เจียงป่าวชิงหัวเราะเบา ๆ
ช่วงเวลานี้ เจียงป่าวชิงตื่นขึ้นมาออกกำลังกายเลียนแบบท่าสัตว์ในทุก ๆ เช้า ประกอบกับบำรุงเรื่องอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงกินยาบำรุงโลหิตที่ทำมาจากบ้านกงจี้ด้วยแล้ว สีหน้าของนางจึงดีขึ้นเรื่อย ๆ …นางไม่ใช่เด็กปัญญาอ่อนที่ผอมแห้งคนนั้นอีกแล้ว
รอยยิ้มราบเรียบของนาง เมื่อมาอยู่ภายใต้แสงสีทองจากดวงอาทิตย์เช่นนี้ มันกลับถ่ายทอดจิตวิญญาณออกมาทางสีหน้า ฟันขาวและดวงตาสดใสของนาง รวม ๆ แล้วกินใจผู้ที่ได้มองเป็นอย่างมาก
ป๋ายรุ่ยฮัวเห็นเข้าก็รู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย
“สะใภ้ตระกูลป๋าย” เจียงป่าวชิงเรียก น้ำเสียงของนางชัดเจนใสแจ๋ว ฟังแล้วรู้สึกดีเหมือนได้ล้างหน้าด้วยน้ำพุที่ใสสะอาดอย่างไรอย่างนั้น แต่คำถามที่ถามออกมากลับทำให้ป๋ายรุ่ยฮัวตัวสั่นงันงก นางตกตะลึงอยู่กับที่และพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“คนที่ขายเจ้าคือป๋ายเหล่าซาน หากว่าเจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม และอยากเข้าใจเรื่องทั้งหมด เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปคิดบัญชีกับเขาล่ะ ? ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับข้า ?”
เจียงป่าวชิงมองป๋ายรุ่ยฮัวที่ตกตะลึงอยู่กับที่และพูดอะไรไม่ออก นางหัวเราะอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไรอีก ทำเพียงเดินเฉียดไหล่ป๋ายรุ่ยฮัวเท่านั้น
และเจียงป่าวชิงก็ไม่ได้หันกลับมามองป๋ายรุ่ยฮัวอีกด้วย นางถือตะกร้าผักกลับมาที่บ้าน แต่ก็ไม่คิดว่าบ้านข้าง ๆ ที่ไม่มีผู้คนเหยียบย่ำเข้าไปถึงหลังนั้นจะมีผู้มาเยือนในเวลานี้ โดยที่จำนวนผู้มาเยือนก็มากอยู่พอสมควร
เจียงป่าวชิงรีบนับจำนวนคนอย่างรวดเร็วและพบว่ามีคนถึงสิบกว่าคนเลยทีเดียว
ผู้คนนับสิบเหล่านี้ต่างขี่ม้า ดู ๆ รูปลักษณ์แล้ว แต่ละคนมีบุคลิกสูงสง่า ถึงแม้ว่าแบบเสื้อผ้าจะแตกต่างกัน แต่มันกลับให้ความรู้สึกเดียวกันอย่างน่าประหลาด
ทว่าที่น่าแปลกคือพวกเขาต่างหยุดรออยู่ตรงหน้าบ้าน ประตูบ้านปิดสนิทและพวกเขาเองก็ไม่ได้เข้าไปเคาะประตูเช่นกัน เอาแต่นั่งอยู่บนหลังม้านิ่ง ๆ คล้ายกับกำลังรอให้คนข้างในมาเปิดประตูให้อย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงมองพวกเขาสักพัก หนึ่งในผู้นำของคนพวกนั้นก็ลงจากหลังม้า เขาส่งบังเหียนให้คนด้านข้างและเดินมาหานาง
เจียงป่าวชิงถือตะกร้าผัก นางเพิ่งเปิดประตูบ้าน แต่ยังไม่ทันได้เข้าไป จะว่าออกไปก็ไม่ใช่ นางจึงยืนอยู่ข้างประตูเพื่อรอการเข้ามาหาจากคนคนนั้นเสียเลย
ชายหนุ่มคนนี้ดูเหมือนอายุจะยังไม่มากเท่าไหร่นัก ถึงขั้นสามารถกล่าวได้ว่าหน้าตาหล่อเหลายังหนุ่มยังแน่นเลยก็ว่าได้ แต่ตรงแก้มซ้ายของเขากลับมีรอยแผลเป็นที่ยาวขึ้นไปตั้งแต่มุมปากถึงใบหู ทำให้ความหล่อเหลาถูกลดลงไปเล็กน้อย หากว่าคนทั่วไปเห็นแผลนี้ ก็คงจะรู้สึกกลัว แต่เจียงป่าวชิงเป็นแพทย์ที่เคยเห็นแผลและเคยดมกลิ่นคาวเลือดมาจนชินแล้ว นางไม่ได้ยกเปลือกตาขึ้นสูง และไม่มีความผิดปกติปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ในตอนที่เขาหยุดยืนตรงหน้าเจียงป่าวชิง ก็มีความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาไม่คิดว่าจะมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ฉลาดขนาดนี้ในหมู่บ้านบนภูเขาอันห่างไกลนี้ด้วย
“สาวน้อย เจ้าเป็นครอบครัวเกษตรกรที่พักอาศัยอยู่ในบ้านนี้รึ ?” ปลายเสียงของชายหนุ่มสูงขึ้นเล็กน้อย ฟังดูแล้วเหมือนเขาจะประหม่าอยู่นิดหน่อย แต่เจ้าของเสียงนี้เป็นคนที่มีรอยแผลเป็นที่ดูน่ากลัวบนใบหน้าเช่นนี้ มันจึงค่อนข้างแปลกอยู่พอสมควร
เจียงป่าวชิงไม่ได้กลัวเขา นางคิดว่าคนผู้นี้ไม่น่าจะใช่ศัตรูของกงจี้ เพราะถ้าเป็นศัตรูจริง ๆ เหตุใดถึงยังรออยู่ตรงหน้าบ้านอย่างซื่อตรงเช่นนี้ล่ะ
เจียงป่าวชิงพยักหน้าด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย
ชายหนุ่มยกมุมปากขึ้น รอยยิ้มในดวงตาของเขามีมากขึ้นกว่าเดิม “พ่อแม่ของเจ้าล่ะ พวกเขาอยู่ไหม ?”
นี่อาจเป็นการมาตรวจสอบสำมะโนครัว เจียงป่าวชิงครุ่นคิดและตอบอย่างราบเรียบไปด้วย “พวกเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว”
“…” ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพังรึ ?”
เจียงป่าวชิงมองชายหนุ่มอย่างฉงนสงสัย “เจ้าอยากถามอะไรกันแน่ ? อยากถามว่าข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าของบ้านข้าง ๆ หรือเปล่าอย่างนั้นรึ ? ถ้าเช่นนั้นถามมาตรง ๆ เลยก็ได้” ทั้งสองฝ่ายจริงใจต่อกัน จะได้ไม่เสียเวลาของทั้งสองฝ่ายอย่างไรเล่า ?
ชายหนุ่มไม่คิดว่าเด็กสาวชาวนาตรงหน้านอกจากจะไม่หวาดกลัวเขาแล้ว นางยังพูดกับเขาได้อย่างตามใจเช่นนี้อีกด้วย
ต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้เขาจะยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้เด็กหยุดร้องไห้ได้ แต่ก็ใกล้แล้ว หลังจากที่มีรอยแผลเป็นเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของเขา หญิงสาวในเมืองเหล่านั้นไม่หน้าถอดสีก็มักจะตัวสั่นเมื่อเห็นเขา ทว่าเด็กผู้หญิงในหมู่บ้านบนภูเขาที่อยู่ตรงหน้า ที่พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายและเป็นกันเองเช่นนี้ เห็นทีว่าจะหาคนที่สองไม่เจอเสียแล้ว
ชายหนุ่มเกิดความสนใจในตัวเด็กสาวชาวนาตรงหน้า “แล้วเจ้ารู้เรื่องของคนที่อยู่ในบ้านข้าง ๆ เจ้าไหม ?”
“แน่นอน… ว่าไม่รู้” เจียงป่าวชิงตอบกลับไปอย่างว่องไว จากนั้นนางก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เจ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้วใช่ไหม ? ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าบ้านแล้วนะ”
“รอประเดี๋ยว” ชายหนุ่มยื่นมืออกมาขวางเจียงป่าวชิงเอาไว้ “สาวน้อย เวลาเจ้าหลอกล่อผู้คนนี่หน้านิ่งจริง ๆ เลยนะ” เขายกยิ้มริมฝีปากเพียงครึ่งเดียว ทำให้รอยแผลเป็นที่ทอดยาวตั้งแต่มุมปากถึงใบหูตรงบริเวณแก้มซ้ายดูดุร้ายมากยิ่งขึ้น
นี่คือสีหน้าที่เขาฝึกฝนอยู่ตรงหน้ากระจกมาเป็นเวลานานเลยเชียว เขามั่นใจมากว่าใครเห็นเป็นต้องกลัว!
“เจ้ากล้ามาก ไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าหรือ ?” ชายหนุ่มกดเสียงลง ประกอบกับทำสีหน้าโหด ๆ นั้น ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น
แต่จากการที่อยู่กับกงจี้ที่มักจะส่งกระแสสังหารออกมาบ่อย ๆ มาเป็นเวลานาน ทำให้เจียงป่าวชิงมองออกว่าท่าทางเช่นนี้ของชายหนุ่ม เรียกว่าการเขียนเสือให้วัวกลัว
เจียงป่าวชิงอยากตอบกลับเขาจริง ๆ ว่า ‘ข้าไม่กลัวเจ้าจริง ๆ’ แต่ประตูบ้านข้าง ๆ กลับเปิดออกในขณะนี้
ไป๋จียืนอยู่ตรงนอกบ้านและส่งเสียงเรียกให้ชายหนุ่มหน้าแผลเป็นไปทางนั้น “ท่านหลิว!”
ชายหนุ่มคนนี้ที่ไป๋จีเพิ่งเรียกเมื่อสักครู่ก็คือหลิวหมิงอัน เขาตาเป็นประกายทันที จากนั้นก็ไม่สนใจขู่ขวัญเจียงป่าวชิงอีก แต่เลือกที่จะโบกมือและทักทายไป๋จีแทน “องครักษ์ไป๋ ไม่เจอกันนาน เจ้าสบายดีไหม ?”
ไป๋จีดูเหมือนมีความจนปัญญาอยู่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้หลิวหมิงอัน “นายท่านของข้าเชิญท่านหลิวขอรับ”
ตอนนี้สายตาของหลิวหมินอันสามารถกล่าวได้ว่าเป็นประกายเลยทีเดียว เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วก้าวเท้าไปที่บ้านข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถกล่าวได้ว่าเจียงป่าวชิงสลัดเรื่องวุ่นวายออกไปได้แล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจ
ไป๋จีกำหมัดประกบมือให้เจียงป่าวชิงเป็นการขอโทษ “ข้าทำให้แม่นางเจียงต้องมาเกี่ยวข้องแล้ว แม่นางเจียงไม่ได้ตกใจใช่หรือไม่ ? …แม้ว่าท่านหลิวจะหน้าตาดุดันไปสักหน่อย แต่เขาไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหรอก”
“…” เมื่อหลิวหมิงอันที่หูไวตาไวผู้ซึ่งหน้าตาดุไปสักหน่อยแต่ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรได้ยินคำพูดประโยคนี้ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักอยู่ตรงหน้าบ้านทันที
เด็กสาวชาวนาคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ ดูได้จากท่าทางของไป๋จี!
เจียงป่าวชิงส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ข้าไม่เป็นไร ขอตัวก่อนแล้วกัน หากว่ามีอะไรให้ทำก็เรียกข้าได้เลย”
จากนั้นเจียงป่าวชิงก็ถือตะกร้าผักเข้าบ้าน
ตอนนี้ผู้คนกำลังพูดคุยกันห่าง ๆ เสียงจึงดังพอ ๆ กับก่อนหน้านี้ เจียงหยุนชานที่หมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในห้องก็ได้ยินการเคลื่อนไหวเช่นกัน เขาวางพู่กันลงแล้วเดินออกมาจากในห้อง เมื่อเห็นว่ามีคนจำนวนมากอยู่ตรงหน้าบ้านข้าง ๆ เขาก็ตกตะลึงไปทันที “ป่าวชิง เกิดอะไรขึ้นรึ ?”
เจียงป่าวชิงเหลือบมองไปที่บ้านข้าง ๆ เล็กน้อย ชายหนุ่มแซ่หลิวคนนั้นเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าตื่นเต้น แต่ผู้คนที่เขาพามากลับยังคงรออยู่ตรงนอกบ้านอย่างเงียบ ๆ
เจียงป่าวชิงเก็บสายตากลับมาแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ คงจะเป็นคนรู้จักเก่าของคุณชายกงน่ะ… เราไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พี่ พี่อยากกินอะไรหรือ ? ข้าซื้อเนื้อวัวมานิดหน่อย กะว่าจะทำเนื้อสันในทอด พี่ว่าเป็นอย่างไร ?”
เจียงหยุนชานที่ไร้เดียงสาเห็นว่าน้องสาวบอกไม่ให้เขาไปยุ่ง เขาก็ลืมเรื่องการมาเยือนของคนรู้จักเก่าของคุณชายข้างบ้านไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็เข้าไปในบ้านกับเจียงป่าวชิงและพูดคุยกันถึงเรื่องการทำเนื้อสันในทอดอย่างตั้งใจ
ทว่าไป๋จีที่หูไวตาไวได้ยินคำว่า ‘เนื้อสันในทอด’ จากบ้านข้าง ๆ มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร
====
โรงละครเล็ก:
ไป๋จี: นายท่าน ท่านหลิวมาขอพบอยู่ที่นอกบ้านขอรับ
กงจี้: “ข้าไม่อยากเจอ ให้เขาไสหัวไปไกล ๆ
ไป๋จี: แต่ว่านายท่าน ท่านหลิวกำลังพูดคุยกับแม่นางเจียงอยู่นะขอรับ
กงจี้: เจ้าให้เขาไสหัวเข้ามาประเดี๋ยวนี้เลย!
.