เมื่อพวกซ่งฝูหลิงเข็นรถมาถึง พวกเขาก็เห็นซ่งฝูเซิงกำลังเดินวนรอบกระสอบสองใบ

นางเข้าใจดี ถ้าพ่อของนางรู้สึกร้อนรนหรือกำลังครุ่นคิด เขาจะชอบเดินวนไปมา

“ท่านพ่อ”

“กลับมาแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง ซื้อหมดไปเท่าไหร่?”

“ราคาแพงเหมือนกัน” คนอื่นยังไม่ทันได้ตัดพ้อ ซ่งฝูหลิงที่เมื่อก่อนชอบใช้เงินมือเติบรีบพูดแทรกขึ้นมา

“ท่านลองทายดูว่าใช้เงินซื้อเกลือไปเท่าไหร่? เกลือหยาบครึ่งโลสี่สิบสามเหวิน เกลือละเอียดหน่อยครึ่งโลหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเหวิน ที่สำคัญคือเกลือละเอียดราคาหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเหวินไม่ใช่เกลือที่ขาวและละเอียดมากนัก เกลือละเอียดที่สุดมีราคาสองร้อยห้าสิบหกเหวิน ข้าลองถามดู แต่ก็ไม่กล้าที่จะยื่นมือไปสัมผัส เกลือละเอียดหนึ่งร้อยยี่สิบห้าเหวิน เมื่อลองคิดราคานี้ก็สามารถ ซื้อพวกข้าวสารอาหารแห้งได้หลายกิโลเหมือนกัน มีเงินเพียงพอซื้อข้าวสารกินได้ แต่เกือบจะซื้อเกลือกินไม่ได้”

“ซื้อเกลือไปเท่าไหร่?”

หนิวจั่งกุ้ยชี้ไปที่กระสอบ “ตามคำสั่งนายท่าน ซื้อเกลือหยาบห้าสิบกิโล ราคารวมสี่ตำลึงสามเหรียญ คุณหนูน้อยบอกว่า พวกเราไม่สามารถใช้เกลือหยาบมาทำกับข้าวบ่อยๆ ข้าจึง…”

“หนิวจั่งกุ้ยไม่ได้เป็นคนสั่ง ข้าเป็นคนสั่งเอง ท่านพ่อ พวกเรามีเด็กเล็กหลายคน ข้ากังวลว่ากินเกลือหยาบจะไม่ดีต่อร่างกายของพวกเขา ข้าจึงตัดสินใจเองสั่งซื้อเกลือละเอียดสิบกิโล ใช้เงินไปสองตำลึงครึ่ง เอาเป็นว่ารวมเงินที่ใช้ซื้อเกลือทั้งหมดแล้ว เป็นเงินหกตำลึงกับอีกแปดเหรียญ”

ซ่งฝูหลิงพยักหน้ารับรู้ “ซื้อถูกต้องแล้ว พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ เกลือหยาบนี้เด็กกินเยอะทำให้ขาดสารไอโอดีน ไม่ดีกับสมองและยังทำให้เกิดต่อมไธรอยด์โต (โรคคอพอก) คนที่นี่ก็คงมีโรคชนิดนี้เช่นกัน ซื้อเกลือละเอียดนั้นแหละ ถูกต้องแล้ว”

ซ่งฝูเซิงไม่ต้องอธิบาย พวกเขาก็ไม่มีใครโยนความผิดให้ซ่งฝูหลิง

ที่บอกรายละเอียดไปนั้น ก็เพราะกลัวว่าซ่งฝูเซิงจะตำหนิติเตียนซ่งฝูหลิง

นี่เป็นหลักการคิดง่ายๆ เกลือละเอียดสิบกิโล พั่งยาซื้อไว้กินคนเดียวหรือ?

มันก็ไม่ใช่ นางซื้อเพื่อทุกคน

ใช้เงินหมดไปเท่าไหร่ก็ไม่ใช่กินเข้าปากพั่งยาเพียงคนเดียว มีอะไรต้องให้คิดเยอะอีก

เกาถูฮู่คิดว่า อย่าว่าแต่การซื้อเกลือเลย แม้จะซื้อขนมให้พั่งยากินเพียงคนเดียวก็ยังสมเหตุสมผล

เด็กนั่นเป็นเด็กธรรมดาหรือ? แค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ขายถั่วเมล็ดสนได้200-300กิโลแล้ว เดินออกไปข้างนอกรอบหนึ่ง ก็ขายถั่วเมล็ดสนออกไปจนหมด คนอื่นทำได้อย่างนี้ไหม? คนอื่นทำได้แต่ออกแรงในการทำงาน คนพวกนั้นโง่เขลาเสียจริง

เขาเริ่มรู้สึกเสียดายเงินของตัวเองที่เหลือเก็บเพียงเล็กน้อยนั่น เขาให้ภรรยาเก็บเงินทั้งหมดไว้ ในกระเป๋าไม่เงินเหลือเลย มิเช่นนั้นเขาก็จะมีเงินซื้อขนมให้กับเจ้าเด็กคนนี้

เกาถูฮู่ชี้ไปที่ผักกาดขาวและพูดว่า “ระหว่างทางมีคนตะโกนขาย ข้าเห็นว่าบนรถของพวกเรายังสามารถยัดใส่ได้อีก ข้าก็เลยซื้อผักกาดขาวไปห้าร้อยหัว ที่นี่ขายหัวละสองเหวิน ข้าลองจับดูหัวใหญ่มีน้ำหนักเหมือนกัน ข้าจึงตัดสินใจซื้อมา พวกเรามีที่พักอาศัยแล้วก็ไม่สามารถจะกินอาหารแห้งอยู่ตลอดเวลาได้ ต้องทำน้ำซุปผักดื่มบ้าง ใช้เงินซื้อของหมดไปหนึ่งตำลึง ถ้ารวมกับเงินที่ซื้อข้าวสารอาหารแห้งอีก ก็เหลือเงินเท่าที่เห็นนี่แหละ”

ซ่งฝูเซิงรับเงินที่เหลือใส่ลงในกระเป๋าสะพายของเขา หลังจากนั้นก็นำกระเป๋าแขวนคอไว้ เขาชื่นชมผลงานของท่านลุงเกามาก

เมื่อพูดถึงเรื่องซื้อผักกาดขาวก็ทำถูกต้องแล้ว เขาลืมสนิท

อีกอย่างผักกาดขาวห้าร้อยหัวก็ไม่พอทำอะไรหรอก อาศัยช่วงยังมีผักกาดขาวกับหัวไชเท้าขาย อย่างไรเสียก็ควรจะซื้ออีกหลายพันหัวเก็บไว้ คนของพวกเราทำซุปผักมื้อหนึ่งก็ต้องใช้อย่างน้อย20-30หัว ฉะนั้นจำเป็นต้องซื้อไว้เยอะๆ มิเช่นนั้นเมื่อถึงฤดูหนาวจะไม่มีผักอะไรกิน พวกเราต้องเก็บผักกาดขาวกับหัวไชเท้าไว้เพื่อกินในช่วงหน้าหนาว

เมื่อคิดถึงเรื่องที่ต้องซื้อของมากมายขนาดนี้ ในวันถัดไปพวกเขาจะต้องออกไปจับจ่ายซื้อของเพิ่มอีกล็อตใหญ่ ซ่งฝูเซิงจึงสอบถามหนิวจั่งกุ้ยและเกาถูฮู่ “ที่ไหนมีอะไรขายก็รู้แล้วใช่ไหม?”

“รู้แล้ว พวกข้าจำไว้หมดแล้ว”

“อืม ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้กับวันมะรืนพวกเจ้าสองคนพาเด็กหนุ่มพวกนี้ออกไปซื้อผักกาดขาวกับหัวไชเท้า สามารถซื้อได้มากเท่าไหร่ก็ซื้อเท่านั้น ของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไม่ต้องมาถามข้า อันไหนควรซื้อก็ซื้อซะ และต้องซื้อข้าวสารมาด้วย”

หูจือพูดแทรกขึ้นมา “อาสาม พวกเราซื้อข้าวสารอาหารแห้งพวกนี้สามารถกินได้นานเท่าใด?”

“ครึ่งเดือน”

พวกเด็กหนุ่มถึงกับบ่นพึมพำ รถเข็นมือสิบคัน กลับไปก่อนหน้านี้สองคันแล้ว ตอนนี้รถเข็นเหลืออยู่แปดคันบรรทุกของจนเต็ม เพิ่งจะพอกินได้แค่ครึ่งเดือนเอง

เวลาครึ่งเดือนไม่นับรวมเกลือ ไม่นับรวมผัก แค่กินแต่ข้าวก็ต้องใช้เงินไปสิบสองตำลึงแล้ว เมื่อครู่ตอนที่พั่งยาจ่ายเงิน พวกเขาก็ยืนมองดูอยู่ข้างๆ

เกาถูฮู่ถอนหายใจพร้อมกับแบกกระสอบของซ่งฝูเซิงขนไปไว้บนรถเข็น เขาพูดขึ้น “พวกเจ้าคิดว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือ ทำไมพวกเราถึงต้องทำไร่ไถนาเอง พวกเจ้าลองคิดคำนวณดูว่าข้าวสารแพงขนาดไหน”

หนิวจั่งกุ้ยก็คิดเหมือนกัน แค่หนึ่งเดือนใช้จ่ายเงินค่าอาหารการกินก็ต้องจ่ายไป20-30ตำลึง รายได้จากการขายถั่วเมล็ดสนมีพอใช้เพียงไม่กี่เดือน นอกเสียจากค้าขายอย่างอื่นที่เหมือน กับถั่วเมล็ดสนต่อไป หลังจากนั้นก็สามารถยืดเวลาไปได้อีกหลายเดือน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิพวกเขา ก็ทำไร่ไถนา

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็ไม่มีพื้นที่ทำไร่ไถนา

ผืนนาที่อุดมสมบูรณ์ต้องใช้เงินซื้อ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะให้พวกเขาฟรีๆ ดูจากการ จัดสรรที่พักให้ก็สามารถคาดการณ์ได้แล้ว

อย่างน้อยแบ่งที่ดินรกร้างให้กับพวกเขาก็ยังดี พวกเขาจะได้ปลูกผักและปลูกถั่ว แม้จะได้ผลผลิตไม่ค่อยดีมากนัก แต่อย่างน้อยปีหน้าก็ยังดีกว่าตอนนี้เยอะ

ตอนนี้พวกเขาต้องกินผักกาดขาวจนเป็นกิจวัตรประจำวัน แค่ผักกาดห้าร้อยหัวก็ต้องจ่ายหนึ่งตำลึง ไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่ต้องใช้เงิน

“หนิวจั่งกุ้ย?”

“นายท่าน” หนิวจั่งกุ้ยรีบขานรับ

“อย่าลืมจดไว้ด้วย ข้าซื้อกระเทียมสองกระสอบนี้จ่ายไปสองเหรียญ กลับไปรายงานรายการซื้อของให้ท่านลุงซ่งรับทราบด้วย”

ทุกคนออกเดินทางจากเมืองถงเหยา

ทุกคนจดจำคำพูดที่ซ่งฝูเซิงกำชับไว้ก่อนหน้านี้ ตอนอยู่ในเมืองห้ามพูดถึงเรื่องข้าวสารบรรเทาทุกข์ ตอนนี้ออกมาอยู่นอกตัวเมืองแล้ว พวกเขาเข็นรถไปด้วยและก็คอยสอบถามถึงเรื่องที่อยากจะถามตั้งนานแล้ว พวกเขาอยากรู้มาก…

ซ่งฝูเซิงกัดฟัน ยามเขาจ่ายเงินก็รู้สึกว่าพวกเขาช่างน่าเวทนายิ่งนัก แม้จะดื่มน้ำเย็นก็เกือบจะต้องใช้เงินจ่ายแล้ว

ไม่ใช่สิ ดื่มน้ำเย็นก็ต้องเสียเงินเพราะพวกเขายังต้องเสียเงินจ่ายค่าขุดบ่อน้ำอีก

ช่างเหลือเกินจริงๆ …

นี่ถ้าเก็บถั่วเมล็ดสนบนเขาได้ก็ดีไป แต่ถ้าไม่มีถั่วเมล็ดสนขายจะทำอย่างไร?

ถ้าหมี่โซ่วไม่ใช่ทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง เขาก็คงคิดไม่ออกเรื่องตั๋วเงินเหมือนกันและไม่มีความมั่นใจ

ตอนนี้พวกเขาคงเหมือนนั่งอยู่ในกระท่อมผุพังที่มีลมพัดผ่านเข้าออกทั้งสี่ด้าน ไม่มีอาหารการกิน ต้องอาศัยกินลมแทน

ช่างโหดเหี้ยมมาก เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกเขายังกล้าโกงกินอีก

เป็นการทำร้ายกันมาก เหมือนไม่เหลือทางให้พวกเขามีชีวิตรอด

ประชาชนร้องเรียนคนของรัฐ แม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังเป็นเรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยุคโบราณ

แต่ถึงแม้จะยากลำบาก พวกเขาก็ไม่เหลือเส้นทางรอดชีวิตให้กับพวกเขาเลย พวกเขาไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องกลัว

เคยผ่านมรสุมลูกใหญ่มาแล้ว ยังจะกลัวเจ้าล้มเรือในคลองอยู่อีกหรือ? จะต้องสู้กับเจ้าให้ถึงที่สุด

ตาแก่สมควรตาย ถ้าเขาช่วยพวกเราลงทะเบียนบ้านอย่างซื่อสัตย์ และบอกให้พวกเรารู้ว่ามีเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ช่วยพวกเรา พวกเราก็จะได้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ก้าวก่ายกัน ข้าก็จะอยู่อย่างสงบนิ่ง

ถ้าเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ สอบถามแล้วก็ยังไม่ยอมรับ ข้าก็จะยอมให้เขาโกง ข้าออกเงินเพื่อซื้อข้าวสารเองก่อน

หลังจากนั้นให้เขาโกงกินอีกหลายเดือน เขาไม่เชื่อว่า ในช่วงเวลาหลายเดือนนี้จะไม่สามารถเอาผิดเขากับลูกชายของเขาไม่ได้ ข้าจะหาความผิดของเขาและจะอาศัยโอกาสนี้ถลกหนังเปิดกระดูกของเขาออกมา

พวกเกาถูฮู่เข็นรถอยู่ด้านหน้าก็รู้สึกอึดอัดใจ ทำไมซ่งฝูเซิงไม่ตอบคำถาม “ฝูเซิง ตกลงมีหรือไม่มี?”

ซ่งฝูเซิงดึงสติกลับคืนมา เขายิ้มแห้งๆ “ได้ยินว่ามี ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปเมืองเฟิ่งเทียนเพื่อสอบถาม ได้ยินมาว่าในเมืองมีแจกเสบียงข้าวสาร รายละเอียดมากหรือน้อยนั้น หลี่เจิ้งของหมู่บ้านเราน่าจะรู้ข่าวเป็นอย่างดี”

“ถ้าทางราชการแจกเยอะ พวกเราจะยังต้องซื้อข้าวสารอาหารแห้งอยู่ไหม?”

“คงแจกให้ไม่เยอะหรอก คงพอแค่ประทังชีวิต สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องซื้อก็ต้องซื้อไว้ อย่าหวังแต่เสบียงช่วยเหลือ ถ้าแจกเสบียงอาหารให้พวกเรากินกันจนอิ่ม ประชาชนของที่นี่คงจะแย่งเป็นผู้อพยพแล้ว”

“ก็ใช่นะ ซื้อข้าวสารอาหารแห้งเยอะหน่อย พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลมาก”

“ท่านลุงเกา อีกสักพักพวกเราก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว ถ้ามีคนเห็นพวกเราซื้อพวกข้าวสารอาหารแห้งมา ต้องมีคนพูดกระแนะกระแหนแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านก็…” ซ่งฝูเซิงรีบกำชับ

หลังจากเขาสั่งกำชับเรียบร้อยแล้ว ก็พบว่าลูกสาวของเขามักจะแอบมองมาที่เขา “มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ท่านพ่อ ท่านพูดออกมาเถอะ ข้าจะออกอุบายให้กับท่าน ข้าไม่เหมือนกับทุกคน ข้าอยู่ต่อหน้าคนที่ไม่ชอบก็ยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้ ข้าไม่ทำให้เรื่องของท่านล้มเหลวแน่นอน”