บทที่ 37.2 ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนาน (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ฮูเหยียนเอ้าป๋อถอนหายใจและพูดว่า “ใช่ มันเคยมี แต่นั่นเป็นความพยายามร่วมกันของอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทวะและระดับเทพเจ้าหลายคน ไม่ใช่เพียงคนๆ เดียว นอกจากนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานมีจำนวนศาสตรายุทธ์มากถึง 10 ชิ้น ในอดีตผู้ก่อตั้งของเราทะนงตนมากเกินไป และตั้งเป้าหมายไว้ยิ่งใหญ่แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ร่างชุดศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานที่สร้างได้ยากขนาดนี้ขึ้นมาหรอก”

คำพูดของฮูเหยียนเอ้าป๋อทำให้หัวใจของโจวเหว่ยชิงบีดรัดแน่นขึ้น อันที่จริงเมื่อเทียบกับบรรพบุรุษจ้าวมณีสวรรค์ที่สร้างชุดภาพร่างศาสตรามณียุทธ์ระดับตำนานขึ้นมาคนนั้น โจวเหว่ยชิงก็มีข้อได้เปรียบกว่าเขามาก อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะสามารถกลายเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับเทพเจ้าได้หรือไม่ อย่างน้อยเขาก็น่าจะสามารถประหยัดวัตถุดิบได้จำนวนมหาศาล สำหรับโจวเหว่ยชิงแล้วกระดาษแผ่นเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างม้วนคัมภีร์ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้มันจึงช่วยประหยัดหมึกศาสตรามณียุทธ์ได้อีกเป็นจำนวนมาก

เช่นเดียวกับม้วนคัมภีร์เพียงแผ่นเดียวที่นิกายของพวกเขาสร้างสำเร็จ สำหรับคนอื่นๆ มันอาจจะไม่เป็นประโยชน์มากนัก แต่สำหรับเขา เพียงแผ่นเดียวก็เพียงแล้ว

ฮูเหยียนเอ้าป๋อลุกขึ้นยืนและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เอาล่ะ เจ้าต้องลำบากมาหลายเดือนและคงจะเหนื่อยมาก เจ้าจะต้องออกเดินทางในอีกไม่กี่วันแล้วดังนั้นควรพักผ่อนให้เต็มที่เช่นกัน การสร้างคัมภีร์ระดับพื้นฐาน 2-3 กล่องสุดท้ายให้สำเร็จนั้นสำคัญก็จริง แต่ร่างกายของศิษย์รักอันล้ำค่าของข้าก็สำคัญพอๆ กัน เจ้าควรฝึกปราณสวรรค์ในขณะพักผ่อนด้วย มันจะช่วยฟื้นฟูร่างกายของเจ้าไปพร้อมกัน”

หลังจากฮูเหยียนเอ้าป๋อจากไป โจวเหว่ยชิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น ฝึกปราณ? เขาไม่กล้าที่จะจดจ่อไปที่การฝึกปราณอีกแล้ว! หลังจากอาศัยอยู่ในเมืองภูเขาลอยฟ้ามาเป็นเวลา 4 เดือน แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาจะหมดไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ แต่นั่นก็ยังทำให้เขาต้องใช้พลังปราณสวรรค์จำนวนมหาศาลไปจนเกือบหมด จากนั้นก็ฟื้นฟูและทำซ้ำใหม่อีกครั้ง…และอีกครั้ง แน่นอนว่านั่นก็คือวิธีฝึกปราณไปในตัวด้วยเช่นกัน! นอกจากนี้ วิชาเทพอมตะของเขายังแตกต่างจากวิชาฝึกปราณอื่นๆ มาก แม้เขาจะไม่ได้เพ่งสมาธิฝึกปราณด้วยตัวเองแต่ก็ร่างกายของเขาก็ยังคงดูดกลืนปราณจากภายนอกเข้ามาได้ด้วยตัวมันเอง ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมานี้เขาสะสมปราณสวรรค์ไปจนเข้าใกล้จุดที่จะทะลวงผ่านไปอีกขั้นได้แล้ว แต่ทว่าเขาก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เขาควรจะทะลวงจุดตายที่ 12 ดี

อย่างไรเสียความรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายจากการทะลวงจุดตายแต่ละจุดก็ได้ทิ้งบาดแผลลึกไว้ในใจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่เคียงข้าง เขาก็ไม่กล้าพอจะทะลวงผ่านจุดตายต่อไปเนื่องจากกลัวว่าตนจะไม่อาจอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ ครั้งก่อนๆ แม้ว่าจะมีปิงเออร์อยู่เคียงข้าง เขาก็แทบจะอดทนผ่านมันไปไหวอยู่แล้ว และด้วยนิสัยเดิมของเขา เขาก็กลัวความเจ็บปวดและกลัวตายอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การฝึกปราณในตอนนี้ เขาคิดว่าจะทำเช่นนั้นก็ต่อเมื่อไปถึงเมืองเฟยหลี่และรวมตัวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์เสียก่อน เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจจะสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน 3 กล่องสุดท้ายให้สำเร็จก่อนเป็นอันดับแรก

ในช่วง 2-3 วันถัดมา โจวเหว่ยชิงก็ปรับลดระยะเวลาที่เขาใช้ไปกับการสร้างม้วนคัมภีร์เพื่อให้แน่ใจว่าตนได้พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนั้น ในพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไป 3 วัน ตกกลางคืน ในที่สุดเขาก็สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แผ่นสุดท้ายสำเร็จ

แสงสีเขียวสลัวเรืองรองออกมาล้อมรอบตัวเขาขณะที่ปลายพู่กันตวัดออกไปเป็นแสงสีเงิน ในขณะนี้มณีธาตุทั้ง  2 ดวงที่ข้อมือขวาของเขาเปล่งประกายแสงสีเงินและสีเขียวตามลำดับ นั่นแสดงถึงทักษะธาตุมิติและธาตุลมที่เขากำลังใช้งานอยู่ ด้วยทักษะธาตุทั้งสอง การเคลื่อนไหวบนปลายพู่กันของเขาก็เหมือนกับสายน้ำที่ไหลผ่านพื้นผิวกระดาษศาสตรามณียุทธ์ เขาได้สร้างม้วนคัมภีร์เช่นนี้มาแล้วกว่า 1,000 แผ่นและคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ในขณะที่เขายกปลายพู่กันขึ้นครั้งสุดท้าย หมึกและกระดาษก็หลอมรวมกันได้อย่างลงตัว พวกมันเปล่งแสงสีทองที่สว่างไสวงดงามออกมา เสร็จสมบูรณ์แล้ว!

“ม้วนคัมภีร์ใบที่ 1,000!! ฮ่าๆๆๆ!! ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จ!” โจวเหว่ยชิงโยนพู่กันในมือทิ้งไปก่อนจะหงายตัวไปข้างหลังและนอนลงกับพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ของเขาอีก ในขณะที่เขาถอยกลับไปถึงตรงกลางห้อง เขาก็สูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม อึดใจต่อมาเขาก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ทำม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานครบทั้ง 392 กล่องแล้ว! 4 เดือนแห่งความพยายามและความมุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้ง ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จ! ความรู้สึกราวกับผู้ชัยชนะกำลังท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเขา เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน กล้ามเนื้อที่เคยเหยียดตึงก็คลายลง ภาพเหตุการณ์ตลอดทั้ง 4 เดือนที่ผ่านมาก็ไหลย้อนเข้ามาในสมองของเขาขณะที่นอนหงายพลางครุ่นคิดถึงพวกมันไปด้วย

โจวเหว่ยชิงหลับตาลง เขารับรู้ถึงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังรู้สึกราวกับว่าไม่อยากจะทำอะไรแม้แต่ขยับนิ้ว เพียงแค่อยากนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอกสบายใจ

สายตาของเขาค่อยๆ พร่ามัว ขณะที่ร่างกายของเขาผ่อนคลายลง ความเหนื่อยล้าก็กำลังแผ่กระจายไปทั่วอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การหายใจของเขาค่อยๆ สม่ำเสมอ จากนั้นก็เผลอหลับไปตรงนั้น

เวลาผ่านไปไม่นาน เจ้าแมวอ้วนสีขาวตัวน้อยซึ่งนอนหลับอยู่ข้างๆ โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีม่วงอ่อนของมันพลันไหวระริกเมื่อจ้องไปที่โจวเหว่ยชิง อักษรคำว่า ‘ราชา’ บนศีรษะของมันดูเหมือนจะขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นดูเหมือนว่ามันจะค้นพบบางอย่าง ร่างของมันพลันกระโดดไปที่ศีรษะของโจวเหว่ยชิงก่อนจะวางอุ้งเท้าหน้าลงไปบนใบหน้าของเขาและผลักไปมาขณะที่ส่งเสียงคำรามต่ำๆ

“หยุดนะ เจ้าแมวอ้วน…” โจวเหว่ยชิงหันหลังหนีอย่างเกียจคร้าน เขาผลักมันออกไปแล้วกลับเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่ทว่ามันกลับกระโดดไปอีกด้านหนึ่งและผลักศีรษะของเขาต่อ

ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อย “ฮึ? ทำไมถึงร้อนแบบนี้?” เขาขมวดคิ้วก่อนจะเลิกชายเสื้อขึ้น อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

*แควก* เสื้อผ้าของโจวเหว่ยชิงแทบจะถูกฉีกกระชากจนสลายกลายเป็นฝุ่น นั่นทำให้แมวอ้วนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาตกใจและกลิ้งหนีออกไป 2-3 หลา

เมื่อไม่นานมานี้โจวเหว่ยชิงเพิ่งจะหลับฝันอยู่ในห้วงนิทรา ทว่าในขณะนี้ร่างกายของเขากลับอาบไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ความรู้สึกอันน่าหวาดผวาผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาจากนั้นลวดลายเสือดำก็ปรากฏขึ้นบนผิวของโจวเหว่ยชิงราวกับมีเวทมนตร์ พวกมันกระเพื่อมเหมือนระลอกคลื่นอยู่รอบๆ ตัวเขา พลังปราณสวรรค์ภายในร่างของเขาดูเหมือนจะพุ่งทะลักออกมาเหมือนน้ำเดือด มันไหลพล่านไปทั่วร่างกายของเขาก่อนจะมุ่งหน้าไปยังจุดตายบนปุ่มกระดูกสันหลังส่วนเอวจุดที่ 3 จุดตายฉีไห่ และนั่นก็เป็นจุดตายที่ 7 ในวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2

หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่โจวเหว่ยชิงหวาดกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาทะลวงจุดตายจุดที่ 6 เวลาก็ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น และในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมานี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้มุ่งฝึกปราณสวรรค์ แต่การใช้ปราณอย่างต่อเนื่องก็ทำให้หลุมดำพลังปราณของเขาต้องหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด ดึงพลังปราณจากภายนอกเข้ามาเติมเต็มพลังปราณที่ถูกใช้ไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พยายามทะลวงจุดตายอื่นๆ อีก แต่พลังปราณสวรรค์ของเขาก็มาถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาสร้างม้วนคัมภีร์แผ่นสุดท้ายเสร็จ ร่างของเขาก็ผ่อนคลายและหลับไปอย่างไม่รู้ตัวจนลืมควบคุมพลังปราณสวรรค์ของเขาเอาไว้ เมื่อพลังปราณของเขาถูกปล่อยให้หมุนเวียนไปตามธรรมชาติ พวกมันจึงไปถึง ‘ขีดจำกัด’ และเริ่มไหลทะลักเข้าไปยังจุดตายจุดถัดไปของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้

เจ้าแมวอ้วนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของเขา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่มันเริ่มพยายามปลุกเขาขึ้นมา ทว่าพลังปราณสวรรค์ของเขากลับพุ่งพรวดไปยังจุดตายที่ 12 ของเขาทันทีโดยที่เขายังไม่ทันได้เตรียมการใดๆ เลย

“ให้ตาย! นี่ไม่ใช่บังคับเด็กสาวขายตัวหรอกหรือ[1]?” โจวเหว่ยชิงร้องออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศกและไม่พอใจ ในเวลานี้เขาไม่อาจแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกมาได้เนื่องจากพลังปราณสวรรค์ที่พลุ่งพล่านนั้นได้อยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว มันกำลังมุ่งไปที่จุดตายฉีไห่เหมือนกับกองทัพที่กำลังเคลื่อนพลไปข้างหน้าช้าๆ

เนื่องจากวิชาเทพอมตะส่วนที่ 2 นั้นมีจุดตายทั้งหมดอยู่ที่แผ่นหลัง ดังนั้นขณะที่พลังปราณสวรรค์ของเขาไปถึงจุดตายฉีไห่ มันก็ได้ไหลผ่านจุดตายทั้ง 6 จุดบนแผ่นหลังของเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งทุกครั้งที่มันไหลผ่านจุดตายหนึ่งจุด พลังปราณสวรรค์ก็จะได้รับการกระตุ้นจากหลุมดำพลังปราณบริเวณจุดนั้นจนทำให้มีกำลังรุนแรงมากขึ้น ท้ายที่สุดก็ดูเหมือนว่าพลังปราณสวรรค์ขุมนี้จะมีพลังพลุ่งพล่านมากจนไม่อาจหยุดยั้งได้แล้ว

ตอนนี้โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่ากระดูกสันหลังของเขากลายเป็นแท่งเหล็กร้อนที่ถูกเผาจนขึ้นสีแดง เขารู้สึกเจ็บปวดทรมาณอย่างถึงที่สุด! กระดูกสันหลังมีเส้นประสาทกี่เส้นกันล่ะ? ทุกๆ เส้นล้วนได้รับผลกระทบจากกระแสพลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งกลุ่มนั้น และความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์รับไหวอย่างแน่นอน เขาแทบจะทนความเจ็บปวดในครั้งนี้ไม่ไหว ร่างของเขาดิ้นพล่านไปมาบนพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกครั้งที่โจวเหว่ยชิงชักกระตุก ลวดลายสีดำบนร่างกายของเขาก็จะดูชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งกล้ามเนื้อของเขาก็ยังขยายใหญ่ขึ้นจนเส้นเลือดใต้ผิวหนังโป่งพองขึ้นมาอย่างชัดเจน  ขณะที่เขาดิ้นไปมาบนพื้น ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนั้นก็ทำให้สถานะปีศาจกลายร่างของเขาเริ่มทำ งานอีกครั้ง แต่ถึงแม้เขาจะอยู่ภายใต้สภาวะที่ว่านั่น โจวเหว่ยชิงก็ยังคงไร้เรี่ยวแรงเพราะความเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือความเร็วในการฟื้นฟูที่เพิ่มมากขึ้น และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้ความทุกข์ทรมานของเขาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

จุดตายฉีไห่เป็นหนึ่งในจุดตายที่สำคัญที่สุดในร่างกาย สาเหตุหลักก็เป็นเพราะว่าที่นั่นเป็นสถานที่กักเก็บพลังปราณสวรรค์ภายในร่างของเขา จุดตายฉีไห่อยู่ในตันเถียน และนั่นก็คือจุดที่พลังปราณสวรรค์มารวมตัวกัน! และขณะนี้พลังปราณสวรรค์ทั้งหมดของเขากำลังพุ่งลงไปที่จุดตายฉีไห่ โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะสถานะปีศาจกลายร่างที่ฟื้นฟูเส้นชีพจรของเขาขึ้นมาใหม่ และถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นและพละกำลังที่เขามีหลังจากกลืนไข่มุกสีดำเข้าไป ในตอนนี้จุดตายฉีไห่และตันเถียนของเขาคงจะระเบิดไปแล้ว

โจวเหว่ยชิงกำลังสาปแช่งผู้สร้างวิชาเทพอมตะที่น่ารังเกียจนี้ขึ้นมาพร้อมกับด่ากราดบรรพบุรุษของคนผู้นั้นไปอีก 18 ชั่วโคตร อนิจจา ตอนนี้เขาไม่อาจทำอะไรได้นอกจากมองดูกระแสพลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งเคลื่อนไปยังจุดตายฉีไห่ของเขาอย่างช้าๆ

“เอาเถอะ ถ้าวันนี้ต้องตาย ก็ปล่อยให้ข้าตาย!” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เขาแทบฟั่นเฟือน ในเวลานี้หัวใจของเขากำลังโหยหาปิงเอ๋อร์ ความปรารถนาอันบ้าคลั่งนี้ช่างรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าปิงเอ๋อร์อยู่ข้างๆก็คงจะดี…

*ตูม*! พลังปราณสวรรค์ของเขาเหมือนกับมหาสมุทรที่มีแม่น้ำหลายสายไหลทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมันก็มาถึงจุดตายฉีไห่ พลังปราณของเขาได้รับการเติมเชื้อไฟจนถึงขีดสูงสุดแล้ว ทันทีที่มันเข้าสู่จุดตายฉีไห่ มันก็ทะลวงผ่านไปได้เกือบจะในทันที

โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าเพิ่งมีบางอย่างระเบิดออกภายในร่างกายของเขา แม้ว่าตันเถียนของเขาจะไม่ได้ถูกทำลายไปโดยตรง แต่ก็มันยังถูกเจาะเป็นรูจากแรงระเบิดนั้น พลังปราณสวรรค์ที่บ้าคลั่งไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น มันพุ่งทะยานต่อไปยังส่วนที่เหลือของร่างกาย ทำให้เลือดสดๆ ของเขาพุ่งทะลักผ่านชั้นผิวหนังออกมา

*พลั่ก* ประตูถูกกระแทกเปิดออก ฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยูรีบวิ่งเข้ามาทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องก็ต้องหยุดชะงักด้วยความตกใจเนื่องจากสภาพของโจวเหว่ยชิงในตอนนี้นั้นน่ากลัวเกินไป

ร่างกายของเขาถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดสดๆ เป็นชั้นๆ เส้นชีพจรขาดสะบั้นและกล้ามเนื้อก็ฉีกขาด ลวดลายสีดำที่เห็นได้ชัดทั่วทั้งร่างดูเหมือนจะขยับเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งภายในร่างกายของเขา กลุ่มพลังปราณสวรรค์ก็ค่อยๆขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้

ในสายตาของฮูเหยียนเอ้าป๋อและเฟิงหยู พวกเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการฝึกปราณของโจวเหว่ยชิง ลมปราณแตกซ่าน! ทั้งคู่จ้องมองโจวเหว่ยชิงด้วยความตกใจ ด้วยระดับปราณของพวกเขา พวกเขารู้สึกได้ชัดเจนว่าพลังปราณสวรรค์ของโจวเหว่ยชิงกำลังพัดกระหน่ำอยู่ในร่างของเขาอย่างดุเดือด “อะไร…เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของฮูเหยียน  เอ้าป๋อเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความกังวล เขากำลังจะพุ่งไปช่วยเหลือโจวเหว่ยชิงด้วยตัวเอง แต่ทว่ากลับถูกเฟิงหยูรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็ว

…………………………………………………..

[1] บังคับเด็กสาวขายตัว – ถูกสถานการณ์บังคับให้ทำบางอย่างเมื่อจวนตัว