หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ด

สู่ขอต่อหน้า

ความจริงแล้วเสวี่ยหยวนจิ้งเคยจูบเสวี่ยเจียเยว่นับครั้งไม่ถ้วนในความฝัน แต่เมื่อเขาได้จูบจริงๆ แล้ว ก็พบว่าช่างดีกว่าในความฝันยิ่งนัก

ในตอนแรกเป็นเพราะเขายังไม่เคยสัมผัสสตรีเช่นนี้ จึงเอาแต่ขยับปากไปมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่มของเสวี่ยเจียเยว่ แต่ไม่นานก็ทำได้อย่างคล่องแคล่วโดยที่ไม่มีอาจารย์สอน เขาทำตามที่ใจปรารถนา ฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายอ้าปากเล็กน้อยเพราะความตกใจ สอดลิ้นเข้าไปในปากเล็กอย่างรวดเร็ว

สัมผัสนั้นทำให้ชายหนุ่มหลงใหลจนไม่อาจหยุดตัวเองได้ หัวใจของเขาเต้นรัวเร็ว ทั้งที่รู้สึกว่าอีกไม่นานอาจตายได้เพราะหัวใจเต้นแรง แต่เขาก็ยังกักขังเสวี่ยเจียเยว่ไว้กับกำแพงอย่างแน่นหนา และจูบต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งใด

หากได้จูบเช่นนี้โดยไม่หยุดก็คงจะดี…

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก แม้ว่าดวงตาของเธอจะเบิกกว้าง แต่รู้สึกว่ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย แม้แต่หัวใจก็แทบจะหยุดเต้นจนวิญญาณออกจากร่างก็ไม่ปาน

ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดูดลิ้นของเธอหนักขึ้น ทำให้เธอเจ็บปวดและได้สติกลับมา

วิญญาณกลับเข้าร่างทันที เธอทั้งอายทั้งโกรธ และใช้มือทั้งสองข้างผลักเขาออกไปอย่างแรง

ยามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังลุ่มหลงอยู่กับความสุข ไหนเลยจะระวังตัวมากนัก แขนที่กักขังเสวี่ยเจียเยว่เอาไว้จึงคลายลงไม่น้อยเมื่อถูกผลักออกอย่างกะทันหัน ก่อนจะเห็นว่าเด็กสาวเป็นเหมือนกระต่ายน้อยที่กำลังตกใจจนวิ่งหนีออกไปจากตรอกแล้ว

ชายหนุ่มรู้สึกตกใจไม่แพ้กัน หลังจากได้สติกลับมา เขาก็รีบวิ่งตามเสวี่ยเจียเยว่ออกไป แต่พบว่าถนนใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่เพื่อไปชมการแข่งเรือมังกร ไหนเลยจะมองเห็นเสวี่ยเจียเยว่ได้

เขารู้สึกรำคาญใจยิ่งนัก และเกลียดตัวเองที่ไม่อาจควบคุมจิตใจได้ จนทำให้เสวี่ยเจียเยว่ตกใจกลัว และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเด็กสาววิ่งหนีไปที่ไหนแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้สวมหมวกด้วย…

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งก็รีบวิ่งไปตามถนนใหญ่

หลังจากเขาวิ่งไปไกลแล้ว เงาร่างของคนที่แอบซ่อนอยู่หลังประตูร้านน้ำชาก็โผล่ออกมา

เมื่อครู่ลูกจ้างในร้านเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา และเกือบจะชนกาน้ำชาที่เขาถืออยู่ เขาอยากจะด่าอีกฝ่าย แต่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของแม่นางน้อยงดงามยิ่งนัก คำด่าที่เกือบจะออกมาจากปากก็ถูกกลืนกลับไป ยิ่งเห็นว่าแม่นางน้อยผู้งดงามมีอาการตกใจ เขายิ่งอดกลืนน้ำลายไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยติดๆ ขัดๆ

“มะ…แม่นาง ทะ…ท่านอยากดื่มน้ำชาแบบไหนขอรับ”

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่อยากเข้ามาซ่อนตัวแล้วจากไปเท่านั้น แต่เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งตามหาเธอตลอดทาง เธอจึงครุ่นคิดครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกที่จะหลบอยู่ที่นี่ต่อ โดยไปนั่งลงที่โต๊ะติดมุมผนัง

เขาว่ากันว่าสถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งคงคาดไม่ถึงว่าเธอจะหลบอยู่ในร้านน้ำชาที่อยู่ไม่ไกลใช่หรือไม่ ตอนนี้หัวใจของเธอเต้นรัวเร็วจึงไม่อยากออกไปไหน ได้แต่นั่งนิ่งอยู่คนเดียวเพื่อจัดการกับความวุ่นวายในใจ

ลูกจ้างในร้านน้ำชามาถามเธออีกครั้งว่าอยากดื่มอะไร เธอจึงสั่งชาบ๊วยมาหนึ่งกา เมื่อเขายกมาให้และรินให้เธอหนึ่งจอก เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่ดื่มในทันที เอาแต่นั่งมองต้นหลิวที่อยู่นอกหน้าต่างเช่นนั้น

พอคิดถึงตอนที่เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งจูบอย่างกะทันหันเมื่อครู่ และจูบนั้นไม่ได้อ่อนโยนเลยสักนิด เธอก็รู้สึกโกรธและอับอายมาก จนไม่อยากออกไปหาเขาในเวลานี้ หากสามารถสาดชาบ๊วยร้อนๆ กานี้ใส่ใบหน้าของเขาได้ก็คงจะดี

จูบแรกของเธอ เป็นจูบแรกทั้งในภพก่อนและภพนี้ ตอนนี้ถูกขโมยไปแล้ว อีกทั้งยังเป็นจูบที่ไม่อ่อนโยน เสวี่ยหยวนจิ้งจูบเป็นหรือไม่ เหตุใดถึงได้ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเหมือนหมาป่าที่หื่นกระหาย

เสวี่ยเจียเยว่บ่นพึมพำ ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตนไปครึ่งหนึ่ง

เธอรู้ว่าตอนนี้ใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวเป็นอย่างมาก และคิดว่าคงไม่มีทางเผชิญหน้ากับเสวี่ยหยวนจิ้งได้อีก

ในขณะที่เธอกำลังบ่นกับตัวเองอยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น

“เสวี่ยเจียเยว่?”

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมา จึงตกใจจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ในทันที และหันไปมองด้วยความหวาดกลัว

จากนั้นก็พบว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เป็นตันหงอี้!

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ราวกับไร้เรี่ยวแรง

เมื่อครู่ตันหงอี้เดินผ่านร้านน้ำชาร้านนี้ จู่ๆ ก็หันกลับมาเพราะเห็นแผ่นหลังของแม่นางคนหนึ่งที่คล้ายกับเสวี่ยเจียเยว่ เขาจึงรีบเดินเข้ามาดู และพบว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่อย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด เขาดีใจจนรีบเรียกชื่อเด็กสาว แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้…

“เจ้าเป็นอะไรไป” ตันหงอี้รู้สึกสงสัย หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ เสวี่ยเจียเยว่ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมา “เหตุใดท่าทีของเจ้าเหมือนกำลังหลบซ่อนตัวจากใครอยู่ ใครไล่ตามเจ้าอย่างนั้นหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลุบตาลงจ้องมองไปที่กาน้ำชาก้นขาวลายดอกไม้สีฟ้าที่อยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย

ทั้งที่แม่นางน้อยไม่ได้กล่าวอันใด แต่มีหรือตันหงอี้จะเดาไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น

ชายหนุ่มเห็นเด็กสาวไม่พูดไม่จา ก็กวาดตามองพิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

เสวี่ยเจียเยว่สวมเสื้อสีฟ้า กระโปรงผ้าโปร่งสีขาว ทำผมเป็นมวยสองข้าง และบนมวยผมทั้งสองมีเครื่องประดับผมสีฟ้า

เนื่องจากตันหงอี้เข้าใจดีว่าตนรู้สึกอย่างไรต่อเสวี่ยเจียเยว่ หลังจากเขาตัดสินใจพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้งไปแล้ว แม้อยากพบกับเสวี่ยเจียเยว่เพียงใด แต่ก็ต้องหมดหวังเพราะเสวี่ยหยวนจิ้งกีดกันทุกวิถีทาง เขาจึงไม่อาจพบหน้าเด็กสาวได้ เมื่อได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในยามนี้ ตันหงอี้จึงอดกระวนกระวายใจและตื่นเต้นไม่ได้ ดวงตาดำขลับของเขาสว่างไสวขึ้นมาทันที

พอเห็นว่าพวงแก้มของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อ อีกทั้งริมฝีปากบนยังเป็นแผล เขาก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไร เหตุใดหน้าถึงได้แดงขนาดนี้ ริมฝีปากบนยังเป็นแผลอีก”

เมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังตกอยู่ในภวังค์ จึงไม่ได้สังเกตว่าริมฝีปากบนของตนเป็นแผล พอตันหงอี้ทักขึ้นมา เธอถึงได้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนไปทั่วริมฝีปาก

เสวี่ยหยวนจิ้งกัดริมฝีปากของเธอจนเป็นแผล เห็นได้ชัดว่าเขาคือหมาป่า อีกทั้งยังเป็นหมาป่าใจร้อน เอาแต่พุ่งจู่โจมเข้ามา ทั้งดุเดือดและรุนแรง ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ปากของเธอเท่านั้นที่ถูกกัด ตอนนี้ลิ้นที่ถูกเขาดูดก็เจ็บปวดราวกับมีไฟแผดเผา แม้แต่น้ำชายังไม่กล้าดื่ม และคร้านจะเปล่งเสียงใดๆ ออกมา

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่กำลังโกรธและละอายใจเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น พอตันหงอี้เอ่ยถามเช่นนี้ เธอก็ทำได้เพียงหลุบตาลงเช่นเดิมและไม่กล่าวอันใด

แต่ตันหงอี้สังเกตสีหน้าและคำพูดของคนอื่นไม่เป็น ยามนี้ทั้งที่การแสดงออกของเธอชัดเจนขนาดนั้น เหตุใดเขายังเค้นถามเธอว่าเป็นอันใด

เสวี่ยเจียเยว่โกรธจนแทบลุกเป็นไฟ

เมื่ออยู่ต่อหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งเธอจะเป็นกังวลอย่างมาก เพราะเขาคือคนที่เธอห่วงใย จึงต้องคิดให้รอบคอบก่อนพูดออกไป แต่พออยู่ต่อหน้าตันหงอี้ เธอไม่ต้องกังวลกับอะไรสักนิด เพราะในใจของเธอ ตันหงอี้ก็เหมือนกับคนแปลกหน้าที่เดินผ่านไปบนท้องถนนเท่านั้น

หลังจากตันหงอี้เค้นถามไม่หยุด เธอก็เอ่ยถามกลับอย่างหมดความอดทน “เจ้าจะยุ่งเรื่องของข้าไปทำไม ไม่ต้องถามข้าแล้ว”

การที่เธอกล่าวเช่นนี้ยิ่งทำให้ตันหงอี้เป็นห่วง แต่เขาเป็นคนที่เอาใจใครไม่เป็น ขณะที่เขาอยากจะเอ่ยปากถามอีกครั้ง ก็ยังกังวลว่าเสวี่ยเจียเยว่จะยิ่งขุ่นเคือง จึงได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่เช่นนั้น พลางคิดหาคำพูดมาเอาใจเด็กสาว

ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เจ้าชอบกินอะไร ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้ากิน”

เสวี่ยเจียเยว่ยังคงไม่กล่าวคำใด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา

ตันหงอี้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “เจ้าชอบกินอะไร ชอบเครื่องประดับแบบใด ชุดแบบไหน เครื่องประทินโฉม หรือว่าชอบหยกชอบไข่มุกแบบใด สิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการในใต้หล้านี้ เพียงพูดออกมา ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้า ขอเพียงเจ้าอย่าขมวดคิ้วเช่นนี้ ยิ้มแย้มเสียหน่อยข้าก็พอใจแล้ว”

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เหลือบตาขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง

แม้ว่าจะเป็นเพียงการเหลือบมองด้วยแววตาเย็นชา แต่ตันหงอี้ก็ยังรู้สึกใจเต้นรัว จนยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว

จากนั้นเขาได้ยินเสียงเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถาม “เจ้ามีเงินขนาดนั้นเชียวหรือ”

ตันหงอี้พยักหน้า

“แต่ต่อให้เจ้ามีเงินมากขนาดไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ถ้าข้าต้องการสิ่งใดแล้วซื้อเองไม่ได้ ก็ต้องให้เจ้าซื้อให้อย่างนั้นหรือ เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร สตรีในหอนางโลมเช่นนั้นหรือ ใช้เงินซื้อรอยยิ้มได้อย่างนั้นหรือ”

รอยยิ้มของตันหงอี้แข็งค้างไปทันที จากนั้นเขารีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น สำหรับข้า… เจ้าจะเป็นสตรีในหอนางโลมได้เยี่ยงไร ข้า… ข้าแค่อยากให้เจ้ามีความสุขก็เท่านั้น”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขา แต่หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงผ้าแล้ววางไว้บนโต๊ะ เงินเหล่านั้นก็คือค่าน้ำชา ก่อนที่เธอจะก้าวออกไปด้านนอก

เดิมทีเธอยังอยากนั่งในร้านน้ำชานี้สักครู่ และไตร่ตรองว่าหลังจากนี้เธอควรจะสานสัมพันธ์กับเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างไรต่อ แต่ตอนนี้ตันหงอี้กลับเดินเข้ามา เธอจะอยู่เงียบๆ คนเดียวได้อย่างไร ควรรีบกลับเรือนเสียตอนนี้จะดีกว่า เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็คงคิดไม่ถึงว่าเธอจะกลับไปถึงเรือนแล้ว

แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเธอเดินออกมาจากร้านน้ำชา ตันหงอี้ก็รีบตามมาทันที

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย เอาแต่เดินมุ่งหน้าไปตามทางของตน

แต่ตันหงอี้ไม่เพียงตามเธอตลอดทาง ยังเดินเร็วๆ เพื่อมาเดินเคียงข้างเธอและเอ่ยถาม “เจ้าจะไปไหน”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่สนใจเขา เอาแต่เดินไปตามทางของตัวเองเช่นเคย

จากนั้นก็ได้ยินตันหงอี้เอ่ยถามอีกครั้ง “อะไรที่ทำให้เจ้าไม่มีความสุขเช่นนี้ ใครรังแกเจ้าหรือ บอกข้ามา ข้าจะช่วยเจ้าสั่งสอนเขาเอง”

เสวี่ยเจียเยว่หยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินต่อโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ แต่ก็แอบพูดในใจว่า‘ช่วยสั่งสอนหรือ คนที่รังแกฉันคือเสวี่ยหยวนจิ้ง จะไปต่อยเขาได้หรือ คงจะถูกเขาต่อยเสียมากกว่า’

ตันหงอี้ยังถามไม่เลิก “เหตุใดเจ้าไม่พูดเล่า เจ้าไม่เชื่อว่าข้า…”

เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นเสวี่ยเจียเยว่หยุดกะทันหัน และหันหน้ามามองเขาพร้อมเอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“คุณชายตัน เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”

ตันหงอี้นิ่งไปในทันที “ข้า… ข้าไม่ได้จะเอาอย่างไร”

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก

เมื่อก่อนเธอคิดว่าตันหงอี้พูดจาเย่อหยิ่งจนทำให้อยากต่อยเขาสักที แต่วันนี้ไม่รู้เขาเป็นอะไรไปถึงได้ดูไม่เย่อหยิ่งเหมือนก่อนแล้ว ทว่าท่าทีที่เค้นถามไม่เลิกเช่นนี้ก็ทำให้อยากต่อยเขาเช่นกัน

เธอยังคงจ้องมองเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “คุณชายตัน ตอนนี้ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว เจ้าช่วยไปทำธุระของเจ้าจะได้หรือไม่ อย่าตามข้าอีกเลย ถือว่าข้าขอร้องได้หรือไม่”

แต่ยังเดินไปไม่ถึงไหน ก็ได้ยินเสียงของตันหงอี้เอ่ยขึ้นมาอีก

“เสวี่ยหยวนจิ้งได้บอกเจ้าหรือไม่ว่า ข้า… ข้าชอบเจ้า อยากแต่งงานกับเจ้า”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เท้าของเธอก็สะดุดทันที จนเกือบจะล้มหน้าคะมำ

ไม่นานเธอก็หันกลับไปมองตันหงอี้ด้วยคอที่แข็งทื่อ ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้า… เจ้าว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ”

ยามนี้ในใจของตันหงอี้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่าลิ้นของตนแข็งทื่อไปชั่วขณะ ฝ่ามือมีเหงื่อผุดซึมออกมาเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังต้องตั้งสติ และเอ่ยคำเมื่อครู่ให้ดังยิ่งกว่าเดิม

“ข้าชอบเจ้า อยากแต่งงานกับเจ้า คำพูดเหล่านี้ข้าเคยบอกเสวี่ยหยวนจิ้งไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วย แต่ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ ข้า… ข้าจะต้องสู่ขอเจ้ามาเป็นภรรยาของข้าให้จงได้”