ตอนที่ 144 ความลับของอีกฝ่าย

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

นักเรียนกลุ่มใหญ่เบียดแออัดกันออกจากโรงเรียน แต่เงาร่างของเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่นมุ่งไปทางตรงข้ามสู่ชั้นดาดฟ้า เพราะทุกคนต่างรีบร้อนกลับบ้าน จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นพวกเขา

เริ่นเสี่ยวซู่ตามหลังหยางเสียวจิ่นไป แล้วก็พบว่ารูปร่างเธอดีมาก ทั้งยังสูงโปร่งด้วย

หยางเสียวจิ่นเหลือบมามองเขาตอนเลี้ยวเข้ามุมขึ้นบันได เริ่นเสี่ยวซู่รีบหลบตา

พอถึงชั้นดาดฟ้า หยางเสียวจิ่นก็ผลักประตูเหล็กขึ้นสนิมออกแล้วเดินออกไปข้างนอก เริ่นเสี่ยวซู่ตามไป ขณะที่ยืนอยู่เหนือดาดฟ้าเหม่อมองไปยังป้อมปราการ ก็รู้สึกเหมือนว่าสายตาเขาพลันเปิดกว้างออก เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำเช่นนี้ แม้อาคารเรียนจะไม่สูงนัก แต่ก็สูงมากที่จะให้เขาเห็นทิวทัศน์ห่างไกลออกไป

ตอนนั้นเองหยางเสียวจิ่นก็โยนอะไรบางอย่างให้เริ่นเสี่ยวซู่ เป็นมีดที่เธอขโมยไปจากเขานั่นเอง

“พวกเราเสมอกันแล้วนะ” เสียงของหยางเสียวจิ่นสงบนิ่งมาก เธอไม่อธิบายว่าทำไมถึงเอามีดกลับไป และเริ่นเสี่ยวซู่ก็คร้านจะไถ่ถาม

ทั้งสองคนยืนบนดาดฟ้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังของเริ่นเสี่ยวซู่ เขาหันกลับไปมองก็ชะงักกึกเพราะเห็นนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งเดินจับมือขึ้นบันไดมา น่าจะเป็นคู่รักกัน

พอคู่นั้นเห็นว่ามีคนอื่นอยู่แล้ว ก็ดูไม่ได้สนใจอะไร พร้อมเดินหน้าขึ้นดาดฟ้าต่อ ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ต้องรีบปิดประตูดาดฟ้า

คู่รักที่โดนประตูปิดใส่หน้าก็นิ่งงันไป…

เริ่นเสี่ยวซู่ปิดประตูเรียบร้อย พอหันกลับมา ก็เห็นหยางเสียวจิ่นชี้ปืนพกสีขาวเงินขนาดกะทัดรัดชี้มาที่เขาแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่รู้รุ่นปืนทันที ‘SIG.P238’ เป็นรุ่นปืนคลาสสิกของบริษัทซิกซาวเออร์ รู้จักกันในชื่อ ‘หญิงงาม’ แห่งเหล่าปืนพก

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตระหนก เขาพูดว่า “ถ้าอยากจะลงมือฆ่ากัน พวกเราคงลงมือฆ่ากันไปแล้วละ ที่มาที่นี่ก็เพราะต่างคนต่างอยากคุยกันดีๆ ไม่ใช่เหรอไง”

ถ้าหยางเสียวจิ่นคิดจะยิงเขาจริง เธอคงไม่ต้องลำบากโยนมีดกลับมาให้เขาหรอก เริ่นเสี่ยวซู่ไร้ข้อกังวลใจ

หยางเสียวจิ่นเก็บปืน แล้วเอ่ย “นายหนีออกจากวงล้อมของสมาคมตระกูลได้ยังไง”

“ก็วิ่งหนีจนหนีออกมาได้นี่แหละ” เริ่นเสี่ยวซู่ตีหน้าซื่อ

“หลังจากพวกเราออกมาแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับเขาจิ้งซาน” หยางเสียวจิ่นถาม

“ตัวทดลองจำนวนมหาศาลแห่ออกมา แถมมีสัตว์ประหลาดโผล่มาจากปล่องภูเขาไฟด้วย” เริ่นเสี่ยวซู่พูดสรุป “มีเรื่องน่าตกตะลึงเยอะแยะเลย เธอจินตนาการไม่ออกแน่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดในปล่องภูเขาไฟน่ากลัวขนาดไหน”

“ฉันพอจินตนาการออก” หยางเสียวจิ่นแก้

คำตอบของเธอทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ชะงักไป หยางเสียวจิ่นดูพูดได้อย่างหนักแน่นมาก แสดงว่าหยางเสียวจิ่นน่าจะเคยเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขนาดนั้นมาก่อนเหมือนกัน?

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ไม่กลัวว่าฉันจะไปปากสว่างเรื่องเธอให้สมาคมตระกูลชิ่งฟังเหรอ”

“ฉันไม่กลัวเรื่องนั้นหรอก” หยางเสียวจิ่นพูด “เพราะว่านายก็มีความลับที่กลัวสมาคมตระกูลชิ่งรู้เหมือนกัน”

“ความลับอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ลางไม่ดีเลย เขาต้องพลาดอะไรบางอย่างไปแน่!

หยางเสียวจิ่นยิ้มทั้งยังแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งสายหนึ่ง “ตอนที่ลั่วซินอวี่กับฉันเดินทางกลับเส้นทางเดิม พวกเราเห็นฝูงหมาป่ารออยู่ที่ปากทางเข้าหุบเขา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลั่วซินอวี่มีพลังในการกระโดดผ่านเงา พวกเราคงต้องหาทางอ้อมแล้ว แต่ถ้าคำนวณระยะทางที่นายใช้กลับ นายน่าจะมาถึงเมืองก่อนที่ป้อมปราการ 113 จะถูกทำลาย อย่างแรกคือนายไม่น่าวิ่งไวขนาดนั้นถ้าเป็นแค่คนธรรมดาที่มีแรงเยอะกว่าปกติ สอง ถ้านายเป็นคนธรรมดาจริงๆ นายคงผ่านฝูงหมาป่าไม่ได้หรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่เคร่งเครียดขึ้นมา หยางเสียวจิ่นพูดต่อ “ดังนั้นนายจึงเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกัน นายแค่เก็บงำพลังพิเศษตัวเองได้ดีกว่าฉันกับลั่วซินอวี่ ถึงว่าทำไมนายถึงกล้าร่วมขบวนเดินทางเข้าเขาจิ้งซาน เป็นเพราะนายมีไพ่ลับเก็บไว้นี่เอง”

“ขากลับฉันไม่เห็นเจอหมาป่าสักตัวเลย” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงนิ่ง “แค่วิ่งผ่านหุบเขาเร็วๆ พวกแมลงหน้าคนเคลื่อนตัวช้า กว่าพวกมันจะออกจากรู ฉันก็วิ่งออกจากหุบเขาแล้ว”

หยางเสียวจิ่นจ้องเริ่นเสี่ยวซู่เขม็งแล้วว่า “ฉันไม่ฟัง”

เริ่นเสี่ยวซู่หมดคำจะพูด

เขาก็จนปัญญาแล้ว อุตส่าห์อธิบายไปตั้งยาว กลับโดนสามคำตอกหน้าปฏิเสธ

แต่หยางเสียวจิ่นโพล่ง “ฉันไม่ได้พูดเพื่อขู่อะไรนายหรอก แค่อยากบอกว่าทุกคนต่างมีความลับ อย่าทำอะไรที่ทำให้ต่างคนต่างเจ็บดีกว่า”

“ตกลง!” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า พูดตามตรงเขาก็อยากให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ทุกคนต่างอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่มีเรื่องไม่มีราว

ตอนอยู่เขาจิ้งซาน พวกเขาเข้ากันไม่เลว แค่ออกจากภูเขามาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องสู้กันจนตัวตายเสียหน่อย

อีกทั้งถ้าหยางเสียวจิ่นและพรรคพวกของเธอคิดจะลงมือจริง เริ่นเสี่ยวซู่มีแต่จะด้อยกว่า อย่างไรเหยียนลิ่วหยวน เสี่ยวอวี้ และคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนธรรมดา

เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าเพราะพวกเขาพักรบกันชั่วคราว ใช่ว่าตัวเองจะลดความระมัดระวังลงได้ อย่างไรหยางเสียวจิ่นก็เป็นคนที่สามารถฉกมีดที่เธอเพิ่งให้กลับไปได้หน้าตาเฉย จะมีอะไรที่เธอทำไม่ได้กัน…

หลังจากคุยกันเสร็จ หยางเสียวจิ่นก็เตรียมลงไปชั้นล่าง ตอนเดินผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ เธอก็เห็นว่ามือที่เขากำมีดของเธอไว้แน่น

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ทำไมบริษัทหัวจ่งต้องหาซื้อเลือดของผู้มีพลังพิเศษด้วย แล้วทำไมพวกเธอถึงคิดจะฆ่าชิ่งเจิ่น”

“อันตรายในป้อม 109 ใหญ่กว่าที่นายคิด” หยางเสียวจิ่นพูด “อย่าไปหาเรื่องบริษัทหัวจ่ง แล้วก็อย่าคิดจะขายเลือดให้พวกเขาด้วย ฉันบอกได้แค่นี้แหละ ส่วนเรื่องระหว่างพวกเรากับชิ่งเจิ่น นายยังไม่พร้อมจะรู้หรอก”

“ที่นี่มีอันตรายอะไรอีก” เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักงันไป หรือว่านอกจากบริษัทหัวจ่งแล้ว ยังมีองค์กรอื่นๆ อยู่อีก

“อย่าแส่หาเรื่องเลย” หยางเสียวจิ่นพูด “แล้วก็ ฉันว่านายคงไม่มีเวลาไปห่วงเรื่องคนอื่นหรอก นายคาดการณ์การไม่ยอมรับผู้อพยพของคนในป้อมปราการต่ำไปแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้วมุ่น ดูแล้วเรื่องผู้อพยพเข้าป้อมปราการนั้นยังไม่จบสินะ

เขาก้มลงไปดูที่ประตูโรงเรียน มีหญิงสาวคนหนึ่งในผ้าคอและสวมแว่นตากันแดดผู้หนึ่ง พอเธอสัมผัสว่าเขากำลังมองอยู่ก็โบกมือทักทาย

เห็นท่าทักทายอันคุ้นเคย เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ทันทีว่าคือลั่วซินอวี่…

เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะถามไขข้อข้องใจสุดท้าย หรือจะพูดให้ชัดเจนก็คือสิ่งที่เขาอยากรู้ที่สุด “ทำไมถึงมีผู้พลังพิเศษปรากฏกายเยอะขึ้นเรื่อยๆ”

หยางเสียวจิ่นยืนอยู่ตรงประตูดาดฟ้า เธอหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ เธอชี้ไปที่ศีรษะของตัวเองแล้วเอ่ยว่า “มนุษย์ลดศักยภาพทางกายภาพของตัวเองในช่วงวิวัฒนาการ นายเป็นคนพูดเรื่องนี้เองตอนอยู่ในเขาจิ้งซาน ส่วนคุณจางแห่งป้อมปราการ 178 ก็พูดว่าเป็นราคาของสติปัญญา”

“ฉันรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า ตอนนั้นหยางเสียวจิ่นก็เอ่ยเป็นนัยๆ แล้วว่าจางจิ่งหลินไม่ใช่คนธรรมดา แสดงว่าเธอพอเดาตัวตนของเขาออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจเต็มที่

ไม่รู้ทำไม เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าบทสนทนานี้สำคัญเป็นอย่างมาก เหมือนเด็กสาวกำลังใช้สิ่งที่เขารู้อยู่แล้วมาเปิดเผยให้เห็นความลับของโลก เริ่นเสี่ยวซู่พลันจริงจังขึ้นมา

“ก็คือเมื่อจ่ายออกไปแล้ว ย่อมถึงเวลาเก็บเกี่ยว” หยางเสียวจิ่นกล่าว

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะไป “หมายความว่ายังไง”

หยางเสียวจิ่นหัวเราะ เธอกดหมวกลง “เมื่อภัยพิบัติมาถึง จิตตานุภาพกลายเป็นอาวุธที่มนุษย์ใช้เป็นอันดับแรกในการเผชิญหน้ากับอันตราย”