ซ่งฝูเซิงครุ่นคิดแล้วจึงบอกกับลูกสาว เย็นนี้เขาจะต้องพูดเปิดประเด็นหัวข้อนี้ขึ้นมา
อาศัยช่วงที่ทุกคนกำลังสนใจคุยกันในประเด็นนี้แล้ว ก็จะบอกกับเขาว่ามีเสบียงอาหารช่วยเหลือบรรเทาทุกข์
ถ้าถามแล้วยังไม่ยอมรับ เขาคิดว่าจะรอจนหาหลักฐานได้ก่อนแล้วจะไปร้องเรียน
เขาจะต้องนำสิ่งที่เขาสมควรได้กลับคืนมาให้ได้ เมื่อยังมีชีวิตก็ต้องสู้
ซ่งฝูเซิงเข็นรถและหัวเราะไปด้วย เขาบอกร้องเรียนก็ดี ร้องเรียนเรื่องใหญ่จะได้มีการเล่าลือกันไปให้ทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้ามีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงลูกชายคนโตของเริ่นหลี่เจิ้งก็ดี ยิ่งมีตำแหน่งใหญ่โตประชาชนก็ยิ่งให้ความสนใจ
ตอนร้องเรียนจะต้องไปเมืองถงเหยา ที่นั่นมีเส้นสายของเริ่นหลี่เจิ้ง ส่วนใหญ่ฝ่ายร้องเรียนจะพ่ายแพ้
หลังจากแพ้คดีแล้ว เขาก็จะไปเมืองเฟิ่งเทียนเพื่อฟ้องศาลอุทธรณ์ต่อ
แต่นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ถ้าเขาจะฟ้องร้องโดยไม่ใช้ตำแหน่งซิ่วไฉ จะต้องถูกโบยก่อนสามสิบที
ซ่งฝูหลิงได้ยินก็ตกใจ “ท่านพ่อ ช่างเถอะ นั่นไม่เป็นการทำร้ายตัวเองหรอกหรือ”
“ใช่แล้ว ถ้าให้เหล่าซิ่วไฉท่านนั้นในหมู่บ้านมาช่วย หากเขากล้าออกหน้าร้องเรียนแทนพวกเรา พวกเราก็ใช้เส้นทางการฟ้องร้องเส้นทางนี้…
…เจ้าก็รู้จักพ่อดี ถึงแม้จะเป็นผู้ลี้ภัย แต่ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ข้าก็เป็นตัวแทนชาวบ้านที่อพยพมาอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอ๋องเยี่ยน ข้าก็ไม่ถูกยกเว้น ข้าถูกคนโกงเรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ พวกเขาก็เหมือนกัน…
… ดังนั้นคนร้องเรียนจะต้องทำให้ถึงที่สุด ร้องเรียนจนท่านอ๋องเยี่ยนรับทราบเรื่องราว ไม่ให้เขามีทางรอดกลับมาได้ มิเช่นนั้นเขาต้องแว้งกัดพวกเราอีก”
ซ่งฝูหลิงพูดเสริม
“ดังนั้นท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งรีบร้อน ต้องรอให้เขาโกงไปหลายเดือนก่อน เขายิ่งโกงมากเท่าไร โทษที่เขาจะได้รับก็จะยิ่งหนักมากขึ้น…
…นอกจากนี้ จะร้องเรียนได้หรือไม่ สิ่งสำคัญอยู่ตรงท่านเหล่าซิ่วไฉคนนั้นด้วย…
…ถ้าเหล่าซิ่วไฉคนนั้นโกรธแค้นเริ่นหลี่เจิ้งจริง บางทีอาจจะหาโอกาสโจมตีฝ่ายนั้นอยู่ ตอนนี้เขาอาจจะรู้สึกกังวลเหมือนกับพวกเรา หากไม่ทำให้ฝ่ายนั้นหมดหนทาง อาจจะกลับมาแว้งกัดได้…
…หรือเหล่าซิ่วไฉคนนั้นอาจจะไม่ได้แค้นเคืองเริ่นหลี่เจิ้งเพราะเขาก็อายุมากแล้ว อาจจะมองเห็นสัจธรรมของชีวิต ไม่อยากชิงดีชิงเด่นอีกแล้ว”
ซ่งฝูเซิงส่ายหน้า “ลูกสาว เจ้ายังไม่ค่อยเข้าใจผู้ชาย ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งลุ่มหลงใน ตำแหน่งลาภยศสรรเสริญ ถ้าปลดเกษียณแบบปกติก็ไม่เป็นไร แต่นี่ถูกแย่งตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำให้รู้สึกอับอาย”
……
หมู่บ้านเหรินจยา
ริมแม่น้ำ
“เชอะ นี่พวกเจ้าซื้อข้าวสารมาเท่าไหร่ คงจะใช้เงินไม่น้อยเลยใช่ไหม?” พวกป้าอ้วนที่เคยถลึงตาใส่ท่านย่าหม่าถามขึ้น…
…ชายฉกรรจ์อายุยี่สิบกว่าคนหนึ่งหัวเราะพวกเขา “ได้ยินมาว่าผู้อพยพลี้ภัยของเมืองเฟิ่งเทียนของพวกเรามีเงิน เป็นอย่างที่เล่าลือกัน”
หลายคนที่ยืนมองดูเหตุการณ์บริเวณใกล้เคียงต่างก็พยักหน้า พวกเขามองดูรถเข็นที่ บรรทุกสิ่งของจนเต็ม เมื่อกลางวันก็มีรถเข็นเข็นผ่านไปสองคัน ตอนนี้มีรถเข็นหลายคัน คงมีเงินเยอะมากจริงๆ
นอกจากนี้ยังมีหญิงวัยกลางคนสองคนพูดเสริม “ต่อไปกระท่อมผุพังพวกนั้นในหมู่บ้านของพวกเราก็คงต้องใช้อิฐสร้างบ้านแล้ว พวกเราอิจฉาไม่ได้หรอก พวกเราไม่เคยอพยพลี้ภัย”
ทุกคนพากันหัวเราะ
พวกเด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดงก่ำ
เกาถูฮู่ตอบกลับอย่างโมโห “ไม่ซื้อข้าวสารอาหารแห้งจะให้กินอะไร พวกข้าก็บรรทุกข้าวสารอาหารแห้งมาแค่นี้ พวกข้ามีหลายร้อยชีวิต แค่นี้กินได้เพียงครึ่งเดือน บ้านเจ้าซื้อข้าวสารเก็บไว้กินครึ่งเดือนถือว่าเป็นคนมีเงินหรือ? ถ้าไม่ซื้อข้าวสารมากิน จะให้กินลมหรือไง”
เกาเถี่ยโถวกับพ่อของเขาช่วยกันเถียงกลับไป
แต่เด็กหนุ่มอายุน้อยอารมณ์ร้อน เมื่อพูดออกไปก็กลายเป็นว่า “ไม่ต้องพูดกระแนะกระแหน พวกเจ้าไม่เคยอพยพลี้ภัย ต้องขอบคุณที่พวกเจ้าเกิดมาในสถานที่ที่เหมาะสม ถ้าพวกเจ้าเกิดมาในสถานที่ไม่มีความสงบ พวกเจ้าก็คงมีชีวิตไม่ดีไปกว่าพวกข้า เทียบกันไม่ได้กับหมูกับหมา”
“พวกเจ้าเพิ่งมาใหม่ยังกล้าด่าคนอีก?”
“เจ้าด่าใคร? ไอ้เด็กน้อย กล้าด่าคนในหมู่บ้านเหรินจยา พวกเราจัดการมัน”
เกือบจะมีการลงไม้ลงมือกัน ซ่งฝูหลิงเกือบจะวิ่งลงจากสะพาน กลับไปหาคนมาช่วย
“หยุดนะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
เหล่าซิ่วไฉ(เริ่นโยวจิน) ซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเหรินจยา เขาใช้ไม้เท้าพยุงตัวเดินมา
ผมของเขาเริ่มมีสีขาวแซม รูปร่างผอมสูง แต่แววตาดูแหลมคม
อีกคนที่ตะโกนให้หยุดคือ ก็คือเริ่นจื่อจิ่ว เป็นลูกชายคนที่สองของเริ่นหลี่เจิ้ง พ่อของเขาไม่อยู่ เขาสามารถตัดสินใจแทนพ่อได้ คนในหมู่บ้านคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ซ่งฝูเซิงรีบหันหน้าคารวะต่อเหล่าซิ่วไฉ
เหล่าซิ่วไฉเหลือบมองเริ่นจื่อจิ่ว เมื่อมีคนเสนอตัวมาห้ามแล้ว เขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
เขาทำท่ามองไม่เห็นซ่งฝูเซิงคำนับเขา เขาหันหลังเดินจากไป เกาถูฮู่ก็ตะโกนเสียงดังถามทุกคน
“หลี่เจิ้งอยู่ไหน ข้าอยากพบหลี่เจิ้ง แค่ข้าวสารอาหารแห้งเก็บไว้กินได้แค่ครึ่งเดือนก็ยังถูกพวกเจ้ากระแนะกระแหนถึงเพียงนี้ ยังดีที่ได้ข่าวมาว่ามีเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ สามารถทำให้พวกข้ามีข้าวกินจนถึงหนึ่งเดือนได้”
“เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์?”
“พวกเขามีเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์?”
เพียงครู่เดียวที่เกิดการโต้เถียงกัน ก็มีคนในหมู่บ้านออกมาฟังกันมากขึ้น พวกเขาได้ยินว่าทางการให้เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ก็รู้สึกตกใจกับข่าวที่ได้ยิน
“เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์อะไร” เริ่นจื่อจิ่วหน้าถอดสี คนพวกนี้รับรู้ข่าวได้รวดเร็วมาก คาดไม่ถึงเลยจริงๆ
“ข้าถามเจ้า หลี่เจิ้งอยู่ที่ไหน? และเจ้าคือใคร?”
“ท่านพ่อของข้าไปเยี่ยมญาติแล้ว ข้าเป็นลูกชายคนรองของเขา”
“จะไปเยี่ยมญาติได้อย่างไรกัน เมื่อคืนวานเจ้าหน้าที่ให้หลี่เจิ้งขึ้นทะเบียนบ้านให้พวกเราไม่ใช่หรือ? เขารีบนั่งรถเกวียนพร้อมรถลากหลายคันออกไปจากหมู่บ้านใช่ไหม?”
คนในหมู่บ้านนิ่งงัน
“ใช่” เริ่นจื่อเฮ่าพาคนงานหลายคนของบ้านเขา เริ่นหลี่เจิ้งก็พาคนไปด้วยเหมือนกัน ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเขาเห็นแล้วว่ามีรถเกวียนและรถลากหลายคันผ่านออกไป
แต่คนพวกนี้ไม่ได้อยู่แถวหน้าหมู่บ้าน พวกเขารู้ได้อย่างไร?
เริ่นจื่อจิ่วพูดขึ้น “พวกเจ้าอยากจะพูดอะไร?”
“อยากบอกว่า เมื่อขึ้นทะเบียนบ้านให้พวกข้าเสร็จแล้ว หลี่เจิ้งสามารถช่วยขนเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์มาให้พวกข้าได้ไหม? พวกข้ารวมกันก็สองร้อยกว่าคนแล้ว เดือนหนึ่งก็ต้องได้เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์อย่างน้อยหลายพันกิโล ครั้งหนึ่งสามารถนำเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์กลับมาได้หลายเดือนก็หลายหมื่นกิโลเลยนะ”
หลายหมื่นกิโล? ให้ฟรีหลายเดือนจริงหรือ? ถ้างั้นต้องได้เสบียงอาหารเท่าไหร่?
ผู้คนในหมู่บ้านออกมาล้อมวงกันหลายชั้น บางคนไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งก็พากันเดินออกมาดู เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวเช่นนี้ ทุกคนต่างก็หันไปมองเริ่นจื่อจิ่ว
“พูดเรื่องไร้สาระ หมื่นกิโลอะไรกัน แค่ไม่กี่พันโล! ไม่ใช่สิ พ่อของข้านำสิ่งของบางอย่างไปเยี่ยมญาติแล้ว ในระหว่างทางก็ช่วยพวกเจ้าขึ้นทะเบียนบ้าน พวกเจ้าลองถามคนแถบนี้ มีหลี่เจิ้งกี่คนที่เป็นเหมือนอย่างพ่อของข้า ไปเยี่ยมญาติก็ยังไม่ลืมที่จะช่วยนำรายชื่อของพวกเจ้าเข้าทะเบียนบ้าน”
“เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกข้าล่ะ?”
“พวกเจ้าได้ยินมาจากไหนกัน แยกย้ายกันได้แล้ว ข้าไม่เห็นจะรู้เรื่องเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์อะไรเลย มีอะไรรอพ่อของข้ากลับมาค่อยพูด พวกเจ้าจะแยกย้ายกันไหม? ทำไมหรือ แต่ละคนอยากจะก่อเรื่องขึ้นหรือไง!”
ความรู้สึกของเกาถูหู่ในขณะนี้ ซ่งฝูเซิงของเขาช่างคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำนัก คนพวกนี้จะพูดอย่างไร เริ่นหลี่เจิ้งพาพวกรถลากเกวียนออกไป รวมทั้งเริ่นหลี่เจิ้งไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน ลูกชายของเขาถูกถามซักไซ้จนเกิดอาการร้อนรนจนโมโหขึ้นมา ซ่งฝูเซิงคาดเดาทุกอย่างไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
หนิวจั่งกุ้ยก็เริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ได้ นายท่าน เสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกเราถูกคนอื่นรับแทนไปแล้วใช่หรือไม่ วันนี้หลี่เจิ้งออกจากบ้านก็เพื่อไปรับเสบียงอาหารบรรเทาทุกข์ของพวกเรา? รับเสร็จแล้วก็อาจจะไม่ให้พวกเรา?
เหล่าซิ่วไฉอยู่ในฝูงชน เขารู้สึกได้ว่าซ่งฝูเซิงยิ้มแบบเสียดสีที่มุมปาก ดวงตาเขาเป็นประกาย ก่อนเขาจะเอามือไขว้หลังเดินจากไป
……
“ท่านลุง ท่านลุง” เฉี่ยนหมี่โซ่วได้ยินเสียงหลายคนพูดคุยกันอยู่ข้างนอก บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมา เขารีบโยนผ้าห่มคลุมตัวทิ้งแล้วรีบวิ่งออกไป
“เมื่อกลางวันหิวมากไหม? กินแค่น้ำข้าวต้มเท่านั้น”
ซ่งฝูเซิงอุ้มหมี่โซ่ว ซ่งฝูหลิงก็จับมือเล็กๆ ที่ยังอุ่นอยู่ของหมี่โซ่ว และมองหาแม่ของนางอยู่ที่ไหน
เฉียนหมี่โซ่วบอกว่า “พวกท่านทำไมเพิ่งกลับมา ข้าทนไม่ไหวเลยกินเนื้อไก่จนหมดแล้ว”
“เนื้อ เนื้ออะไร?” ซ่งฝูหลิงเบิกตากว้าง เอามาจากไหนกัน ทำไมถึงได้กินดีกว่านาง
ท่านลุงซ่งหัวเราะ ฮ่าๆ เขาบอกว่า “พวกเราโชคดีตัดต้นไม้ไปเจอรังของไก่ป่า ตอนกลางวันทุกคนหิวจนท้องร้อง ซื่อจ้วงก็เลยนำไก่กลับมาส่งให้”
เถียนสี่ฟาทำงานที่อยู่ในมือไม่หยุด เขาพูดเสริมพร้อมทั้งหัวเราะ “ซื่อจ้วงเก่งมาก ไก่ป่าบินสูงมาก แต่ซื่อจ้วงบินสูงกว่ามันอีก แค่ใช้มือจับก็ตายคามือแล้ว”