อีกด้าน ที่หน้าประตูบ้านตระกูลโม่

จ้าวซวี่หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาว่า “เจ้าบ้านโม่ พี่โม่ ผมไม่กลับไปตระกูลโม่ดีกว่า ประลองวิชายาครั้งนี้ รับรู้ได้ว่าตนเองฝีมือยังด้อย ตอนนี้ผมอยากจะกลับไปที่สถาบัน ไปฝึกวิชาข้างกายอาจารย์ต่อ ดังนั้น ก็ลากันตรงนี้เลย พอพี่โม่กลับไปยังสถาบันค่อยมาหาผมก็แล้วกัน”

พูดจบ จ้าวซวี่ก็หันตัวจากไป โม่หยุนเฟยก็รีบเรียกชื่อไว้ “พี่จ้าว” จ้าวซวี่เดินดุ่มๆ ไม่หันกลับมามอง เดินจากไปอย่างรวดเร็ว

โม่เทียนแอบกัดฟัน แล้วตะโกนไปยังโม่หยุนเฟย “หยุนเฟย ไม่ต้องตามไปแล้ว ปล่อยเขาไปเถอะ ครั้งนี้พวกเราแพ้ให้กับตระกูลลู่อย่างราบคาบ”

โม่หยุนเฟยก็หยุดฝีเท้าลง หันหัวกลับมา สีหน้าไม่อยากให้เป็นแบบนี้

“ตระกูลลู่จะมากเกินไปแล้ว”

โม่เทียนพูดว่า “รู้ไว้ก็ดีแล้ว ตอนนี้ตระกูลลู่มีอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าตระกูลโม่ของเราเลย มีคนเก่งไม่น้อยไปกว่าเรา โดยเฉพาะ ลู่ฝานคนนั้น เก่งจนน่ากลัว คนรุ่นหลังเก่งกาจไม่น้อย ยิ่งมีผู้ฝึกชี่ช่วยเหลืออีก ถ้าตระกูลโม่ของเราไม่พยายามกันมากกว่านี้ เกรงว่าอีกไม่กี่ปี ทั้งเมืองเจียงหลินก็จะเป็นของแซ่ลู่หมดแล้ว”

โม่หยุนเฟยกัดฟันพูดว่า “ผมไม่มีทางให้เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นแน่นอน”

โม่เทียนกล่าว “ถ้าไม่อยากให้อนาคตเป็นแบบนั้น งั้นก็ต้องแข็งแกร่ง หยุนเฟย ทั้งตระกูลโม่ มีเอ็งคนเดียวที่อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊ และมีเอ็งคนเดียวเท่านั้นที่มีโอกาสเหนือกว่าลู่ฝานได้ ความหวังหลังจากนี้ของตระกูลโม่ ก็อยู่บนตัวเอ็งแล้ว”

โม่หยุนเฟยพยักหน้าอย่างแรง มือก็กำหมัดแน่น

โม่เทียนถอนหายใจพูดว่า “ถ้าตระกูลลู่ไม่มีไอ้ลู่ฝานคนนั้นก็คงจะดี ไอ้คนไม่เอาไหนแค่คนเดียว กลับสามารถมีอิทธิพลต่ออนาคตทั้งเมืองเจียงหลินได้ น่าขำ น่าขำจริงๆ”

โม่หยุนเฟยได้ยินดังนั้น ในสายตาก็เป็นประกายออกมาแปลกๆ

ใช่ ถ้าตระกูลลู่ไม่มีลู่ฝานก็คงจะดี

ทำอย่างไรถึงจะกำจัดลู่ฝานได้

โม่หยุนเฟยบึนปากคว่ำลง เขาคิดวิธีจัดการได้แล้ว

ดูเหมือนว่าทุกอย่าง จะต้องไปกลับไปยังสถาบันก่อนค่อยว่ากัน

……

หลังจากนั้นสองวัน ที่ประตูเมือง มีลมจากทางเหนือพัดเข้ามา

ลู่หาวยืนรับลม เป็นตัวแทนของตระกูลลู่มาส่งลู่ฝานกับลู่หมิง วันนี้พวกเขาสองคนจะไปสถาบันสอนวิชาบู๊แล้ว

เจ้าดำกระโดดไปมาบนตัวของลู่ฝาน เห็นได้ชัดเลยว่าช่วงนี้มันอยู่ที่ตระกูลลู่กินดีอยู่ดีมาก อ้วนตัวกลมไปเลย

ลู่หาวยิ้มมองลู่ฝานกับลู่หมิง แล้วพูดว่า “ไม่พูดอะไรมากแล้วกัน ลู่ฝานไปสถาบันสอนวิชาบู๊ครั้งแรก จะต้องอยู่ติดๆ กับลู่หมิงไว้ ห้ามเดินหลงผลัดกัน เดี๋ยวจะพลาดเวลารายงานตัว”

ลู่ฝานพยักหน้า “รู้ครับพ่อ”

ลู่หมิงก็พูดอย่างทนรอไม่ได้ “ไปกันได้หรือยัง?”

ลู่หาวยิ้มพูดว่า “ไปเถอะๆ ตอนปีใหม่ อย่าลืมกลับมานะ”

สุดท้ายก็ตบไหล่ของลู่ฝานไปสองที ลู่หาวมองลู่ฝานกับลู่หมิงจากไป ก่อนจะออกไป ลู่ฝานมองไปยังเขาซีซาน เหมือนว่าจะเห็นเงาคนหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ

ไม่ต้องสงสัยเลย นั่นก็คืออาจารย์ของเขา หวูเฉิน ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ถือว่าได้บอกลากับหวูเฉินแล้ว เขารู้ว่าอาจารย์จะเห็นท่าทางของเขา

ส่วนหวูเฉินที่ลอยอยู่กลางอากาศนั้นก็ยิ้มเบาๆ และพยักหน้าเบาๆ ให้เหมือนกัน

เจ้าดำก็โบกกรงเล็บให้ลู่หาวอยู่บนหัวไหล่ของลู่ฝาน ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ เหมือนว่าจะไม่อยากจากเมืองเจียงหลินนี้ไป

ลู่ฝานก็เอามือลูบหัวเจ้าดำแล้วพูดว่า “เอาน่า เดี๋ยวไปสถาบัน อาจจะมีของอร่อยๆ ให้กินอีกก็ได้นะ”

เจ้าดำก็อ้าปากแลบลิ้นมาเลียใบหน้าของลู่ฝาน ลิ้นเปียกๆ ทำให้ใบหน้าของลู่ฝานเต็มไปด้วยน้ำลาย ลู่ฝานก็รีบจับหัวของเจ้าดำไว้

สายตาของลู่หมิงก็แอบๆ มองไปยังฝ่ามือของลู่ฝาน

ขณะนั้น ลู่หมิงก็เอ่ยขึ้นมา “นั่นคือแหวนผู้นำของตระกูลลู่ใช่ไหม?”

ลู่ฝานพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว”

ลู่หมิงหันหน้าหนี เหมือนว่าไม่อยากจะมองแหวนนั้นอีก

“ที่แท้ท่านปู่ก็เอาให้นายแล้วจริงๆ ด้วย”

ลู่ฝานอ้าปากจะพูด แต่ยังไม่ได้พูด ลู่หมิงก็ยกมือพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ผลลัพธ์นี้พอจะเดาออก และรู้ด้วยว่านี่เป็นการเลือกที่ดีที่สุดของตระกูล เรื่องนี้ไม่ต้องเอ่ยกันอีกแล้ว จะได้ให้ผมเลิกคิดเรื่องนี้ไปเสีย”

ลู่ฝานพยักหน้า ไม่พูดอะไร ลู่หมิงก็ไม่พูดอะไรอีก สองคนเดินกันไปเงียบๆ

เดินกันไปครั้งนี้ ก็เป็นเวลา3วันเต็มๆ เวลา3วันนี้ลู่หมิงกับลู่ฝานไม่ได้คุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว แม้แต่เจ้าดำโชว์ฝีมือทำอาหารในป่า ลู่หมิงก็แค่มองดูอย่างตกใจเท่านั้น แต่ไม่ได้พูดอะไร

หลังจากนั้น3วัน ลู่หมิงก็พาลู่ฝานมายังเมืองที่ดูเหมือนจะกว้างใหญ่กว่าเมืองเจียงหลินเท่าตัว มีชื่อว่า เมืองตงซาน

พอจ่ายเงินค่าเข้าเมืองแล้ว ในที่สุดลู่หมิงก็พูดกับลู่ฝานคำแรกหลังจากที่ไม่ได้คุยกันมาหลายวัน “ตอนนี้พวกเราจะไปหอฝึกสัตว์ อีกเดี๋ยวฉันจะคุยเรื่องราคาเอง นายไม่ต้องพูดแทรก”

ลู่ฝานตอบรับไป แล้วก็เดินตามลู่หมิงไปยังทิศเหนือของเมือง

เมืองตงซานที่มีขนาดใหญ่ บ้านเมืองรุ่งเรืองมาก ทั้งร้านเหล้าโรงน้ำชา มีความเป็นระเบียบมาก

ท้องถนนที่กว้างใหญ่ เต็มไปด้วยพ่อค้าวาณิชเดินที่ผ่านไปมา คุณชายสูงศักดิ์ที่สวมอาภรณ์หรูหรา หญิงนางโลมที่เรียกแขกอยู่หน้าประตู

พวกลู่ฝานสองคนเดินกันมาวันหนึ่งเต็มๆ ก็มาถึงยังทิศเหนือสุดของเมืองตงซาน

คำว่าหอฝึกสัตว์ขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมารับที่ใบหน้า ดูยิ่งใหญ่มาก

สองคนเดินเข้าไป ลู่หมิงหยิบเหรียญทองออกมา10อัน แล้ววางบนโต๊ะ พูดว่า “เถ้าแก่ เอานกเมฆมาสองตัว เอาตัวที่บินได้วันละหมื่นลี้ จะบินไปเมืองเผิง”