหรับม่านทึบแสงบนหน้าต่างบานเล็กของรถม้าอย่างเดียว เจียงป่าวชิงก็คิดว่านางใช้เวลาสองสามปีก็ยังหาเงินมาทำวัสดุถุงหอมเช่นแบบนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

แต่กงจี้กลับไม่มีความสนใจต่อสิ่งเหล่านี้ เขาเติบโตมาในสภาพแวดล้อมหรูหราแบบนี้มาตั้งแต่ยังเล็ก สำหรับกงจี้แล้ว ความหรูหรานี้เป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันซึ่งไม่คุ้มให้เขามานั่งครุ่นคิดถึงมัน

เจียงป่าวชิงรู้เรื่องพวกนี้ดี นางจึงจัดการกับสภาพจิตใจของตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงข้างหน้าต่างพลางเลิกม่านออกเล็กน้อยแล้วยื่นแขนออกไปหนึ่งข้างก่อนจะออกแรงโบกมือให้เจียงหยุนชานที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “พี่ รีบกลับไปเถอะเจ้าค่ะ ดูแลตัวเองด้วย”

เจียงหยุนชานเห็นท่าทางของน้องสาวร่าเริงดี เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ออกเดินทาง” น้ำเสียงของชายหนุ่มดังออกมาจากในห้องโดยสาร

ไป๋จีได้ยินดังนั้นเขาก็สลัดแส้ม้า จากนั้นล้อรถก็ค่อย ๆ เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ทว่ามั่นคง

ภายในรถม้าเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงล้อด้านนอกที่กดทับถนนบนภูเขาและเสียงเหวี่ยงแส้เป็นบางครั้งของไป๋จี นอกจากนี้ยังไม่มีความสั่นสะเทือนใด ๆ เจียงป่าวชิงจึงค่อย ๆ รู้สึกง่วงนอน นางกำลังนั่งสัปหงกและศีรษะน้อย ๆ ก็โคลงไปมาทั้งอย่างนั้น

เดิมทีกงจี้กำลังอ่านหนังสือ ต่อมาเขาก็พบว่าเจียงป่าวชิงที่กำลังสัปหงกก็น่าสนใจเช่นกัน จึงจ้องเจียงป่าวชิงทั้งอย่างนั้น

ตอนที่เจียงป่าวชิงตื่นขึ้นมาก็ผ่านไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว นางขยี้ตาเสร็จก็เห็นว่ากงจี้ที่นั่งอยู่ฝังตรงข้ามกำลังมองมาที่นางอย่างครุ่นคิด

เจียงป่าวชิงแทบจะตื่นเต็มตาในทันที หัวใจนางเต้นแรงจนรู้สึกว่ามันใกล้จะกระโดดขึ้นมาถึงคอหอยอยู่แล้ว

“อะไรหรือ ?” เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นสงบ

กงจี้ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาก็โยนผ้าเช็ดหน้ามาให้และพูดเบา ๆ “เช็ดซะ”

“…”

เจียงป่าวชิงรับผ้าเช็ดหน้าไปนิ่ง ๆ แล้วทำการเช็ดมุมปากตัวเอง นางพบว่าตัวเองน้ำลายไหลอีกครั้งเมื่อหลับจริง ๆ ด้วย

นี่มันน่าเศร้าใจมาก!