ตกเย็น หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่พาเหยียนลิ่วหยวนและหวังต้าหลงกลับร้าน ก็พบว่ามีเรื่องแปลกๆ ทำไมร้านคนเยอะขนาดนี้ล่ะ

หลังจากมาบริหารร้านแทน พวกเขากล่าวกับหลายคนที่มาหาหมอว่าทางร้านจะไม่รับให้คำปรึกษาทางแพทย์อีก ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของร้านจึงดิ่งลงอย่างรวดเร็ว หลายวันมานี้เขากับเหล่าหวังยังคิดไม่ออกเลยว่าจะทำอย่างไรต่อ

พอเริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไป ก็เห็นว่าคนกำลังมุงอยู่รอบหวังฟู่กุ้ย หวังฟู่กุ้ยกำลังพูดอะไรบางอย่างอยู่

“เถ้าแก่กลับมาแล้วเหรอ!” หวังฟู่กุ้ยเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตาเป็นประกาย

“อืม ทำไมคนเยอะจังล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

หวังฟู่กุ้ยดึงเริ่นเสี่ยวซู่ไปกระซิบที่ด้านข้าง “เมื่อสองวันที่แล้วเราขายยาดำไปชุดหนึ่งจำได้ไหม ทำเอาคนเริ่มแห่มาหาเราแล้วเนี่ย”

“ขนาดนั้นเลย?” เริ่นเสี่ยวซู่มึนงงอยู่บ้าง

“ผู้ชายชอบพูดเรื่องอย่างว่าตอนกินข้าว” หวังฟู่กุ้ยยิ้มแล้วเอ่ย “คนหนุ่มแบบเธออารมณ์พลุ่งพล่าน ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของชายวัยกลางคนกับชายสูงวัยหรอก พวกเขาต่างอยู่เรือลำเดียวกันทั้งนั้นแหละ! อีกอย่างยาดำเราใช้แล้วไม่มีผลข้างเคียง แค่นี้ก็ดีกว่ายาที่มีขายในตลาดแล้ว”

“แต่พวกเราปล่อยขายเยอะๆ ไม่ได้อยู่ดี” เริ่นเสี่ยวซู่ปัดความคิดนั้นไป “บอกพวกเขาว่าเราขายยาแค่ชุดละสัปดาห์ ไม่มากไปกว่านั้น”

พอเห็นว่าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ต้องหลุดมือไป หวังฟู่กุ้ยก็หม่นหมอง ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่ยอมให้ยาดำเขามากกว่านี้ เขามั่นใจมากว่าร้านพวกตนจะกลายเป็นร้านยาเพื่อสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในป้อมปราการได้

สามารถผูกขาดยาเพื่อสุขภาพในป้อมปราการได้ ผลออกมาเป็นอย่างไรลองคิดดู…

แต่ในเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่บอกไม่ ก็ทำอะไรต่อไม่ได้แล้ว หวังฟู่กุ้ยได้แต่ไปบอกลูกค้าว่าถ้าอยากซื้อยาดำก็ต้องรอสัปดาห์หน้าเลย

ทันใดนั้นก็มีลูกค้านายหนึ่งพูด “ฉันให้แปดร้อยหยวนจองยาสำหรับสัปดาห์หน้า เก็บส่วนของฉันไว้ให้ด้วย!”

หวังฟู่กุ้ยตาสว่างโรจน์ พวกเขาทำแบบนี้ได้ด้วยนี่

ขนาดเป็นพ่อค้าหัวแหลม หวังฟู่กุ้ยยังไม่ทันนึกเลยว่าชายวัยกลางคนในป้อมปราการจะต้องการยาดำมากขนาดนี้!

พอคนอื่นได้ยินว่ามีคนเสนอเพิ่มเงินสองร้อยหยวนเป็นการจอง อารมณ์ความอยากได้ก็หดหาย ถึงพวกเขาจะอยากซื้อยาดำ แต่ก็ไม่โง่ขนาดนั้นหรอก หลังจากคนที่จองจ่ายมัดจำเสร็จ คนอื่นๆ ก็แยกย้ายหายไป

เหยียนลิ่วหยวนที่อยู่ใกล้พูด “พวกเราใช้ขวดกระเบื้องเคลือบธรรมดาต่อไม่ได้แล้ว พวกเราต้องหาบรรจุภัณฑ์แจ่มๆ ทำให้มันกลายเป็นของเลอค่าซะ! ยิ่งทำให้ยาดำลึกลับเท่าไรยิ่งดี!”

“ลิ่วหยวนฉลาดมาก!” หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างตื่นเต้น “ต่อไปพวกเราไม่ต้องหาของขายแล้ว ขายยาดำชุดหนึ่งต่อคนก็ทำให้รวยเละแล้ว!” หวังฟู่กุ้ยเหมือนจะเห็นโอกาสธุรกิจดีๆ แล้ว

“ได้” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “เห็นว่าอย่างไหนควรก็ทำตามนั้นเลย ยังไงฉันก็ค้าขายไม่เป็นอยู่ดี ว่าแต่เฉินอู๋ตี๋ไปไหนแล้วล่ะ”

“พอพวกเธอไปโรงเรียนเขาก็ออกไปเลย” หวังฟู่กุ้ยพูด “ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน และก็ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ไหน แต่ไม่ต้องห่วง ถึงเวลาอาหารก็กลับแน่นอน เขาตรงต่อเวลามาก…”

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “เขาจำได้แต่เวลากินเหรอไงนั่น”

หวังฟู่กุ้ยเงียบไปพักหนึ่ง “ไม่ใช่อย่างนั้น ที่กลับมาไม่ใช่เพราะหิวหรอก”

เริ่นเสี่ยวซู่งง “แต่ลุงบอกเขาจะกลับมาเวลาอาหารแน่นอนไง ถ้าไม่ได้มากินข้าว แล้วกลับมาทำไมล่ะ”

ทันใดนั้น เฉินอู๋ตี๋ก็เดินกลับเข้ามาจากข้างนอกพร้อมของเต็มอ้อมแขน หวังฟู่กุ้ยมองเฉินอู๋ตี๋อย่างเหม่อลอย “เอาอาหารกลับมาให้พวกเรา…”

เขาได้ยินเฉินอู๋ตี๋ตะโกนสุดเสียง “ท่านอาจารย์ ข้ากลับมาจากการออกบิณฑบาตแล้ว”

เริ่นเสี่ยวซู่ “???”

เขาเห็นอาหารกองใหญ่ในอ้อมแขนของเขา มีทั้งหมั่นโถว ขนมเปี๊ยะ และผักดองถุงเล็กๆ มีอาหารหลายประเภททีเดียว

แต่เริ่นเสี่ยวซู่คิดไม่ออกเลยว่าเฉินอู๋ตี๋นั้นเข้าบทบาทตัวเองมากขนาดไหน

เฉินอู๋ตี๋ยัดอาหารทุกอย่างในอ้อมแขนของเริ่นเสี่ยวซู่ เขางุนงงไป “นายไปเอาอาหารเยอะแยะขนาดนี้มาจากไหนเนี่ย”

เดิมเริ่นเสี่ยวซู่ก็กังวลอยู่ว่าเฉินอู๋ตี๋จะกินอาหารเยอะเกินไป แต่ดูแล้วเฉินอู๋ตี๋นั้นพึ่งตัวเองได้หายห่วง!

“ได้มาตอนออกบิณฑบาต” เฉินอู๋ตี๋หัวเราะ

“นายขออาหารแล้วคนก็ให้อะนะ พวกเขาใจกว้างขนาดนั้นเลย?” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย

“พวกเขาไม่ได้ให้มาเปล่าๆ หรอก ข้าบอกว่าข้าจะช่วยพวกเขาปราบมาร” เอินอู๋ตี๋พูด

เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึง “นายเปิดเผยพลังตัวเองเหรอ”

“ข้าหาได้ใช้ออกไปไม่ ท่านอาจารย์สั่งข้าไม่ให้แสดงพลังไม่ใช่หรือ” เฉินอู๋ตี๋พูด

เริ่นเสี่ยวซู่จึงถอนหายใจออกมาได้ในที่สุด เขาละกลัวจริงๆ ว่าเฉินอู๋ตี๋จะถูกองค์กรต่างๆ หมายหัว “แล้วนายไปเอาอาหารจากพวกเขาได้ยังไงล่ะ”

เฉินอู๋ตี๋คิดพักหนึ่ง “ใช้กำลัง”

เริ่นเสี่ยวซู่ “…”

เดี๋ยวนะ! เหมือนว่าความคิดเรื่องบิณฑบาตเป็นเขาเองที่สอนเฉินอู๋ตี๋นี่ ยามที่กำลังหนีตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่สั่งให้เฉินอู๋ตี๋ไปขอบิณฑบาตจากผู้อพยพ

นิยามของการบิณฑบาตที่เฉินอู๋ตี๋เข้าใจคือสิ่งที่เริ่นเสี่ยวซู่สอนสั่งไปสินะ?

ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ละกลัวว่าเจ้าหน้าที่จากกองดูแลความสงบเรียบร้อยจะมาลากตัวเฉินอู๋ตี๋ออกไป เขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าเฉินอู๋ตี๋ขอบิณฑบาตมาอย่างไร ไม่รู้ว่าการกระทำของเขาจะนับว่าเป็นการโจรกรรมหรือเปล่า

“เอ่อ…” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างจริงจัง “ช่วงนี้นายอย่าออกไปข้างนอกดีกว่า”

“ทำไมล่ะ” เฉินอู๋ตี๋พูด

“หนึ่ง พวกเรายังมีอาหารเหลือเฟือ” เริ่นเสี่ยวซู่พูด “สอง ตอนนี้นายอยู่เงียบๆ ไปก่อนจะดีกว่า”

“อาจารย์ ข้าทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ที่บ้านน่าเบื่อจะตาย พวกตือโป๊ยก่ายมีเรื่องให้ทำ แต่ข้าไม่มีอะไรให้ทำเลยนี่” เฉินอู๋ตี๋ตีหน้าเศร้า

เริ่นเสี่ยวซู่ลำบากใจ “งั้นถ้าอยากออกไปข้างนอก ก็ไม่ต้องไปขอบิณฑบาตแล้วนะ เข้าใจไหม”

“ได้เลย” เฉินอู๋ตี๋รับคำ คำพูดผู้อื่นเขาไม่สนใจได้ แต่คำพูดของอาจารย์เขาไม่สามารถละเลย

หลังจากถูกหยางเสียวจิ่นเตือน เริ่นเสี่ยวซู่ก็กังวลกว่าเดิมว่าจะมีองค์กรสักองค์กรเล็งเป้ามาที่เฉินอู๋ตี๋ โดยเฉพาะบริษัทหัวจ่งที่ลึกลับนั่น

ถ้าเป็นองค์กรอื่นยังไม่เท่าไร แต่บริษัทหัวจ่งดูจะเล็งผู้มีพลังพิเศษโดยเฉพาะ

โชคดีที่ที่นี่ไม่ใช่อาณาเขตของบริษัทหัวจ่ง

ตอนนั้นเองเสี่ยวอวี้ก็เดินมาจากข้างนอก เธอโบกมือให้เริ่นเสี่ยวซู่แล้วเอ่ย “เสี่ยวซู่ มาดูของขวัญที่พี่สาวเอามาให้ซิจ๊ะ”

พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นของขวัญก็ตะลึงไป ไม่รู้ว่าเสี่ยวอวี้ซื้อจักรยานมาจากไหน เธอขี่จักรยานไม่เป็น เลยเข็นเองมาตลอดทาง

“พี่เสี่ยวอวี้ไปซื้อเจ้านี่มาจากไหนล่ะ ราคาคงไม่เบาเลยสินะ” เริ่นเสี่ยวซู่สงสัย

“ไม่เป็นไรหรอก พี่สาวมีเงินเก็บ มีแบบนี้ต่อไปเธอจะได้ไปโรงเรียนง่ายๆ” เสี่ยวอวี้พูดอย่างมีความสุข ราวกับเป็นคนได้รับของขวัญเองอย่างไรอย่างนั้น

ตอนที่เธอเข็นจักรยานไปไว้หลังบ้าน เหยียนลิ่วหยวนก็เข้าไปหา “พี่ขี่เป็นหรือเปล่า ทรงตัวบนแค่สองล้อไม่ยากเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “มีใครขี่เป็นบ้าง”

คนมุงกันรอบจักรยาน หวังฟู่กุ้ยและเสี่ยวอวี้ต่างส่ายหัว

เริ่นเสี่ยวซู่ลองพยายามขี่อยู่หลายรอบ แต่ก็ยังหาวิธีไม่ได้ เขาจึงคิดจะไปขอคำแนะนำจากเจียงอู๋ไม่ก็หยางเสียวจิ่นพรุ่งนี้