ตอนที่ 138 เปิดห้องเรียนใหม่

ศิษย์หลานข้า ระวังอย่าหลงผิด

“อะไร! อะไร! พูดจริงหรือไม่! ไม่มีการสอบจริงๆ ไม่มีแม้แต่แผ่นเดียว?”

“สหายพูดเล่นเป็นแน่ จุดเด่นของชิงหยางก็คือการสอบไม่ใช่หรือ”

“อาจารย์ในครานี้ป่วยหรือ ตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า หรือว่ามือขาด?”

“ไม่ว่าพวกท่านเชื่อหรือไม่ แต่ข้าไม่เชื่อ ข้ากลัวว่าถึงเวลานั้นจะทำข้อสอบจนร้องไห้!”

“ข้าก็ไม่เชื่อ…”

“เป็นเรื่องจริง! ข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักเทียนซือ วันก่อนอาจารย์อวิ๋นพาผู้อาวุโสท่านหนึ่งมารับข้อสอบปลายภาค ตอนที่ข้าช่วยขนข้อสอบ ได้ยินท่านอาวุโสนั้นพูดกับอาจารย์อวิ๋นว่า ข้อสอบนี้ช่างลึกล้ำเสียจริง แต่ว่าวิชายันต์คาถาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้ คงจะออกข้อสอบไม่ได้”

“เป็นเรื่องจริง! ห้องเรียนสี่ไม่ต้องสอบ ช่างมีความสุข!”

“ช่างเป็นอาจารย์เทวดา!”

“ช่างเป็นอาจารย์เทวดาบวกหนึ่ง”

“ช่างเป็นอาจารย์เทวดาบวกสอง”

“ช่างเป็นอาจารย์เทวดาบวกเลขขึ้นทะเบียน! แต่ว่า…เสียดายที่ข้าไม่ได้ฝึกด้านยันต์คาถา”

“เอ้อ! ข้าก็ลืมว่าตัวเองไม่ได้ฝึกด้านยันต์คาถา เรียนห้องสี่ไม่ได้!”

“ตอนนี้เปลี่ยนยังทันหรือไม่”

“อยากเปลี่ยนเหมือนกัน”

“ข้าก็ด้วย…”

“…”

หยวนเจียงที่เพิ่งได้รับยันต์ส่งสารเมื่อไม่นานมานี้ “…”

ถึงแม้นักเรียนในอนาคตจะชอบใจเขา แต่ความรู้สึกไม่ค่อยดีใจคืออะไรกัน

อีกทั้ง ศิษย์หลานอวิ๋นไม่ได้บอกว่า เพียงแค่ชี้แนะลูกศิษย์ของสหายหรือไง เขาสัมผัสได้ถึงพลังของสี่ร้อยกว่าคนที่เชื่อมอยู่บนยันต์ส่งสาร ทันใดนั้นมีความอยากโยนยันต์ทิ้งไป ศิษย์หลานไม่ได้บอกว่าลูกศิษย์ของสหายจะมีถึงสี่ร้อยกว่าคน!

( ̄△ ̄;)

แต่ว่าสุดท้ายหยวนเจียงก็เก็บยันต์เข้าไปอย่างเงียบๆ พร้อมทั้งเริ่มการถ่ายทอดวิชา เพราะว่า…

“สหายทุกท่านอย่าพูดเช่นนี้ อาจารย์อวิ๋นและอาจารย์ไป๋ถึงแม้จะออกข้อสอบมากไปเล็กน้อย แต่ทุกท่านลองคิดดู หลังจากที่สอบเสร็จ มีคนไหนที่พลังไม่มากขึ้น คนไหนที่ฝึกฝนไม่ได้ ครั้งไหนที่ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ อาจารย์ทำเพื่อการฝึกฝนของพวกเรา ตอนนี้ทุกท่านชื่นชมอาจารย์ท่านใหม่เช่นนี้ ไม่ได้เป็นการทำให้อาจารย์อวิ๋นเสียใจหรือ อีกทั้งอาจารย์ท่านใหม่ที่ไม่ออกข้อสอบนี้ อาจสอนได้ไม่รู้เรื่องเท่าอาจารย์สองท่านก่อนด้วยซ้ำ”

ภายในกลุ่มเงียบสงัดลงไปสองวินาที ก่อนที่จะมีคนพูดต่อ

“สหายพูดถูก เหตุผลพวกเราเข้าใจ แต่ว่า…พวกเราไม่อยากทำข้อสอบ!”

“ถึงแม้จะเข้าใจเจตนาของอาจารย์ แต่ว่า…ไม่อยากทำข้อสอบบวกหนึ่ง”

“ไม่อยากทำข้อสอบบวกเลขขึ้นทะเบียน!”

“ไม่อยากบวก…”

“เอาเถอะ! พวกท่านโน้มน้าวข้าได้สำเร็จ ที่จริงแล้วข้าก็ไม่อยากทำ! เพียงแต่เป็นกังวลว่าอาจารย์ท่านใหม่จะสู้อาจารย์สองท่านก่อนไม่ได้”

“กังวลเช่นเดียวกัน!”

“เหมือนกัน!”

“…”

หยวนเจียงที่ถูกชื่นชมแล้ว ถูกรังเกียจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด: “…”

นอกจากอาจารย์ เขายังไม่เคยถูกคนอื่นรังเกียจ!

ดีมาก พวกเจ้าดึงดูดความสนใจของข้าได้แล้ว!

ข้อสอบเขาไม่ออก แต่เขาจะให้วาดยันต์จนฝังเข้าไปในกระดูก!

เริ่มจากวันละหนึ่งร้อยใบ ผิดหนึ่งใบวาดเพิ่มสามร้อยใบแล้วกัน!

(/// ̄皿 ̄)○~

——————

อวิ๋นเจี่ยวไม่คิดว่าหยวนเจียงจะให้ความสนใจกับการสอนในครั้งนี้มากขนาดนี้ ยังไม่รอสำนักเทียนซือส่งรายชื่อนักเรียนมา เขาก็ขอให้เปิดการสอนเอง อีกทั้งยังยิ้มเมตตา “เรื่องใหญ่อย่างการถ่ายทอดวิชาและไขข้อปัญหาไม่อาจยืดเยื้อได้ หากผู้ที่มาช้ามีข้อสงสัยอะไร ข้าจะถ่ายทอดต่อไป ไม่ต้องรีบสอนให้จบภายในหนึ่งเดือน”

พูดจบก็เตรียมการสอนขึ้นมาอย่างจริงจัง อีกทั้งเริ่มการสอนเร็วกว่าห้องเรียนสามของชายแก่เสียอีก อวิ๋นเจี่ยวจึงต้องติดต่อสำนักเทียนซือในการกำหนดวันเวลาอย่างคร่าวๆ อีกทั้งเร่งเก็บค่าเล่าเรียนของห้องสี่

จากนี้ทุกครั้งที่เดินผ่านห้องตำรา เธอสามารถเห็นอาจารย์อาเหวินยิ้มอย่างเมตตา พร้อมกับใช้น้ำเสียงอ่อนโยนอธิบายยันต์แต่ละชนิด วิธีการใช้ รวมทั้งเรื่องที่ต้องระวังในการวาด พร้อมกับเสียงตะโกนของชายแก่ที่อยู่ห้องด้านข้างเป็นบางครั้ง พวกเจ้าไม่มีสมองหรืออย่างไร ทำไมทำผิดมากเช่นนี้! เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน!

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกปราบปลื้มเป็นอย่างมาก ช่างเป็นอาจารย์อาที่เพิ่งพาได้! แตกต่างจากคนบางคนโดยสิ้นเชิง! เธอถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนจะตั้งสติ พร้อมทั้งพุ่งความสนใจไปยังคาถาเสวียนเหมินแต่ละประเภท

เนื่องจากติดตั้งเส้นชีพจรเสวียนขนาดใหญ่มากๆๆ เธอจึงกลายเป็นเทียนซือที่ต้องชาร์จไฟสองชั่วโมง ใช้งานห้าวินาที ดังนั้นจึงต้องหาวิธีขยายเวลาการใช้ของตนเอง พยายามขนหาคาถาที่สามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เวลาที่เธอเผชิญกับอันตรายไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำขนาดนั้น

เสียดายที่วิชาเสวียนเหมินแม้จะมีมาก แต่กลับไม่มีสิ่งที่เธอต้องการ ดังนั้นเธอจึงต้องยืมตำราจากสำนักเทียนซือและสำนักอื่นแทน

เพียงแต่ว่าเธออ่านมาเป็นเวลาหลายวัน สุดท้ายก็ไม่มีความคืบหน้าอะไร ในขณะที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าจะลองสร้างวิธีใหม่ขึ้นมา แต่กลับถูกคนบุกเข้ามาขัดขวางไว้ก่อน

อวิ๋นเจี่ยวมองไปยังคนตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ยังไม่ถึงเวลากินข้าว “อาจารย์ปู่มีเรื่องอะไรหรือ”

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้า สายตาล่องลอยเล็กน้อย สักพักจึงยื่นขวดในมือออกไปอย่างลังเล “หมดแล้ว”

“หมดเร็วขนาดนี้!” เธอผงะไป คิดว่าอีกฝ่ายมาส่งอันนี้โดยเฉพาะ เธอรับขวดมาตามความเคยชิน จากนั้นหันไปวางบนบนชั้นที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะตอบกลับว่า “ลำบากอาจารย์ปู่แล้ว ครั้งหน้าท่านให้ข้าหรือว่าตาแก่ขึ้นไปรับก็พอแล้ว ไม่ต้องวิ่งลงมาเอง”

เยี่ยยวนสายตาเลิ่กลั่ก อ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีเสียงออกมา กลั้นจนหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เขากำมือข้างตัวแน่น ก่อนจะกดเสียงต่ำลง “ยังมี”

“อะไร” อวิ๋นเจี่ยวฟังไม่ชัด เธอเดินเข้าใกล้เขามากขึ้น มองจ้องดวงตาของเขา

เขากลับเบี่ยงหน้ากลับกะทันหัน ราวกับต้องการหนี “ยังมีขวด”

พูดจบก็สะบัดมือ

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกเพียงตาลายไปสักครู่ นาทีถัดมาห้องทั้งห้องปรากฏขวดสีน้ำตาลเรียงเป็นแถวราวกับมายากล บางขวดด้านบนเขียนไว้ว่าเยี่ยยวน บางขวาดเขียนชื่อของชายแก่ กลิ้งไปมาเต็มพื้น

อวิ๋นเจี่ยว: “…”

ทั้ง…ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า! แม้แต่เศษยังไม่เหลือ อีกทั้งยังรวมไปถึงส่วนของชายแก่ด้วย!

ทันใดนั้นเธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดขึ้น “ไม่พูดอย่างอื่น อาจารย์ปู่…แค่ขนม ข้าจำได้ว่าครั้งก่อนทำปริมาณของสามเดือน!”

“อืม” อีกฝ่ายเงยหน้ามองหลังคา

“นี่เพิ่งผ่านไปเดือนเดียว!”

เขาพลางมองหลังคาพลางตอบอย่างจริงจัง “คืนนั้นที่เจ้ากลับมาก็สลบไป ข้าไม่ได้กินมื้อเย็น!”

“…”ดังนั้นท่านจึงอาศัยว่าตัวเองกินไม่อ้วน กินอาหารสำรองของสามเดือนจนหมด! หิวแค่ไหนก็ไม่ต้องขนาดนี้หรือไม่! อีกอย่างท่านไม่ได้อดอาหารมานานแล้วหรือ คิดว่าที่บ้านมีเหมืองหรืออย่างไร!

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกไม่สบายขึ้นมา

ราวกับรับรู้ได้ว่าศิษย์หลานไม่พอใจ เยี่ยยวนเอื้อมมือไปสะกิดไหล่ของอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจ “ในห้องครัวมีแป้ง” ยังสามารถทำได้!

“…” ทำอะไรเล่า!

อวิ๋นเจี่ยวคราวนี้โกรธจริงๆ ก่อนจะคิดได้ว่าถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นพี่สาวน้องสาว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นผู้อาวุโส เธอต้องใจเย็น ต้องมีอารยธรรม ต้องสันติ เพราะว่าอย่างน้อย…เธอก็เป็นสมาชิกของพรรค!

แต่ว่าเรื่องนี้ต้องหาทางแก้ไข ไม่อย่างนั้นทำปริมาณมากแค่ไหนก็ไม่พอเขากิน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอได้กลายเป็นแม่ครัวจริงๆ แล้ว ดังนั้นเธอหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนจะลากอีกฝ่ายออกจากห้อง “อาจารย์ปู่ ท่านตามข้ามา!”