บทที่ 99 ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

“พวกคุณเอาแต่พูดว่าผมไม่มีผลงานอะไรเลย ถ้างั้นผมขอถามสักหน่อย อะไรคือผลงานในสายตาคุณและผลงานแบบไหนที่พวกคุณทุกคนถึงจะยอมรับ?”

ถึงแม้ว่าจะโดนกดดันอย่างหนักจากฝั่งตรงข้าม แต่อวี้ฮ่าวหรานก็ไม่แสดงสีหน้าโมโหออกมาเลย เขายังคงสงบนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในทางกลับกัน เจิ้งเหวยกัวกลับคิดว่าการที่ฝั่งตรงข้ามไม่เถียงนั้นมันหมายความว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังเข้าตาจนหมดมุกที่จะเถียง เขาจึงยิ่งได้ใจมากขึ้นกว่าเดิม

“เหอะ! ในฐานะประธานบริษัท อย่างน้อย ๆ นายก็ต้องมีสัญญาซื้อสินค้าใหม่ ๆ สักฉบับเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ใช้เงินออกไปอย่างเดียวแบบนี้ ต่อให้การบริหารงานของนายมันจะทำให้พวกเราผลิตสินค้าได้มากขึ้น แต่มันก็นับว่าไร้ประโยชน์หากเราขายของเพิ่มไม่ได้!”

เจิ้งเหวยกัวรู้สึกดูถูกอวี้ฮ่าวหรานจนแทบอยากจะถ่มน้ำลายลงพื้นด้วยซ้ำ

เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบนี้ที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนไม่มีทางทำสัญญาซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ๆ ได้อย่างแน่นอน ไม่มีบริษัทใหญ่ ๆ ที่ไหนให้ความเชื่อถือหรอก!

อวี้ฮ่าวหรานระเบิดเสียงหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้ของฝั่งตรงข้าม

“ฮ่าฮ่า ถ้างั้นเรื่องนี้ก็ง่ายเลย เพราะเมื่อวานเพิ่งมีบริษัทใหม่ที่เราไม่เคยเป็นคู่ค้าด้วยมาทำสัญญาซื้อสินค้าล็อตใหญ่กับเรา ซึ่งการขายของล็อตนี้ยังแก้ปัญหาสินค้าล้นโกดังของเราได้อีกด้วย!”

“แปะ!”

เมื่อพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานโยนแฟ้มเอกสารเล่มหนาไปตรงหน้าของเจิ้งเหวยกัวที่กำลังแสดงสีหน้าโง่งมทันที

เมื่อกี้ไอ้เด็กนี่มันบอกว่าเพิ่งได้รับสัญญาขายสินค้าฉบับใหม่งั้นเหรอ? แถมเป็นสัญญากับบริษัทใหม่ด้วย?

เจิ้งเหวยกัวรีบหยิบเอกสารมาเปิดอ่านทันทีในระหว่างที่ ผู้จัดการหวังก็เริ่มแจกจ่ายเอกสารสัญญาฉบับคัดลอกให้กับคนอื่น ๆ ในห้องประชุมดู

“บริษัทเจิ้งไห่ สัญญาคำสั่งซื้อสินค้า…”

ยิ่งเจิ้งเหวยกัวอ่านมากเท่าไหร่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น

“สัญญามูลค่า 50 ล้านหยวน!”

โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นตัวเลขมูลค่าสัญญา ซึ่งมันยิ่งทำให้เขาตกใจจนแทบตกจากเก้าอี้

“น..นี่..นี่นายเป็นคนทำสัญญานี้จริง ๆ งั้นเหรอ?”

ตอนนี้สีหน้าของเจิ้งเหวยกัวไม่มีร่องรอยของความหยิ่งผยองอีกต่อไป มันแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึงแทน

การขายสินค้าล็อตเดียว 50 ล้านหยวนนั้นนับว่าน่าตกตะลึงเป็นที่สุด เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยเซ็นสัญญาฉบับเดียวที่มีมูลค่ามากขนาดนี้มาก่อนเลย และยิ่งไปกว่านั้นเป็นที่รู้กันในวงกว้างอยู่แล้วว่าบริษัทเจิ้งไห่มีบริษัทผู้ผลิตสินค้าป้อนให้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว ฉะนั้นมันเป็นไปได้ยังไงที่บริษัทเจิ้งไห่หันมาซื้อของบริษัทพวกเขาแบบนี้?

คนที่มีอายุ 20 ต้น ๆ อย่างอวี้ฮ่าวหรานทำยังไงให้บริษัทเจิ้งไห่เปลี่ยนใจได้?

“นี่…นี่มันเป็นไปได้ยังไง?”

เจิ้งเหวยกัวตอนนี้พูดอะไรไม่ออก เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมากกับเรื่องราวที่พลิกผันขนาดนี้

เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนเอนหลังไปกับเก้าอี้ด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก

ในทางกลับกัน บรรดาพวกผู้บริหารที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจิ้งเหวยกัว เมื่ออ่านสัญญาฉบับคัดลอกเสร็จดวงตาของพวกเขาก็เปล่งประกาย

นี่มันหมายความว่าเงินจะเข้ากระเป๋าพวกเขาเพิ่มมากขึ้น!

ใครบ้างที่ไม่ชอบให้เงินในกระเป๋าตัวเองเพิ่มพูน?

อันที่จริงแล้วในความคิดส่วนตัวของพวกเขา พวกเขาเองก็ไม่ชอบวิธีการปั่นป่วนบริษัทของเจิ้งเหวยกัวเหมือนกัน แต่สาเหตุที่พวกเขาไม่พูดอะไรขึ้นแทนอวี้ฮ่าวหรานเป็นเพราะว่าพวกเขายังคงไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าประธานคนใหม่มีดีพอที่จะให้สนับสนุนรึเปล่า

แต่ตอนนี้พวกเขามั่นใจเรียบร้อยแล้ว!

“ฮ่าฮ่า สมแล้วที่ดำรงตำแหน่งเป็นประธานของพวกเรา ความสามารถของประธานอวี้ทำให้คนแก่ ๆ อย่างพวกเราละอายใจจริง ๆ”

“ใช่ เมื่อเทียบกับคนหนุ่มอย่างประธานอวี้ คนแก่อย่างพวกเราดูไร้ประโยชน์ไปเลย”

“ประธานอวี้มีความสามารถขนาดนี้ อนาคตของบริษัทเราจะต้องรุ่งโรจน์แน่นอน!”

“…”

ตอนนี้ผู้บริหารแทบทุกคนต่างหันไปเยินยออวี้ฮ่าวหรานจนออกนอกหน้า ไม่สนใจอีกแล้วว่าเจิ้งเหวยกัวจะมีสีหน้าที่ย่ำแนย่มากขนาดไหน

และยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าดีพอ ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจิ้งเหวยกัวจึงพากันแสดงท่าทีรังเกียจกลุ่มคนของเจิ้งเหวยกัวที่ก่อนหน้านี้สร้างความปั่นป่วนให้กับบริษัทไม่น้อย

ทางด้านของอวี้ฮ่าวหราน เมื่อเห็นว่าผู้คนแทบทั้งหมดหันมาอยู่ข้างของเขาเองอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาจึงยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลงก่อนเพื่อที่เขาจะได้พูดต่อ

“เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ไม่มีใครคัดค้านอะไรแล้ว ผมจะขอพูดต่อเลยก็แล้วกัน”

“ตอนนี้ในเมื่อทุกอย่างของบริษัทกำลังไปได้สวย ดังนั้นผมคาดหวังว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จะไม่เกิดขึ้นอีกให้ผมเห็น ผมอยากย้ำกับทุกคนอีกครั้ง ว่าผมคือประธานของบริษัทแห่งนี้ ดังนั้นผมจึงมีอำนาจทุกอย่างที่จะสั่งการอะไรก็ได้ในบริษัทซึ่งพวกคุณจำเป็นต้องทำตาม!”

อวี้ฮ่าวหรานประกาศจุดยืนของเขาเองให้ชัดเจนต่อหน้าพวกผู้บริหารอีกรอบ ซึ่งคราวนี้หลังจากแสดงสัญญาซื้อสินค้ามูลค่า 50 ล้านจากบริษัทเจิ้งไห่ มันก็ไม่มีใครที่ตะโกนขึ้นมาโต้แย้งในอำนาจของเขาอีก

จากนั้น อวี้ฮ่าวหรานก็เริ่มเอ่ยถึงแผนการต่อไปของบริษัทและการจัดวางตำแหน่งพนักงานในบริษัทที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติม

หลังจากประชุมเสร็จ อวี้ฮ่าวหรานกลับไปที่ออฟฟิศของเขาเอง

“ท่านประธานอวี้ ในระหว่างที่ท่านประธานกำลังประชุมอยู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขอพบกับท่านซึ่งตอนนี้เธอกำลังรอท่านอยู่ที่ห้องรับรอง”

แค่เพียงอึดใจเดียวหลังจากอวี้ฮ่าวหรานนั่งลงที่เก้าอี้ของเขา เลขาจางก็เข้ามารายงานเรื่องนี้กับเขาอย่างรวดเร็ว

“มีผู้หญิงมาขอพบผมงั้นเหรอ?”

อวี้ฮ่าวหรานถามกลับด้วยสีหน้างุนงง …ไม่ใช่หลี่หรงแน่นอนที่มาพบกับเขา เพราะไม่งั้นเลขาของเขาก็ต้องเอ่ยชื่อหลี่หรงแล้วเนื่องจากในบริษัทไม่มีใครไม่รู้จักน้องภรรยาของเขา

ใครกันที่มาหาเขา?

“ไปพาตัวเธอเข้ามาหาผมได้เลย”

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง อวี้ฮ่าวหรานก็ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนที่มาหาเขาคือเฉิงชิวอวี้!

“หืม? เป็นคุณงั้นเหรอ?” อวี้ฮ่าวหรานอุทานขึ้น

“ทำไม? ประธานอวี้ผู้สูงส่งไม่พอใจงั้นเหรอที่ฉันคนนี้มาหา?”

เฉิงชิวอวี้เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อพร้อมกับนั่งลงบนโซฟา

“ไม่ต้องทำหน้าแปลกใจแบบนั้นหรอก ที่ฉันมาที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะมีปัญหาอะไรจะให้นายช่วย ฉันแค่อยากมาดูให้เห็นกับตาตัวเองสักหน่อยว่าตอนนี้นายบริหารบริษัทของตัวนายเองไปถึงไหนแล้ว ซึ่งจากที่ฉันดูไปรอบ ๆ บริษัทมันดูเหมือนว่านายเองจัดการทุกอย่างได้ไม่เลวเลยนี่นา?”