ตอนแรกที่อพยพลี้ภัยมา บาดแผลของซื่อจ้วงก็ไม่หายดี ปากซีด ใบหน้าเขียวคล้ำ ไม่มีชีวิตชีวา ชอบหลบมุม เรี่ยวแรงในการทำงานมีเท่ากับหนิวจั่งกุ้ย

โดยเฉพาะช่วงหยุดอยู่บนภูเขาลูกนั้นหลายวัน อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง ยามกางเต็นท์หรือช่วงเวลาทำงานอะไรที่ต้องใช้แรงก็มักจะไม่เห็นเขาแม้แต่เงา

เขาเหมือนสัตว์น้อยตัวหนึ่งที่หลบไปเลียแผลรักษาตนเองอยู่เงียบๆ

หลังจากนั้นก็ไม่รู้เป็นอย่างไร กินยาแก้อักเสบหลายเม็ดของซ่งฝูเซิงแล้วเข้าไปซุกอยู่ในท้องวัว เมื่อเขาปรากฏกายออกมาพร้อมกับเลือดที่เปื้อนทั้งตัว เขาก็เปลี่ยนไปมีเรี่ยวแรงมากขึ้น

ดูสิ ในสภาพอากาศหนาวเย็น คนอื่นสวมใส่เสื้อกันหนาวทำงาน ซื่อจ้วงสวมเสื้อแขนสั้นยี่ห้ออาร์มานีที่ซ่งฝูเซิงมอบให้ เขาผ่าฟืนเสียงดัง ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก

ซื่อจ้วงได้ยินทุกคนพูดถึงความสามารถในการทำงานของเขา สองประโยคหลังเริ่มพูดเยินยอเกินจริง พวกเขาคาดเดาว่าไม่เพียงแค่จับไก่ด้วยมือเปล่าได้และยังสามารถล้มหมาป่าได้ด้วย ซื่อจ้วงรีบหยุดขวานของตน เขาหันมาสบตากับซ่งฝูเซิง ในแววตาสื่อความหมายชัดเจนมาก นายท่าน อย่าให้ข้าไปสู้กับหมาป่า ข้าสู้หมาป่าไม่ได้

เมื่อซ่งฝูเซิงกลับมาถึงบ้านของตัวเอง หัวใจที่กระวนกระวายก็สงบลง เขาอุ้มหมี่โซ่วและมองซื่อจ้วง ได้ยินว่าช่วงกลางวันทุกคนไม่ได้รอจนหิวโหย ยังได้กินเนื้อสัตว์อีกด้วย สายตาของเขาก็ฉายแววดีใจ

แม้บ้านจะผุพัง แต่ก็ยังเป็นบ้าน

บ้านก็คือบ้าน หลังจากยุ่งมาทั้งวัน ก็รู้ว่าจะกลับไปที่ไหน

ไม่เหมือนตอนอพยพลี้ภัย ที่มองไม่เห็นปลายทาง

เมื่อทุกคนเห็นซ่งฝูเซิงที่เป็นหัวหน้าหลักกลับมาแล้ว พวกเขาต่างก็รายงานการทำงานให้ซ่งฝูเซิงฟัง

กัวคนโตบอกว่า “ฝูเซิง เย็นนี้สองตั่งนั้นร้อนได้ดีกว่าเมื่อคืนวานมาก พวกข้าดับไฟไปครึ่งชั่วยามและควักขี้เถ้าออกจากสองตั่งนั้น ตอนนี้เผาได้ดีกว่าเมื่อคืนเยอะเลย ใช้มือลูบบนตั่งก็ร้อนอบอุ่นขึ้นมามากแล้ว”

หวังจงอวี้รายงาน “พี่สาม พวกข้าขึ้นเขาไปตัดต้นไม้ยี่สิบแปดต้นแล้วแบกลงจากเขา กองไว้ตรงนั้น ท่านดูสิ พี่รองบอกพอแค่นี้ก่อน เขาไม่มีเวลาพอ ต้นไม้พวกนี้ก็พอใช้ พวกข้าเลยไม่ได้ขนกลับมาอีก ท่านดูว่าพอใช้หรือไม่ ถ้าไม่พอพรุ่งนี้พวกข้าจะขึ้นเขาอีกครั้ง”

ซ่งฝูไฉรีบพูดต่อ หวังจงอวี้กล่าวถึงพี่รองก็คือตัวเขา

เขาต้องอธิบายเพิ่ม ไม่ใช่เพราะความขี้เกียจ แต่เป็นเพราะเหนื่อยแทบจะขาดใจตายแล้ว

“น้องสาม ข้าพาคนพวกนี้มาเปลี่ยนมือกันเพื่อเลื่อยไม้กระดาน…

…ไม่ใช่เพราะพี่รองอู้งาน แต่อุปกรณ์เครื่องมือของพวกเรามีไม่พอใช้ มีแค่เลื่อยยาวสองอัน แต่ถึงแม้จะผลัดเปลี่ยนมือกัน มันก็ต้องมีเครื่องมือสิ…

…ของข้านี่ เจ้าลองดูสิ ข้าทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ไม้กระดานหลายสิบแผ่น แม้จะเพียงพอเกินจำนวนคนครึ่งหนึ่งของพวกเรา แต่ก็ยังไม่พอใช้สำหรับทุกคน ข้าไม่พูดต่อแล้ว คืนนี้ข้าจะไม่นอน ข้าจะทำงานต่อไป”

ซ่งฝูสี่รู้สึกน้อยใจมาก

เขาไม่ได้มีความสามารถถึงขั้นเรียกว่าเป็น “ช่างไม้” ได้ แม้กระทั่งคนช่วยงานที่มีความชำนาญก็ไม่มีเลยสักคน เขาต้องสอนทุกคนตั้งแต่เริ่มแรก การทำงานจึงค่อนข้างเชื่องช้า

หลังจากทำไม้กระดานสำหรับนอนเสร็จก็มาลุยงานซ่อมประตูกันต่อ ซ่อมประตูเสร็จแล้วก็ยังต้องหาเวลาไปทำบันไดเพราะห้องใต้ดินจำเป็นต้องใช้บันได ขึ้นไปทำหลังคามุงจากก็ต้องใช้บันไดเหมือนกัน และยังมีเสียงของท่านแม่เรียกอยู่ตลอดเวลา “ลูกสอง ช่วยซ่อมขอบหน้าต่างด้วย เจ้าไม่ซ่อม ข้าจะติดกระดาษสาตรงหน้าต่างได้อย่างไร”

ไม่ต้องให้ซ่งฝูสี่น้อยใจ ซ่งฝูเซิงก็เห็นบ้านหลายหลังมีสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปมาก

เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อคืนวานที่เพิ่งมาถึง บ้านไม่มีประตูและไม่มีหน้าต่าง ลมพัดผ่านเข้ามาได้ ดูน่าเวทนา ใครเห็นก็ยากที่จะลืม

ในตอนนี้กระท่อมหลายหลังถูกใส่บานประตูใหม่และสามารถปิดประตูได้อย่างสนิท

ก่อนหน้านี้ที่ให้ต้าหลังนำกระดาษสากลับมาพร้อมรถเข็นชุดแรก ได้นำกระดาษมาติดบ้างแล้ว

ส่วนห้องที่เหลือที่ยังไม่ได้ติดกระดาษ คาดว่าแม่ของเขาคงคิดว่าติดไปก็เปล่าประโยชน์ บางห้องผุพังมากจำเป็นต้องซ่อมแซมขนาดใหญ่ ถ้าจะซ่อมแซมก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย

“ท่านแม่ อย่าสิ้นเปลืองอาหาร เมื่อวานก็ไม่ได้หลับนอนมาทั้งคืน วันนี้ก็ยังทำงานหนักอีก ต้องให้ทุกคนได้กินอิ่ม โดยเฉพาะพี่รองของข้าต้องกินให้อิ่มหนำสำราญ”

เขาก็เรียกเกาถูฮู่มา ให้ซ่งฝูสี่บอกกับเกาถูฮู่ว่าจำเป็นต้องใช้เครื่องมือช่างอะไรบ้าง พรุ่งนี้เกาถูฮู่ไปซื้อผักที่อำเภอก็ให้เขาแวะดูเครื่องมือช่างด้วย มีราคาไม่แพงมากก็ให้ซื้อกลับมามากหน่อย ถ้ามัวแต่คาดหวังพี่รองที่มีเครื่องมืออยู่คนเดียวก็ทำให้เขาเหนื่อยแทบตาย อีกอย่างเครื่อง มือก็สามารถไปใช้งานอย่างอื่นได้อีก

ท่านย่าหม่าอยู่ในบ้าน นางได้ยินลูกสามบอกให้ทำอาหารเยอะๆ นางจึงตอบเสียงดังกลับไป “รู้แล้ว”

นางกำลังยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาออกจากห้องมาดูลูกสาม

ไม่ใช่แค่นางเพียงเท่านั้น หญิงวัยกลางคนที่ชอบซุบซิบนินทาในยามปกติ ตอนนี้ก็ไม่ได้ออกไปสอดรู้เรื่องของชาวบ้านและก็ไม่มีเวลาว่างถามนู่นถามนี่

ในบ้านกระท่อมหลายหลังเริ่มเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น สมกับคำพูดนั้น ผู้หญิงมีความสามารถเท่าเทียมกับผู้ชาย

พวกนางผสมดินคลุกให้เข้ากันเพื่อทำอิฐดิน และช่วยกันนำหญ้าไปผสมกับดินเหนียว หรือแม้กระทั่งก่อไฟเผาอิฐดินและทำอาหารเลี้ยงคนกว่าสองร้อยคน ทุกคนยุ่งจนไม่มีเวลาเงยหน้ามองคนอื่น

ก่อไฟทั้งสองเตาจนไฟแรง ข้างบนวางอิฐดินเต็มไปหมด

ใครเป็นคนช่วยพลิกอิฐดินน่ะหรือ? เตาแรกเป็นเด็กชายซ่งจินเป่า อีกเตาในห้องหนึ่งเป็น เด็กชายอายุแปดขวบ เขาเป็นลูกชายคนสุดท้องของซ่งฝูกุ้ย มีชื่อเล่นเสี่ยวเนียนปา เขามีพี่ชายหลายคนเรียกตามลำดับว่า ต้าเนียน เอ้อร์เนียน ซานเนียน

ทำไมถึงไม่ให้พวกผู้หญิงพลิกอิฐดิน นั่นเป็นเพราะบางคนไปช่วยทำอิฐดิน ผลัดเปลี่ยนกันทำงาน และผู้หญิงอีกส่วนหนึ่งต้องไปวางไม้กระดานเพื่อทำที่นั่งแล้วนั่งลงถักเสื่อ

หญ้าพวกนี้แตกต่างจากหญ้าที่อยู่ในหมู่บ้านเก่าที่นำมาใช้สำหรับถักเสื่อ

เป็นหญ้าอูลา เฉียนเพ่ยอิงเรียกพวกผู้หญิงไปตัดกลับมา

นางบอก หญ้าชนิดนี้นำมาทำที่รองนั่งหรือเสื่อจะให้ความอบอุ่น

พวกผู้หญิงไม่มีความสงสัยเลย ทุกคนเชื่อมั่นในเฉียนเพ่ยอิงมาก เหตุผลก็เพราะนางเป็นภรรยาของซ่งฝูเซิง ดังนั้นทุกคนยอมฟังนาง

แม้กระทั่งพวกต้ายา เอ้อร์ยา เถาฮวา พวกนางช่วยกันถักเสื่ออย่างจริงจังอยู่ภายในห้อง ครึ่งวันยังต้องไปตัดหญ้าและจัดระเบียบในห้องใต้ดิน แต่พวกนางก็สามารถถักเสื่อได้ถึงร้อยกว่าผืน

แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกร้อนใจ

เหอซื่อช่วยคำนวณให้กับทุกคน น้องชายสามีของนางเพิ่งทำไม้กระดานได้เพียงไม่กี่อัน คืนนี้ไม้กระดานมีไม่พอนอน ดังนั้นทุกคนต้องเร่งรีบทำให้ทันเวลาและต้องถักเสื่อเพิ่มอีกหน่อย เวลาพวกผู้ชายปูเสื่อนอนบนพื้นด้านล่างจะได้วางทับหลายชั้น เพื่อไม่ให้พวกเขาเหน็บหนาว

มองเห็นบ้านหกเจ็ดหลังมีแสงสว่างจากการจุดถาดเตาถ่าน

ถึงแม้ว่าถ่านที่ทำใหม่ด้วยตนเองจะมีควันเยอะ แต่มันก็ให้ความอบอุ่นได้ดีไม่น้อย อีกอย่างอิฐดินบางส่วนที่ไม่สามารถวางบนเตาเผาได้ก็นำมาวางไว้กับพื้นด้านล่าง โดยใช้ไอร้อนจากถาดเตาถ่านเพื่อตากให้แห้งแทน

ตอนนี้พวกเขาเริ่มทำถ่านกันเองอีกครั้ง ไม่ทำเองก็ไม่ได้ ทุกคนต้องการใช้อิฐดินจำนวนมากไว้ทำตั่ง(เตียง) เมื่อทำตั่งเสร็จก็ต้องมาทำเตาผิงตรงกำแพงและยังต้องทำเตาไฟอีก

ดังนั้นไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะมีคนพักหรือไม่ก็ตามก็ต้องทำขึ้นมา พวกเขาทำอิฐดินไม่หยุด เมื่ออิฐดินทำเสร็จแล้วก็เอาไปวางรวมกัน ใช้ถาดเตาถ่านในการเผาโดยเผาทั้งวันทั้งคืน แม้จะไม่มีแสงแดดก็ตามก็สามารถใช้ไฟเผาได้ ไม่มีแสงแดด โลกก็ยังสามารถหมุนต่อไปเลย

ซ่งฝูเซิงพอใจมาก เขาไม่อยู่บ้านแค่วันเดียว ทุกคนขยันขันแข็งช่วยกันทำงานไม่หยุดหย่อน

ทำงานที่เขาสั่งเรียบร้อยแล้ว แต่ทุกคนก็หางานทำเอง ไม่ยอมหยุดนิ่ง

แม้กระทั่งท่านลุงซ่ง ท่านลุงใหญ่ของเขา รวมทั้งผู้สูงวัยก็ไม่ยอมสูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

แต่ละคนอายุเกินครึ่งหนึ่งของหลักร้อยก็ถางหญ้าที่ขึ้นสูงตามเส้นทางที่ข้ามแม่น้ำ พวกเขาช่วยกันถางหญ้าให้มีพื้นที่โล่งกว้างมากกว่าเดิมเพื่อให้รถเข็นผ่านไปมาได้สะดวกขึ้น

ท่านลุงบอกว่า “ต้องมีเส้นทางหนึ่งไว้สำหรับกลับบ้าน”

ใช่แล้ว ควรจะเป็นเช่นนั้น ทุกเรื่องก็เหมือนกัน แม้ไม่มีหนทางก็ต้องทำให้มีทางออกจนได้ อย่างนี้ถึงจะมีความหวัง

ซ่งฝูหลิงมองเห็นแต่ไกลมีเตาถ่านหกเตากำลังปล่อยควันดำออกมา นางเห็นพวกเด็กหนุ่มกำลังช่วยกันเผาถ่าน พี่ต้าหลังโบกมือให้นาง นางรู้สึกดีใจรีบโบกมือพร้อมกลับตะโกนบอกพวกเขา “ท่านพ่อของข้าควักเงินในกระเป๋าตัวเองซื้อลูกแพร์เป็ดมา อีกสักครู่กลับมาดื่มน้ำซุปแพร์กันนะ”

ซ่งฝูเซิงกำลังเดินไปหาภรรยาต้องหยุดชะงัก เขาส่ายหัว คงไม่ได้ไปหาภรรยาแล้ว เขาต้องหามุมหลบนำลูกแพร์เป็ดออกมาก่อน

นอกจากลูกแพร์เป็ดแล้ว ยังมีแอปเปิ้ลที่เขาซื้อมาให้หมี่โซ่วกับลูกสาวกิน นอกจากนี้ยังซื้อพวกเค้กและลูกอมเตรียมไว้ให้หมี่โซ่ว เขาให้ลูกสาวนำของกินพวกนี้ไปวางในพื้นที่พิเศษไว้เพราะพื้นที่พิเศษสามารถคงความสดใหม่ได้ ซื้อเยอะก็ไม่ต้องกลัว ตะกร้าที่สะพายอยู่ข้างหลังของลูกสาวก็ใส่ของได้ไม่กี่อย่าง

ของพวกนี้ซื้อระหว่างตอนไปสอบถามราคาข้าวสารอาหารแห้งตามร้านต่างๆ

เอาเถอะ ครั้งนี้ไม่เป็นไร นำออกมาพอให้เด็กๆ ทุกคนได้ดื่มซุปแพร์อย่างน้อยครึ่งชาม

ท่านย่าหม่ากำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน แม้ลูกชายกลับมาก็ไม่ได้ออกมาดู ตอนนี้นางรีบร้อนออกมาจากบ้านเพื่อมาดึงพั่งยาไปคุยอยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน “เจ้าช่างซื่อบื้อ ซื้อของกินมาก็เก็บไว้กินเองสิ เจ้าโง่เง่าเสียจริง ทำไมจะต้องเอาของที่พ่อของเจ้าใช้เงินตัวเองซื้อมาแจกให้ทุกคนกินเล่า”

“ท่านพูดเยอะไปแล้ว”

“เจ้านี่” ท่านย่าหม่ามองไปรอบๆ นางดึงหลานสาวไปหลบอยู่มุมข้างๆ “เห็ดพวกนั้นล่ะ เจ้าทำตามคำพูดของย่าหรือไม่ ถ้าขายสิบตำลึงก็บอกว่าขายได้เก้าตำลึงครึ่ง ได้รายงานบัญชีแบบนี้หรือไม่? พ่อของเจ้าคงไม่ได้บอกราคาตามความเป็นจริงใช่ไหม?”

โอ้ ทำไมถึงมีนิสัยเช่นนี้นะ ซ่งฝูหลิงส่ายหัว

“ไม่ได้ขาย ในอำเภอให้ราคาต่ำมากหลอกข้ากับท่านพ่อ ราชาเห็ดกับเห็ดหอมแห้งรวมกันให้แค่ห้าตำลึง เห็ดมัตสึตาเกะก็ได้ราคาไม่สูง…

…พวกเราสองคนพูดกับเถ้าแก่คนนั้น บอกว่า พวกเราจะกลับไปต้มกินเอง ไม่เสียแรงที่ครั้งหนึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ เขายังว่าพวกเราพูดโอ้อวด แต่ก็ไม่ขายให้ร้านนั้นแล้ว พวกเขาคิดว่าพวกเราเป็นชาวบ้านไม่กล้าไปขายที่เมืองใหญ่ เชอะ…

…พรุ่งนี้ท่านย่า ข้ากับท่านพ่อจะไปเมืองเฟิ่งเทียน หลังจากนั้นข้าจะเชื่อฟังท่าน เก็บเงินส่วนหนึ่งไว้ส่วนตัว ขายห้าตำลึงจะบอกว่าขายได้แค่สี่ตำลึงครึ่ง แบบนี้ดีหรือไม่?”

“ได้สิ เจ้าก็อย่าโง่ไปหน่อยเลย เดิมทีเห็ดพวกนั้นก็เป็นของที่พวกเราเก็บเอง”

“ได้ๆ”

ซ่งฝูหลิงคิดในใจ ถึงตอนนั้นนางจะนำเห็ดมัตสึตาเกะส่วนหนึ่งออกมาจากพื้นที่พิเศษ เพื่อมาทดแทนบุญคุณท่านย่าเป็นเงินครึ่งพวงก็แล้วกัน

“ไป ย่าเก็บเนื้อไก่ครึ่งชิ้นไว้ให้เจ้า ช่วงที่พวกเขากำลังทำงาน รีบไปกินเถอะ”

“หา?” ซ่งฝูหลิงถึงกับตาโต ไม่ใช่กินกันหมดแล้วหรือ?