อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกว่าไม่ควรตามใจอาจารย์ปู่ต่อไปแล้ว เพราะว่าเด็กซนไม่มีขีดจำกัด ดังนั้นนางจึงลากเขาเดินตรงไปยังห้องครัว พร้อมทั้งยัดเครื่องมือชิ้นหนึ่งให้เขา

“นี่คืออะไร” เยี่ยยวนผงะไป มองดูไม้ที่อยู่ในมือ

“ไม้นวดแป้ง” อวิ๋นเจี่ยวชี้ไปยังถุงแป้งด้านข้าง พลางอธิบาย “ท่านอยากกินขนมไม่ใช่เหรอ ข้าสอนท่านทำ”

เยี่ยยวนขมวดคิ้ว สีหน้าฉงน “ทำไม” เขาแค่นวดแป้งอย่างเดียวไม่ใช่หรือ

“อาจารย์ปู่…” อวิ๋นเจี่ยวถอนหายใจหนึ่งที ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่อาจทำให้ท่านกินได้ตลอด”

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ดวงตาฉายแววร้อนรน “เจ้าจะไปไหน?”

“ไปไหน? ไม่ใช่…” อวิ๋นเจี่ยวผงะ มันเกี่ยวข้องกับนางจะไปไหนอย่างไร แต่นางยังคงอธิบายต่อ “ข้าหมายความว่า ข้ามีเรื่องอื่นต้องทำ ไม่อาจอยู่ในครัวทำให้ท่านกินได้ทุกวัน”

“อ่อ” สีหน้าของเขาผ่อนคลายลง พร้อมพูดต่อ “ข้ามีช่วยเจ้า นวดแป้ง” ไม่ได้รอกินอย่างเดียว

“มันไม่ใช่ปัญหานวดหรือไม่นวดแป้ง” อวิ๋นเจี่ยวสีหน้าจริงจังมากกว่าเดิมเล็กน้อย “ชิงหยางของพวกเราเป็นต้นแบบของเสวียนเหมิน ไม่ใช่ห้องเรียนสอนทำอาหาร ปกติทำอาหารสามมื้อไม่มีปัญหา อย่างขนมหรือผลไม้อบแห้งเหล่านี้ ท่านชอบกินข้าไม่ได้ว่าอะไร แต่ข้ามีสิ่งที่ข้าต้องทำ ต้องฝึกฝน ไม่อาจทำขนมให้ท่านกินได้ทุกวัน อีกทั้งยังไม่มีขีดจำกัด ดังนั้นต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านกินแล้ว”

แสงสว่างในตาของเขาดับลงไป คนทั้งคนราวกับถูกพลังมืดมนบางอย่างห้อมล้อมเอาไว้ สายตาปะปนไปด้วย…ความน้อยใจ?

สักพักถึงได้ตอบ “…อืม”

อวิ๋นเจี่ยวรู้สึกสงสารขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะสงสัยว่าตนเองพูดตรงไปหรือไม่ แต่ครุ่นคิดดูแล้ว อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องจัดการ ดังนั้นนางจึงพูดต่อ “ข้าไม่ได้คัดค้านไม่ให้ท่านกินขนม ถึงแม้กินมากเกินไปจะไม่ดี แต่ว่าต่อไปหากท่านอยากกิน ก็ต้องลงมือทำเอง แน่นอนว่าข้าจะสอนวิธีการทำให้ จนกระทั่งท่านทำเป็น”

เยี่ยยวนผงะไป มองไปยังใบหน้าของนาง ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงพยักหน้าอย่างช้าๆ “ได้”

อวิ๋นเจี่ยวโล่งใจในทันใด ยอมเรียนก็พอ จากนั้นนางจึงชี้ไปยังถุงแป้งด้านข้าง “เช่นนั้นพวกเราเริ่มจากขนมก่อน อันดับแรกเริ่มจากการนวดแป้ง”

เยี่ยยวนพยักหน้า นวดแป้งเขามีประสบการณ์ เพียงแค่โบกมือ แป้งถุงนั้นก็ลอยเข้ามาทันที โอ่งใส่น้ำด้านข้างมีกระแสน้ำลอยออกมา ก่อนจะรวมเข้ากับแป้งและหมุนขึ้นมา ท่าทางคล่องแคล่วอย่างมาก ไม่ถึงชั่วครู่ก็รวมกันเป็นก้อนแป้ง เพียงแค่แรงในการหมุนนั้นไม่ได้หยุดลง แต่กลับเร็วมากยิ่งขึ้น ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังนวดแป้งอย่างแข็งขัน

เพียงชั่วพริบตา ก้อนแป้งที่นวดจนพอดีปรากฏอยู่กลางอากาศ

“เสร็จแล้ว” เยี่ยยวนหันไปมองนาง ก้อนแป้งที่นวดเสร็จลอยลงมาวางอยู่บนเขียงพอดี

อวิ๋นเจี่ยว “…”

เป็นการนวดแบบอัตโนมัติและชาญฉลาดจริงๆ ดูเหมือนว่าแป้งที่นวดก่อนจะมีประโยชน์อย่างมาก ประหยัดเวลาลงหลายเท่า อีกทั้งยังใช้คาถาอย่างสมเหตุสมผลอีก

อวิ๋นเจี่ยวข่มความตะลึงภายในใจลง ก่อนจะเริ่มสอนเขาบดแป้ง อัดรูป อบ…

แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ อาจารย์ปู่เรียนรู้ไวมาก นางพูดเพียงครั้งเดียว จากนั้นให้เขาลงมือปฏิบัติสักครั้งสองครั้งก็เป็นแล้ว อีกทั้งไม่แตกต่างจากที่นางพูดแม้แต่น้อย ความสามารถในการเลียนแบบดีเลิศ เก่งกว่านักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียน หลังเลิกเรียนเอาแต่ลอกการบ้านไม่รู้เท่าไหร่

อวิ๋นเจี่ยวปลาบปลื้มอย่างมาก ตั้งแต่เปิดห้องเรียนสอนพิเศษขึ้นมา นางได้พบนักเรียนดีเด่นเสียที ทันใดนั้นความอยากสอนเพิ่มมากขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

สักพัก ขนมเตาแรกของอาจารย์ปู่ก็สำเร็จแล้ว ทั้งห้องครัวอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนม เยี่ยยวนหยิบชิ้นแรกขึ้นมาชิม รสชาติที่คุ้นเคยแตกออกภายในปาก เขาขมวดคิ้ว ทำไมถึงรู้สึกแตกต่างจากที่ศิษย์หลานทำ เหมือนกับขาดอะไรบางอย่างไป

“เป็นอย่างไร” เห็นเขาไม่พูด อวิ๋นเจี่ยวจึงอยากลองชิมดู มองไปยังขนมที่วางเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะ จากนั้นมองไปยังขนมอีกครึ่งชิ้นบนมือเขา ไม่อยากสิ้นเปลือง จึงรับมาใส่เข้าปาก กินจนหมดพร้อมกับชื่นชม “ทำได้ดี อร่อยมาก” รสชาติดีอย่างประหลาด ไม่แตกต่างจากที่นางทำแม้แต่น้อย

เยี่ยยวนจ้องมองนางด้วยความตกตะลึง สายตาจับจ้องอยู่ที่มือที่แย่งขนมของตนเอง และริมฝีปากที่กินขนมปังที่ตนเองกัดไปแล้ว ทันใดนั้นใจสั่นไหวขึ้นมา ขนมที่เมื่อกี้ยังรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป กลับหอมกรุ่นขึ้นมา อีกทั้งยังมีความหวานอย่างแปลกประหลาด อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับ…ไม่เลว

ดังนั้นเขาหยิบขึ้นมาป้อนให้นางอีกชิ้น “ลองอีก”

อวิ๋นเจี่ยวผงะ มองไปยังสายตาที่รอคอยของอีกฝ่าย นางไม่อยากจะทำลายความมั่นใจของนักเรียน จึงก้มลงไปกิน หลังจากกินหมดกลับพบว่าอาจารย์ปู่หยิบขึ้นมาอีกชิ้น พร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาลุกวาว ราวกับกำลังรอให้นางกินหมด แล้วจะยัดเข้ามาอีกชิ้น

อวิ๋นเจี่ยว “…” พ่อครัวแต่ละคนล้วนมีจิตใจที่อยากจะป้อน?

“ที่เหลือเก็บเอาไว้เถอะ” อวิ๋นเจี่ยวห้ามปราม ก่อนจะหยิบขวดเล็กบนชั้นวางยื่นให้เขา “เก็บไว้กินวันหลัง”

เยี่ยยวนถึงได้เก็บมือกลับมา สายตามีความ…ผิดหวัง? แต่ก็ยังยื่นมือออกไปรับ ก่อนจะเก็บอย่างระมัดระวัง

เพราะว่าเป็นครั้งแรก อาจารย์ปู่จึงทำไม่มาก สามารถใส่ได้เต็มขวดพอดี กำลังจะปิดฝาลง เขากลับชะงักไป ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นหยิบขนมออกมาทีละชิ้น ใส่ลงไปในขวดใหม่

“ทำไมเหรอ” นางคิดว่าขวดเก่านั้นมีปัญหา

เขากลับยื่นขวดที่ใส่ขนมปังไว้ครึ่งหนึ่งมาให้ ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง “ของเจ้า!”

“ฮะ?” อวิ๋นเจี่ยวผงะ หมายความอะไร

เมื่อเห็นนางไม่รับ เขาจึงเสกคาถา นาทีถัดมาเห็นเพียงแต่บนขวดนั้นมีแสงสีทองเปล่งประกายขึ้น พร้อมกับปรากฏตัวอักษร ขนมของศิษย์หลาน

อวิ๋นเจี่ยว “…”

ทำไมถึงรู้สึกเหมือนกำลังแบ่งเงินทอน?

นางกำลังจะปฏิเสธ แต่เห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย จึงยื่นมือออกไปรับ “ขอบคุณอาจารย์ปู่”

“อืม” เยี่ยยวนพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ รู้สึกขนมนี้หวานขึ้นกว่าเดิมอีก

ตั้งแต่เรียนรู้การทำขนมแล้ว อาจารย์ปู่ราวกับถูกเปิดสวิตซ์การทำอาหาร หนึ่งวันเรียนวิธีการทำอย่างหนึ่งไม่พอ ต่อมายังไม่ต้องให้นางคอยชี้แนะอยู่ด้านหลัง เพียงแค่เขียนวิธีการทำลงมา เขาก็สามารถทำออกมาได้

เดิมทีเป็นปรากฏการณ์ที่ดี เพราะว่าในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากตำแหน่งแม่ครัวเสียที แต่ประเด็นคืออาจารย์ปู่ทำกินเองก็พอแล้ว ทำไมต้องแบ่งครึ่งหนึ่งให้นางทุกครั้ง? จ่ายค่าเล่าเรียน?

นางกวาดตามองขวดใหม่ที่ปรากฏบนโต๊ะ จากนั้นมองไปยังขวดที่วางอยู่บนชั้น แต่ละใบล้วนเขียนด้วยตัวอักษรสีทอง ผมไม้อบแห้งของศิษย์หลาน ขนมหวานของศิษย์หลาน ขนมปังของศิษย์หลาน…

วางอย่างเป็นระเบียบหลายแถว ทับจนชั้นวางจมลงไปหลายนิ้ว

ถึงแม้รสชาติจะไม่เลว แต่นางคิดว่าควรจะบอกอาจารย์ปู่ทางอ้อมว่าตนเองไม่ได้ชอบกินขนมจริงๆ